“ของวิเศษชิ้นนี้ต้องมีความเป็นมาที่พิเศษเฉพาะแน่นอน” เมิ่งฮ่าว แกว่งกระบี่ไม้ จากนั้นก็ปักมันลงไปที่พื้น มันทะลุเข้าไปลึกอย่างง่ายดาย เมิ่งฮ่าวยิ้ม ดึงมันออกมา รู้สึกไม่เคยมีความสุขเท่านี้มาก่อน
ทันใดนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้น มองไปด้วยความประหลาดใจ เขารับรู้ได้ว่าพลังลมปราณที่อยู่ในถ้ำแห่งเซียน ทันใดนั้น ก็จางเบางบางลงกว่าก่อนหน้านี้ จริงๆ แล้ว มันดูเหมือนว่าจะหายไปอย่างสิ้นเชิง
ถึงแม้ว่าไม่ได้มีพลังลมปราณจำนวนมหาศาลในตั้งแต่ตอนแรกแล้ว แต่การที่มันหายไปทั้งหมด ไม่ควรจะเป็นไปได้ พลังลมปราณนี้มาจากพลังของฟากฟ้าและผืนดิน ซึ่งกระจายไปตามภูเขาต่างๆ เหมือนกับเส้นเลือดในร่างคน สำนักเอกะเทวะก็เป็นสถานที่ที่มีพลังลมปราณแบบนี้กระจายอยู่ มันเป็นไปไม่ได้ที่พลังลมปราณจะหายไปในทันใดโดยไร้เหตุผล
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เมิ่งฮ่าวควบคุมลมหายใจให้คงที่ โคจรลมปราณและเพ่งสมาธิ ส่งความรู้สึกออกไป ทันใดนั้นเขาก็มองกลับมาที่กระบี่ไม้ ความรู้สึกเหลือเชื่อปรากฎบนสีหน้า เขาเพิ่งจะค้นพบว่าพลังลมปราณทั้งหมดในห้องนี้ได้ถูกซึมซับดูดกลืนเข้าไปโดยกระบี่ไม้เล่มนี้
“กระบี่เล่มนี้ … มันสามารถดูดกลืนพลังลมปราณ?” เมิ่งฮ่าวรู้สึกตกใจ หลังจากผ่านสักพัก เขาก็ตบลงไปที่ถุงเก็บสมบัติ หินลมปราณก็ปรากฎขึ้น หลังจากที่วางไว้ข้างกระบี่ เขาก็เห็นว่าหินลมปราณเริ่มจะมืดลงไปเรื่อยๆ เมื่อหายใจเข้าออกผ่านไปสิบครั้ง
เขาหยิบหินลมปราณกลับขึ้นมา รู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่สูญเสียหินลมปราณไปหนึ่งก้อน แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน
“กระบี่เล่มนี้…จริงๆ แล้วก็เป็นอาวุธเวทที่ทรงพลังมาก” เขาจ้องไปที่กระบี่ด้วยท่าทีมุ่งมั่น จากนั้นก็กรีดลงไปที่นิ้วมือของเขาช้าๆ ผิวหนังถูกตัดขาดอย่างง่ายดาย เมิ่งฮ่าวเพ่งไปที่พลังลมปราณของเขา แน่นอนที่สุด เขารู้สึกว่าพลังลมปราณในร่างเขา เริ่มถูกดูดออกไปอย่างต่อเนื่องผ่านรอยแผล
เขาปิดแผลที่นิ้ว ความตื่นเต้นเห็นได้ชัดในดวงตาของเขา ภายในชั่วพริบตา รอยแผลก็เรียบสนิท และเมิ่งฮ่าวจ้องไปที่กระบี่เล่มนั้น หัวเราะออกมาอย่างโง่งม
“ถ้าข้าใช้กระบี่เล่มนี้ในการต่อสู้ สิ่งที่ข้าต้องทำก็คือ กรีดพวกมันให้เป็นแผล พลังลมปราณของพวกมันก็จะไหลออกมาจนไร้พลังที่จะมาสู้กับข้า และข้าก็จะกระทืบพวกมันได้อย่างง่ายดาย แย่มากที่ข้ามีแค่เล่มเดียว ถ้าข้ามีสักสอง หรือสิบ หรือร้อยเล่ม ข้าก็จะสามารถทำให้ศัตรูสูญเสียพลังลมปราณได้เร็วขึ้น ช่างน่าประหลาดใจดีแท้…?” ภาพจินตนาการปรากฎขึ้นในความคิด เมื่อเขาได้กวัดแกว่งกระบี่ไม้ร้อยเล่ม แทงเข้าไปในร่างของหวังเถิงเฟยจนหมดสิ้น
การหลบหนีเข้าไปในภูเขาสีดำ และใช้หินลมปราณไปเกือบหมด จริงๆ แล้วก็คุ้มค่ามาก
ด้วยความคิดนั้น ทันใด เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และดึงกระจกทองแดงออกมา
“ข้ายังมีหินลมปราณเหลืออีกเท่าไหร่นะ…” เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ไม่สามารถหยุดคิดเกี่ยวกับความสามารถอันมหัศจรรย์ของกระบี่สั้นได้ เขาวางมันลงไปที่กระจก ทันทีที่มันสัมผัสกับผิวหน้า กระจกก็เปล่งแสงออกมาทันที และกระบี่ก็ถูกดูดเข้าไป เมิ่งฮ่าวไม่เคยเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแบบนี้มาก่อน และทำให้เขาค่อนข้างตกใจ เขาพยายามที่จะตระคุบกระจกเพื่อหยุดมัน แต่ก็ช้าไป กระบี่ไม้ได้หายไปแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น? บัดซบ เจ้ากระจก ข้าได้รับความยากลำบากอย่างแสนสาหัส กว่าจะได้กระบี่เล่มนี้มา เจ้า, เจ้า, เจ้า…อืม ใจเย็น ใจเย็นๆ” หายใจหอบไปชั่วครู่ เขาก็บังคับตัวเองให้ใจเย็นลง หลังจากพิจารณาไปสักพัก เขาก็หยิบเอาหินลมปราณมาวางไปบนกระจก มันก็หายไป
“หือ มันเริ่มกระบวนการผลิตไปแล้วเหรอ?” หัวใจเมิ่งฮ่าวเต้นรัว และด้วยความกังวล เขาก็วางหินลมปราณก้อนอื่นลงไปอีก หนึ่ง, สอง, สาม…เขาเริ่มมีสีหน้าท้อแท้ กระจกช่างเหมือนกับหลุมที่ไร้ก้น ก่อนที่เวลาจะผ่านไปนานกว่านี้ เมิ่งฮ่าวได้ใส่หินลมปราณลงในกระจกไปถึงสองร้อยก้อน
“บัดซบ, บัดซบ…” เขาอยากจะหยุด แต่ก็ปฏิเสธที่จะไปถึงจุดนั้น โดยที่ยังไม่มีผลลัพธ์อะไรออกมาเลย เขารู้ดีว่าถ้าเขาล้มเลิกตอนนี้ มันก็จะหมายถึงการยกเลิกความสามารถในการผลิตเลียนแบบของกระจก
เขาทำได้แค่เพียงอดทนต่อความผิดหวังของเขา และใส่หินลมปราณเพิ่มลงไปอีก สามร้อย สี่ร้อย เรื่อยๆ จนไปถึงหนึ่งพัน สีหน้าเขาเริ่มซีดขาว มือของเขาสั่นขณะที่ถือหินลมปราณก้อนต่อไปอยู่
“เมื่อไหร่จะจบสิ้นเสียที เจ้ากระจก? เจ้ากำลังขโมยหินลมปราณทั้งหมดที่ข้าเพิ่งจะได้มา?” เขากัดฟันแน่น เขาเพิ่งจะใส่หินลมปราณไปทั้งหมดหนึ่งพันก้อน เขาไม่สามารถยกเลิกในตอนนี้ ด้วยดวงตาที่แดงก่ำเช่นเดียวกับผีพนัน เขาใส่หินลมปราณเพิ่มลงไป ในที่สุด เมื่อใส่ลงไปถึงสองพันก้อน กระจกก็เริ่มส่องประกาย เปล่งแสงหลากสีออกมา แสดงให้เห็นว่าการผลิตลอกเลียนแบบได้เริ่มขึ้น ถึงจุดนี้ เมิ่งฮ่าวรู้สึกมึนงงเล็กน้อย เขาจ้องไปที่แสงหลากสีอย่างเงียบๆ ซึ่งกำลังจะเริ่มหายไปในไม่กี่อึดใจนี้
เมื่อแสงหายไป ก็มีกระบี่ไม้สองเล่มวางอยู่บนกระจก
เมื่อเขามองไป ใบหน้าของเขาก็เริ่มกลับมามีสีเหมือนเดิม เขาหยิบมันขึ้นมา มีความรู้สึกประสานกันระหว่างความเศร้าและความปวดใจ ที่เขาทำได้ทั้งหมดก็คือปลอบใจตัวเอง
“อืม ไม่มีปัญหา” เขาพึมพำกับตัวเองขณะที่กัดฟันไปด้วย “หินลมปราณสองพันก้อนคุ้มค่าหรือไม่? ช่างมันเถอะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ไม่มีใครที่ได้อะไรมาโดยที่ไม่สูญเสียอะไรไปเลย มันคุ้มค่าที่ได้กระบี่ไม้สองเล่มนี้” เขาพูดคำว่า “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้” ด้วยเสียงอันขมขื่นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็รีบเอากระจกทองแดงเก็บไป และมองไปที่กระบี่ไม้สองเล่มอีกครั้ง เขานั่งอยู่ที่นั่นชั่วครู่คิดถึงพลังของมัน ไม่นานจิตใจของเขาก็เริ่มเย็นลงอย่างช้าๆ
ความมุ่งมั่นเกิดขึ้นอีกครั้งในดวงตาของเขา หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็เก็บกระบี่ไม้ในถุงเก็บสมบัติ กระบี่ไม้ทั้งสองเล่ม มีค่าถึงหินลมปราณสองพันก้อน ซึ่งเป็นของที่มีค่ามากที่สุดเท่าที่เมิ่งฮ่าวเคยมีมา
ด้วยเสียงหัวเราะอย่างขมขื่น เขานั่งทำสมาธิอยู่ที่นั่น เฝ้ารอพลังลมปราณในถ้ำแห่งเซียนกลับคืนมา ทันใดนั้น เขาก็ลืมตาขึ้น หยิบแกนอสูรออกมาจากถุงเก็บสมบัติ
“ถึงแม้ว่า ข้าเพิ่งจะบรรลุถึงระดับห้าของการรวบรวมลมปราณ ใครจะรู้ได้ว่าถ้าข้ากินแกนอสูรนี้เข้าไป พลังการฝึกตนของข้าจะบรรลุไปถึงขั้นไหน…”
ด้วยการมองดูอย่างมุ่งมั่น เขาก็กลืนแกนอสูรลงไปและปิดตาลง ร่างของเขาเริ่มสั่น แกนอสูรเริ่มละลายกลายเป็นพลังลมปราณที่เข้มข้น จนคล้ายอุทกภัยท่วมอยู่ในร่างของเมิ่งฮ่าวในทันที
ความเข้มข้นของพลังลมปราณนี้ยิ่งกว่าเม็ดยาใดๆ ที่เมิ่งฮ่าวเคยกินมาก่อนหน้านี้ ในความเป็นจริง มันไม่มีทางที่จะไปเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นๆ ได้ แกนลมปราณระเบิดออกมาด้วยประกายแสงสีขาว กวาดผ่านไปทั่วร่างกายของเมิ่งฮ่าว โลหิตพุ่งกระจายออกมาจากปากของเขา และร่างสั่นเทิ้ม แต่เขาก็อดทนต่อไป และทะเลสาบลมปราณในร่างของเขาก็ขยายกว้างขึ้น กว้างขึ้น จนอึดใจต่อมา เมิ่งฮ่าวรับรู้ได้ถึงความกว้างที่ไร้จุดสิ้นสุด
ด้วยการขยายตัวอย่างรวดเร็วของทะเลสาบลมปราณในร่าง ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง และร่างกายของเขาก็สั่นมากขึ้นไปอีก เขากัดฟันแน่นเท่าที่จะทำได้ด้วยสีหน้าซีดขาว
จากนั้นทะเลสาบลมปราณก็เริ่มหมุนควงเป็นวง และระดับของพลังลมปราณอันน่าประหลาดใจก็เริ่มก่อตัว แม้จะเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เมิ่งฮ่าวก็รับรู้ได้ถึงพลังการฝึกตนของเขาที่ขยายจากจุดเริ่มต้นของระดับห้า ไปที่จุดกึ่งกลางของระดับห้า เวลผ่านไป ถึงแม้เขาไม่แน่ใจว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ จากเสียงสนั่นหวั่นไหวราวสายฟ้าฟาดของทะเลสาบลมปราณในร่าง พลังการฝึกตนของเขาก็ขึ้นไปสูงกว่าจุดสูงสุดของระดับห้า
จากนั้น ศรีษะเขาก็หมุนงุนงง และทันใดนั้น พลังการฝึกตนก็ก้าวผ่านระดับห้าไป และเข้าไปสู่…ระดับหกของการรวบรวมลมปราณ!
และไม่เพียงแต่อยู่ที่ขั้นเริ่มต้นของระดับหก มันเริ่มขยายต่อไปจนถึงขั้นกึ่งกลางของระดับหก จากนั้นมันก็เริ่มหยุดลงช้าๆ เสื้อผ้าของเมิ่งฮ่าวกลายเป็นเถ้าถ่าน มีเพียงถุงเก็บสมบัติที่ยังคงอยู่ข้างตัวเขา สิ่งปฏิกูลสีดำเคลือบไปทั่วร่าง แต่ถ้ามองใกล้เข้าไป ก็จะเห็นผิวหนังที่ส่องประกายจนคล้ายโปร่งแสง ราวกับว่าเป็นรัศมีจากแสงอาทิตย์ยามอรุณ สาดประกายออกมา
เส้นผมของเขางอกยาวออกมา จนปกคลุมไปทั่วไหล่ และตัวก็สูงขึ้นเล็กน้อย ร่างกายของเขาไม่ได้ดูอ่อนแอหรือเปราะบางอีกต่อไป แต่ดูสูงและสมส่วนมากกว่า
ผิวของเขาก็ยังคงมีสีคล้ำ แต่ใบหน้าของเขาเปล่งประกายแปลกตาจนยากที่จะอธิบาย
ทะเลสาบลมปราณของเขาเดือดพล่านและหมุนวน เติมเต็มไปทั่วร่างกายของเขา ลึกลงไปในซอกเหลือบของทะเลสาบลมปราณ แกนอสูรหยั่งรากอยู่ที่นั่นด้วยเหตุผลบางอย่าง มันไม่ได้ถูกละลายไป แต่กลับอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ไม่เคลื่อนไหว
ถ้ามันเพียงแค่อยู่ที่นั่น มันก็ไม่มีอะไรให้ต้องคิดเกี่ยวกับมัน แต่เมื่อพลังการฝึกตนของเขาบรรลุถึงระดับหก ขณะที่ศีรษะเขากำลังมึนงง เขาก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่คล้ายมรดกที่ถูกสืบทอดมาอย่างเลือนลาง เหมือนกับว่าความรู้สึกนี้ได้เล็ดลอดออกมาจากแกนอสูรนั้น หยั่งลึกลงไปในจิตใจของเขาราวกับตราประทับจากเหล็กกล้า
มันต้องเป็นทายาทตัวน้อยที่ยังอ่อนแอของมังกรปีกวารี ขณะที่มันกำลังจะตาย มันก็ได้หลอมรวมทายาทของมันเข้าไปในแกนอสูร งูเหลือมอสูรต้องคิดจะกลืนแกนอสูรนี้ลงไป หลังจากที่ลอกคราบเสร็จ และแน่นอนว่า หวังเถิงเฟย ได้ครอบครองโลหิตที่เชื่อมต่ออยู่กับทายาทมังกรปีกวารี ก็ต้องการแกนอสูรนี้เช่นเดียวกับงูเหลือมอสูร แต่น่าเศร้า…เมิ่งฮ่าวได้มันไปก่อน
ทันใดนั้น เมิ่งฮ่าวก็พบว่าเขาได้ฝันไป เขากำลังบินอยู่ในกลางฟากฟ้า ท้าทายสรรค์ และ เขย่าพื้นดิน ล้อมรอบด้วยสายลมและเมฆาที่ปั่นป่วน เขาเป็นราชันแห่งท้องนภา และเมื่อสัตว์ตัวอื่นๆ ที่บินได้มองมาที่เขา พวกมันก็ตัวสั่นราวกับว่าพวกมันขาดคุณสมบัติที่จะบินไป และปล่อยให้เขาเข่นฆ่าสังหารมัน
เขาเป็นราชันแห่งท้องนภา ผู้ถูกเลือก ผู้ที่ได้รับการสักการะจากสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ดูเหมือนว่าเขากำลังอยู่ในยุคสมัยโบราณ ที่นานมากมาแล้ว
ความรู้สึกที่กำลังบินอยู่ในสวรรค์ ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกชอบมาก จนเกือบจะหลงรักความรู้สึกนี้ เขาบินไปเป็นเวลานาน และตลอดเวลาที่บินไป ฝูงสัตว์ที่ดุร้ายก็ต้องล่าถอยด้วยความกลัวในตัวเขา และฝูงชนนับไม่ถ้วนบนพื้นดินก็หมอบกราบกรานเขาด้วยความเทิดทูนบูชา
ด้วยสายลมและพื้นดินใต้ร่างเขา มีเพียงแต่สวรรค์เท่านั้นที่จะเทียบคู่เขาได้ แต่เขาก็เท่าเทียมกับสวรรค์
จากนั้น เขาก็มาถึงทะเลสาบ และเขาก็ก้มหน้ามองลงไปยังเงาที่สะท้อนบนผิวของทะเลสาบ ก็เห็นตัวเองเป็นมังกร ยาวประมาณสองหมื่นหลี่ (1 หลี่ ยาวประมาณ 0.5 กิโลเมตร) พร้อมด้วยปีกที่ใหญ่โตทั้งสองข้าง แต่ละข้างก็ยาวเกือบสองหมื่นหลี่ เขาได้ครอบครองพลังอันน่าเหลือเชื่อซึ่งสามารถกำหนดทิศทางของโลกได้
หัวของเขาดูดุร้ายรุนแรง และมีหางที่ยาวมาก ทั้งหมดนี้รวมเข้าด้วยกันประกอบขึ้นเป็นพลังอำนาจอันเกรียงไกรไร้ที่สิ้นสุด ซึ่งได้สร้างเสียงขึ้นมาในจิตใจของเมิ่งฮ่าว จิตใจของเขาเหมือนกับถูกฉีกกระชากให้เปิดออก และเสียงนั้นก็ดังมา
“ข้าคือมังน้ำปีกวารีในสมัยโบราณ!” เสียงนี้ดังก้องอยู่ในจิตใจเขา กึกก้องไปทั้งโลก และทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว สิ่งมีชีวิตทั้งหมดร้องคำรามออกมา มังกรปีกวารีโบราณตัวนี้มีพลังลมปราณและเส้นโลหิตที่ยาวมากตั้งแต่ได้หายไปจากโลกมนุษย์ แต่ทายาทบางส่วนของมันก็ยังคงมีอยู่ ถึงแม้ว่าพวกมันจะอ่อนแอก็ตาม
ในเวลาเดียวกันนั้น ตรงเชิงเขาตะวันออกของสำนักเอกะเทวะ ในถ้ำแห่งเซียน หวังเถิงเฟย ใบหน้าดำคล้ำ ความโกรธเกรี้ยวในจิตใจของมันใกล้จะทำให้มันเป็นบ้า มันเพิ่งได้ลิ้มรสความล้มเหลว และอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากในการยอมรับมัน ไม่ว่ามันพยายามจะใช้หยดโลหิตเพื่อที่จะรับรู้ถึงมรดกจากสวรรค์หรือศัตรูของมันกี่ครั้งก็ตาม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย มันไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
“เจ้าหามันเจอหรือไม่?” หวังเถิงเฟยเอ่ยขึ้น พยายามระงับความโกรธในใจเมื่อมันเงยหน้าขึ้น มองไปที่บุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้ามัน เป็นบุรุษหนุ่มอีกคนที่คลุกคลีอยู่กับมันในวันนั้น นอกจากซ่างกวนเกอ