“ศิษย์พี่หวัง ข้าได้ตรวจสอบอย่างลับๆ และสอบถามศิษย์บางคนทั่วทั้งสำนักแล้ว ข้าไม่คิดว่าข้าได้พลาดอะไรไป” บุรุษหนุ่มผู้นี้ก็พอมีชื่อเสียงในสำนักเอกะเทวะด้วยเช่นเดียวกัน แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้า หวังเถิงเฟย ที่มันเคารพอย่างสูงสุด มันไม่เคยเห็นหวังเถิงเฟยรู้สึกลังเลเช่นนี้มาก่อน
มันเริ่มพูดด้วยความเคารพโดยการก้มตัวลง “ข้ายังได้ค้นหาไปรอบๆ ในเขตข้ารับใช้ และแอบติดตามโจวข่าย, หานจง และคนอื่นๆ ในตอนนั้นมีสามสิบเจ็ดคน ที่ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของสำนัก ทั้งสามสิบเจ็ดคนนั้น ข้าได้ตัดผู้ต้องสงสัยออกไปยี่สิบเก้าคน ท่ามกลางคนที่เหลือ มีหกคนที่ไม่มีหลักฐานชี้นำว่าพวกมันได้อยู่ที่ภูเขาสีดำ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่อยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน เมิ่งฮ่าว และ หานจง”
หวังเถิงเฟย ดูยิ่งมีความโกรธเพิ่มมากขึ้น มันเหลือกตาที่แข็งกระด้างของมันขึ้น ซึ่งก็ทำให้หัวใจของบุรุษหนุ่มผู้นั้นหนาวเหน็บ มันยิ่งก้มศีรษะลงด้วยความกังวล
“หานจง ได้ไปอยู่ที่ภูเขาสีดำ…เมิ่งฮ่าว?” หวังเถิงเฟยขมวดคิ้ว ชื่อเมิ่งฮ่าวฟังดูคุ้นๆ สำหรับมัน
“เมิ่งฮ่าวเป็น…บุคคลที่ทำร้ายศิษ์พี่หลู่” บุรุษหนุ่มพูดอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของหวังเถิงเฟยเริ่มหมองคล้ำลงไปมากยิ่งขึ้น และจิตใจของมันเริ่มลุกไหม้ มันได้วางแผนมานานหลายปี และลงทุนไปมากมาย เป็นเวลานานที่มันได้ทำทุกอย่างเพื่อจะสรุปผลก่อนที่จะเริ่มต้น
มันจะเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของมัน เป็นบางสิ่งที่มันจะนำกลับไปยังตระกูลเพื่อแสดงให้เห็นว่ามันทำได้ แต่แล้วก็มีใครบางคนมาแย่งชิงจากมันไป
เมื่อมันคิดไปถึงกระบี่ สีหน้าของมันก็บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด นั่นเป็นอาวุธของมันที่จะใช้ควบคุมสวรรค์และโลกมนุษย์ และเมื่อมันคิดไปถึงทายาทของมังกรปีกวารี หัวใจของมันก็ต้องร้องไห้
ก่อนหน้าวันนี้ มันเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง มั่นใจในความสำเร็จของมันอย่างเต็มเปี่ยม ทุกสิ่งเป็นของมัน เนื่องมาจากโชคชะตาที่ถูกกำหนดมาของมัน มีเพียงแต่มันที่จะมีคุณสมบัติได้รับโชคชะตาเช่นนี้ แต่แล้วมันก็ได้ประสบกับความพ่ายแพ้อย่างที่คาดไม่ถึง ระเบิดที่มันไม่เคยคิดว่ามันจะได้รับ มันพบว่าเป็นเรื่องยากเกินกว่าที่มันจะรับได้ ทำให้หัวใจของมันปวดร้าวกับความหวังที่ไม่เป็นจริงของมัน
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หวังเถิงเฟย เปิดปากเตรียมจะพูด แต่ทันใดนั้นก็เริ่มตัวสั่นเมื่อมือขวาของมันรู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกไฟลวก มันยกแขนเสื้อขึ้นและจ้องไปที่แขนของมัน มองดูหยดโลหิตที่ค่อยๆ จางหายไป มันไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากมองดูหยดโลหิตหายไป และหลังจากที่หายไปโดยสิ้นเชิง สีหน้าที่ดูหล่อเหลาของมันก็บิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธและความพ่ายแพ้ มรดกจากสวรรค์ได้จากไปแล้ว จนมันต้องกระอักโลหิตออกมาจากปาก
มันรู้ว่าตอนนี้ บุคคลที่ได้แย่งชิงของวิเศษของมันไป ได้มีการเชื่อมต่ออย่างสมบูรณ์กับมรดกชิ้นนี้เรียบร้อยแล้ว มันไม่สามารถใช้หยดโลหิตที่จะรับรู้ถึงอะไรได้อีกต่อไป เนื่องจากมรดกนั้นได้เลือกบุคคลอื่นไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อบุรุษหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้ามันได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ มันยิ่งรู้สึกตระหนกมากยิ่งขึ้น มันก้าวไปข้างหน้าเมื่อหวังเถิงเฟย ทันใดนั้นก็แหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าและตะโกนออกมา “ไสหัวไป!”
เสียงของมันดังกึกก้องกระหึ่ม จนสีหน้าของบุรุษหนุ่มเปลี่ยนเป็นซีดขาว มันไม่เคยเห็นสีหน้าของหวังเถิงเฟยเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้มาก่อน มันรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งร่าง จากนั้นก็จากไป
ภายในถ้ำแห่งเซียน สองตาหวังเถิงเฟยแดงก่ำ และจิตใจของมันเดือดพล่านเมื่อคิดไปถึงหานจงและเมิ่งฮ่าว มันได้คิดถึงวันที่มันได้ดูถูกศิษย์สายนอก เหมือนเป็นมดตัวหนึ่งในพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสนั้นอย่างช่วยไม่ได้
มันขมวดคิ้ว สีหน้าดูเศร้าหมองมากยิ่งขึ้น มันคิดว่าหยดโลหิตไม่สามารถรับรู้ถึงมรดกนั้นได้อย่างไร และหยดโลหิตของมันถูกลบล้างไปโดยคนผู้นั้นได้อย่างไร โดยไม่นึกไปถึงหานจงหรือเมิ่งฮ่าว ทั้งสองคนนี้ไม่มีทางที่จะทำเช่นนี้ได้
“มันเป็นใครกันแน่?!” ดวงตาของมันเต็มไปด้วยเส้นเลือด มันตบไปที่ถุงเก็บสมบัติแสงสีเงินสาดกระจายออกมา และรวมตัวกันเป็นวัตถุสีเงินรูปร่างแปดเหลี่ยม ลอยอยู่เบื่องหน้าของมัน
มันจ้องไปที่สิ่งนั้นสักพัก ดวงตาก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นี่เป็นวัตถุเวทชิ้นหนึ่งที่มันได้เตรียมใช้กับหนึ่งในภูเขาที่อยู่รอบๆ ภูเขาสีดำ หลังจากที่ใช้ไปแล้ว มันต้องใช้เวลาหลายชั่วยามเพื่อที่จะมีพลังกลับมาเหมือนเดิม และสามารถนำมาใช้ได้ใหม่อีกครั้ง
มันตัดสินใจที่จะใช้วัตถุเวทนี้อีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะทำให้มันบาดเจ็บก็ตาม มันจะส่งจิตสัมผัสของมันเข้าไปในวัตถุชิ้นนี้เพื่อที่จะมองเห็นว่าใครอยู่ที่นั่น ในวันนั้น ในเขตภูเขาสีดำ
มองดูไปที่วัตถุเวทสีเงินที่อยู่เบื้องหน้าของมัน หวังเถิงเฟย กัดลิ้นของมันและพ่นโลหิตออกมาเล็กน้อย เมื่อโลหิตสาดไปบนวัตถุเวทนั้น มันขยับนิ้วในรูปแบบของการกำกับคาถา และทันใดนั้นในศีรษะของมันก็ได้ยินเสียงหึ่งๆ ทุ้มต่ำ และการรับรู้ของมันก็เกิดเป็นแสงวาบ ท่ามกลางความรู้สึกที่เลือนลาง ทันใดนั้นมันก็รู้สึกได้ถึงแสงรัศมีที่แผ่กระจายออกมาเป็นระลอกคลื่น
“หนึ่ง, สอง…เก้าคน ที่ข้าเชิญมาช่วยเหลือ นี่เป็นแสงรัศมีของพวกมัน…” สีหน้าหวังเถิงเฟยเริ่มซีดขาว วัตถุเวทเบื้องหน้ามันเริ่มสั่น และมีรอยแตกปรากฎบนพื้นผิวของมัน แต่หวังเถิงเฟยก็ยังไม่ยอมหยุด และยังคงส่งจิตสัมผัสของมันเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
ภาพที่คลุมเครือเริ่มปรากฎในจิตสัมผัสของมัน เต็มไปด้วยจุดของแสง แสงสิบจุดเป็นคนที่คุ้นเคยกับมัน และหนึ่งในจุดแสงนั้นก็เป็นเมิ่งฮ่าว
นอกเหนือไปจากนั้น ยังมีจุดแสงอื่นอีก หวังเถิงเฟยสำรวมสมาธิไปชั่วครู่ จากนั้นก็แน่ใจได้ว่ามันคือ หานจง น่าเสียดาย ที่วัตถุเวทนี้เพียงแค่บันทึกคนที่อยู่ในอาณาเขตของเจ็ด หรือแปดภูเขาที่ล้อมรอบภูเขาสีดำไว้เท่านั้น ไม่ได้เก็บตำแหน่งที่อยู่ไว้ด้วย
หวังเถิงเฟยขมวดคิ้ว และทันใดนั้นก็สังเกตว่าภาพที่เลือนรางในจิตสัมผัสของมันนั้นยังมี…จุดแสงอื่นอีก!
มันเป็นภาพเงาลางๆ ถ้ามันไม่ได้มองเข้าไปใกล้ๆ ก็คงจะไม่เห็น ถ้าไม่ฝืนให้วัตถุเวทใช้พลังเกินขีดจำกัดของมัน หวังเถิงเฟยก็คงไม่สามารถสัมผัสถึงเงาลางๆ นี้ได้
“นี่…” หัวใจของมันเต้นระรัว พยายามเพ่งสมาธิพุ่งจิตสัมผัสเข้าไปอีก แต่เมื่อทำเช่นนี้ ร่างของมันก็สั่นและกระอักโลหิตออกมา วัตถุเวทแตกเป็นเสี่ยงๆ กระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พุ่งมาชนมันและผนังห้องของถ้ำแห่งเซียน
สีหน้ามันซีดขาว กระอักโลหิตออกมาอีก ดูเหมือนจะเกิดความกลัวเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมันสัมผัสได้ถึงจุดแสงจุดสุดท้าย จิตใจมันสั่นสะท้าน ราวกับว่าไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นจุดแสงนั้น มีความสามารถที่จะบดขยี้มันให้ถึงแก่ความตายได้อย่างง่ายดาย ด้วยความคิดเพียงแค่แวบเดียว
วัตถุเวทชิ้นนี้ ทำได้เพียงแค่ให้มันรู้สึกอย่างคร่าวๆ ถึงระดับของรัศมีของแต่ละคน แต่ไม่สามารถระบุพลังการฝึกตนของแต่ละคนได้ แต่สำหรับระดับรัศมีของจุดสุดท้าย ได้ส่งผลสะท้อนให้มันเกิดความกลัวจนเกินกว่าที่จะเชื่อได้
“นั่นเป็นใครกัน?!” หวังเถิงเฟยเอ่ยขึ้น ตัวสั่นสะท้าน ความกลัวนี้ทำให้มันแน่ใจได้ว่า บุคคลที่น่ากลัวผู้นี้ต้องเป็นคนที่สามารถลบล้าง จิตสัมผัสของหยดโลหิตในตัวมันไปได้อย่างง่ายดายเป็นแน่
หัวใจมันเย็นยะเยือก เงยหน้าขึ้นและสูดลมหายใจเข้าไปจนลึก หลังจากเวลาผ่านไปได้สักพัก สติของมันก็ฟื้นฟูกลับมา แต่ในความทรงจำของมัน แสงสลัวสุดท้ายนั่น สร้างความรู้สึกกดดันให้มันราวกับว่ามีภูเขาทั้งลูกมากดทับมัน
“คนผู้นั้นรู้ได้อย่างไรว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ภูเขาสีดำ…? เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันได้ลอบติดตามข้ามาตั้งแต่เริ่มต้นการค้นหา…? มันเป็นใครกัน…?”
……
เวลาผ่านไป และในที่สุดความฝันก็จบลง เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้น ไม่แน่ใจว่ากี่วันผ่านไปแล้ว รวมถึงไม่แน่ใจว่าพลังการฝึกตนของเขาได้เปลี่ยนไปอย่างไร เขารู้สึกราวกับว่าได้อยู่ในความฝันมาเป็นเวลาที่นานมาก
เมื่อความฝันยุติลง เมิ่งฮ่าวรู้สึกราวกับว่าเขาได้มีความทรงจำเพิ่มมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ ความทรงจำที่เลือนลางและโบราณ และไม่สามารถนึกออกได้ แต่ความกระหายที่จะบินในท้องฟ้า ยังคงส่งประกายเปี่ยมไปด้วยพลังในจิตใจของเขา
เขามีความมั่นใจว่า ถ้าในวันหนึ่งเขาสามารถบินไปในท้องฟ้าได้จริงๆ ความทรงจำในหัวของเขาก็จะชัดเจนมากยิ่งขึ้น
หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจ การมองเห็นของเขาก็เริ่มกลับคืนมาเป็นปกติอย่างช้าๆ เมื่อสติของเขากลับคืนมา เขาก็รู้สึกถึงพลังการฝึกตนของเขา จากนั้นก็หยุดไป จนต้องตกอยู่ในความตะลึงนิ่งอึ้ง
“ระดับขั้นหกของการรวบรวมลมปราณ?” สองตาของเขาเปล่งประกายลุกโชน และหลังจากที่ตรวจสอบพลังลมปราณอย่างถี่ถ้วน เขาก็เกือบจะเป็นบ้าด้วยความดีใจ เขารู้สึกได้ถึงทะเลสาบลมปราณที่ใหญ่โต และแกนอสูรที่ลอยอยู่ในทะเลสาบลมปราณนั้น ความรู้สึกประหลาดใจเริ่มครอบคลุมเขา
“ข้าถึงระดับขั้น…หกของการรวบรวมลมปราณจริงๆ!” ร่างเขาสั่นด้วยความดีใจเมื่อยืนขึ้นมา จากนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ เสียงหัวเราะของเขาดังก้องไปทั่วทั้งถ้ำแห่งเซียน
ด้วยความตื่นเต้น เขากลับลงไปนั่งขัดสมาธิอีกครั้ง ปิดตาลงและส่งจิตสัมผัสออกไป มันดูเหมือนว่าเขาจะสามารถรับรู้ถึงทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเขาได้อย่างละเอียดละออ ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงของเจ้าอ้วน ด้านนอกถ้ำ
“เมิ่งฮ่าว เจ้าคงถูกสาปให้เคราะห์ร้าย เจ้าเอาเม็ดยาลมปราณเกราะไป แต่ข้าก็ไม่ต้องการจะให้เม็ดยานั่นเป็นเหตุให้เจ้าถูกทำร้ายจนตาย ได้โปรดอย่าได้มาหลอกหลอนข้า…”
“เจ้านายอ้วนที่น่าสงสาร, จริงๆ แล้วข้ายังถูกสาปมากกว่าเจ้าซะอีก เจ้าทราบหรือไม่ว่าการค้าของพวกเราจบสิ้นแล้ว มันถูกขโมยไปแล้ว” เจ้าอ้วนนั่งยองๆ อยู่นอกถ้ำแห่งเซียน เบื้องหน้าของมันเป็นกองไฟเล็กๆ สีหน้าของมันแสดงถึงความเสียใจเมื่อมันกำลังเผากระดาษเงินกระดาษทองอยู่
“เมิ่งฮ่าว เมื่อเจ้ากลายเป็นวิญญาณ เจ้าต้องกลับมาช่วยข้า ดูสิว่าข้าได้เผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้เจ้ามากแค่ไหน” น้ำตาไหลลงมาจากใบหน้ามันราวสายน้ำ เมื่อมันเผากระดาษเงินกระดาษทองและร้องไห้คร่ำครวญต่อไป
“เจ้ามาจากครอบครัวยากจน แต่ไม่ต้องกังวล ข้า, เจ้านายอ้วน อยู่ที่นี่เพื่อดูแลเจ้า ข้าจะมาเผากระดาษเงินกระดาษทองให้เจ้าที่นี่ทุกวัน เพื่อให้เจ้าสามารถนำไปซื้อบ้านและตบแต่งเจ้าสาวในชาติหน้าได้ เจ้าจะได้บรรลุถึงเป้าหมายในการเป็นคนรวยเสียที”
“โฮ, เมิ่งฮ่าว เจ้าจากไปเช่นนี้ได้ยังไง…” เจ้าอ้วนร้องไห้เสียงดังมากขึ้น ราวกับว่าหัวใจของมันได้แตกสลายไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อได้ยินดังนี้ เมิ่งฮ่าวก็แสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมา เขาลืมตาขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่มีใครบางคนได้เผากระดาษเงินกระดาษทองให้เขา เขาไม่แน่ใจว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาลุกขึ้นยืนและผลักประตูหินให้เปิดออกพร้อมเสียงเสียดสียาวนาน จากนั้นก็เดินออกไป
เมื่อเขาเดินออกมา เสียงร้องไห้ของเจ้าอ้วนที่กำลังดังสนั่นหวั่นไหวอยู่ ทันใดนั้นก็หยุดลงในทันที และมันก็มองขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ ยืดตัวตรง สายตาของมันเต็มไปด้วยความกลัว จากนั้นมันก็จำแนกได้ว่าเป็นเมิ่งฮ่าว มันกระโดดปราดขึ้นมาด้วยสีหน้าเหวอหวาอ้าปากค้าง
เมิ่งฮ่าวมองไปที่เจ้าอ้วนด้วยสีหน้าแปลกๆ จากนั้นก็ส่งเสียงกระแอมไอออกมาเบาๆ และเดินไปที่ลำธารที่อยู่ใกล้บริเวณนั้นและเริ่มชำระล้างร่างกาย เขาไม่เคยสกปรกเช่นนี้มาก่อนในชีวิต หลังจากที่อาบน้ำล้างตัวเสร็จแล้ว เขาก็สวมใส่ชุดยาวสีเขียวชุดใหม่ จากนั้นก็ใช้กระบี่บินตัดแต่งผมที่ยาวของเขาออก ตอนนี้เขาก็ดูเหมือนเมิ่งฮ่าวคนเดิม เขาเดินกลับมาและส่งยิ้มให้เจ้าอ้วน