ชื่อเสียงของฟางมู่โด่งดังไปทั่วในสำนักจื่อยิ่น ไม่มีศิษย์สายในคนไหนที่ไม่รู้จักเขา นามของอาจารย์ปรุงยาที่เพิ่งจะถูกเลื่อนขั้นใหม่ผู้นี้ ดังก้องราวเสียงฟ้าร้องอยู่ในหูของอาจารย์ปรุงยาคนอื่นๆ ในแผนกเม็ดยาบูรพา
เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ของศิษย์สายใน และอาจารย์ปรุงยาทั้งหมด ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงศิษย์สายนอก และเด็กฝึกปรุงยาทั้งหลาย ชื่อเสียงของฟางมู่ตานชือ กระจายออกไปทั่วทั้งสำนักราวกับลมพายุ และศักดิ์ศรีของเขาท่ามกลางกลุ่มศิษย์สำนักจื่อยิ่นก็มีแต่จะเพิ่มสูงขึ้น
การเกร็งกำไรเกี่ยวกับเม็ดยาของฟางมู่ก็มีมากขึ้น ทุกคนมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า เขาเป็นคนที่มีบุคลิกแปลกประหลาด, พูดน้อย, ไม่ค่อยชอบออกไปคบค้าสมาคมกับใคร ในความเป็นจริง น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขามีหน้าตาอย่างไร
คำร้องขอเกี่ยวกับเม็ดยาทั้งหมดต้องผ่านทางไป๋หยุนหลาย สำหรับฟางมู่ ถึงแม้ทุกคนจะรู้จักนามนี้ แต่ก็ไม่มีใครมีโอกาสได้พบกับเขา เนื่องจากกฎของแผนกเม็ดยาบูรพา ห้ามศิษย์แผนกลมปราณม่วงเข้ามาก้าวก่าย ฟางมู่จึงกลายเป็นบุคคลลึกลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้ ด้วยกฎของสามรายการต่อวันของเขา ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เทียบเท่ากับการทำงานของเจ้าแห่งเตา ก็ยิ่งทำให้เขามีชื่อเสียงเพิ่มมากขึ้น
อันที่จริง กฎของสามรายการต่อวันนี้ ทำให้ศิษย์สายในสร้างระบบซื้อขายขึ้นมา ซึ่งทำให้ราคาเม็ดยาของเขาพุ่งสูงขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง
ในตอนนี้ ลึกเข้าไปในแผนกเม็ดยาบูรพา บนยอดเขาสีม่วง เป็นยอดเขาที่ไม่สูงมากนัก และจริงๆ แล้วก็ค่อนข้างจะถูกปกปิดไว้ด้วยยอดเขาที่อยู่รอบๆ แต่กลิ่นอายที่มีอยู่ซึ่งยากจะอธิบายออกมาได้ของยอดเขานี้ ทำให้เห็นได้ชัดว่า ถึงแม้จะเป็นยอดเขาที่ไม่สูง แต่มันก็เป็นหัวใจหลักของเทือกเขาทั้งหมดนี้
ที่กำลังนั่งอยู่ด้านบนสุดของยอดเขาเป็นชายชรา ที่เบื้องหน้าท่านเป็นโต๊ะทำงาน ซึ่งมีเม็ดยาวางอยู่ ท่านมองไปที่เม็ดยานั้น ดวงตาส่องแสงแปลกๆ ออกมา ด้านหลังชายชรายังมีบุคคลอื่นๆ อยู่อีกสามคน
บุคคลทั้งสามมีอายุไม่ใช่น้อย พื้นฐานฝึกตนของทุกคนอยู่ที่ขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง แต่ก็ดูเหมือนว่า พวกมันไม่กล้าจะหายใจแรงๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าชายชราผู้นี้ สีหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความเคารพ
ชายชราผู้นี้ ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็นอาจารย์ของฉู่อวี้เยียน เจ้าโอสถจอมปีศาจ ซึ่งมีนามที่สามารถสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดนด้านใต้
ท่านตรวจสอบเม็ดยาที่อยู่เบื้องหน้าสักพัก ในที่สุด ดวงอาทิตย์ก็เริ่มตกลงมา ท่านโบกสะบัดมือช้าๆ และหยิบเม็ดยาขึ้นมา
“น่าสนใจ” ท่านกล่าว จากนั้นก็เริ่มหัวเราะ ท่านเอามือปิดเม็ดยาและลูบมัน เมื่อท่านเปิดมือออกอีกครั้ง เถ้าธุลีก็ลอยออกไปในสายลม
หนึ่งในสามบุรุษที่อยู่ด้านหลังเจ้าโอสถจอมปีศาจลังเลอยู่สักพัก จากนั้นก็พูดขึ้นเงียบๆ “ตานกุ่ย (โอสถปีศาจ), มีความไม่พอใจอยู่ภายในแผนกลมปราณม่วง…”
“ไม่พอใจ?” ตานกุ่ยกล่าวเสียงราบเรียบ “ให้พวกมันอดทนไว้ ใครก็ตามที่สร้างปัญหาให้กับศิษย์แผนกเม็ดยาบูรพา ก็จะถูกตัดสิทธิ์จากการขอให้ปรุงยาสิบปี” เมื่อพูดจบ ท่านก็โบกสะบัดแขนเสื้อและหายตัวไป
บุรุษทั้งสามสบตากัน พร้อมรอยยิ้มอันขมขื่น พวกมันโค้งตัวให้กับตำแหน่งที่ตานกุ่ยเพิ่งจะนั่งอยู่เมื่อครู่นี้ จากนั้นก็หมุนตัว และจากไป
ภายใต้ท้องฟ้ายามสนธยา ด้านหลังไม่ไกลจากภูเขาสีม่วงมากนัก มียอดเขาที่สูงตระหง่านพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า ครึ่งทางของภูเขานี้มีศาลาอยู่ ซึ่งยื่นออกไปจากภูเขาแขวนอยู่กลางอากาศ ในช่วงตอนกลางวัน เมื่อมายืนอยู่ที่นี่ก็จะมองเห็นผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ ในยามราตรี เมื่อดวงดาวเผยโฉมออกมา ก็แทบจะเหมือนว่าสามารถยื่นมือออกไปสัมผัสท้องฟ้าได้
ยามสนธยาในตอนนี้ ลำแสงของดวงอาทิตย์ตกปกคลุมไปทั่วบริเวณนั้น สร้างเป็นบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกอ่อนล้า แสงสีทองรวมเข้ากับเมฆสีดอกกุหลาบบนเส้นขอบฟ้า ก่อให้เกิดเป็นภาพที่สวยงามอย่าน่าเหลือเชื่อ
ภายในศาลา สายลมยามเย็นโชยพัดมาเบาๆ สายลมนี้ไม่ได้พัดพาให้เมฆกระจายหายไป แต่ส่งผลให้เส้นผมสีดำที่ยาวเป็นเงางาม ลอยพริ้วไปมาในสายลม เส้นผมนี้ไม่ใช่ของใครอื่นนอกจาก ฉู่อวี้เยียน
นางยืนอย่างเงียบๆ อยู่ภายในศาลา เส้นผมของนางเต้นรำอยู่ท่ามกลางสายลม คิ้วของนางขมวดอยู่เล็กน้อย ขณะที่นางยกมือขึ้นมา ในฝ่ามือของนางเป็นเม็ดยา
“มันปรุงเม็ดยานี้ได้อย่างไร…” นางคิด “เป็นไปได้หรือไม่ว่า ความถนัดในเต๋าแห่งการปรุงยาของมัน เหมือนกับพรสวรรค์ในพืชสมุนไพรของมัน…? มีใครบางคนที่มีพรสวรรค์ในเต๋าแห่งการปรุงยาเช่นนี้จริงๆ? มันน่าประหลาดใจนัก…”
เม็ดยาเป็นสีเหลืองซีด และดูเหมือนจะไม่ใช่เม็ดยาที่ปรุงเสร็จสมบูรณ์
ด้วยการใช้หินลมปราณบางส่วน นางจึงสามารถซื้อเม็ดยานี้มาจากศิษย์สายใน แน่นอนว่า นั่นเป็นเม็ดยาที่ถูกปรุงมากับมือของเมิ่งฮ่าว
หลังจากที่ได้รับเม็ดยามา ปฏิกิริยาแรกของฉู่อวี้เยียนก็คือดูถูก แต่เมื่อนางได้ศึกษามันอย่างละเอียด สีหน้านางก็เปลี่ยนไป สุดท้าย นางก็จ้องมองด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง และไม่อยากจะเชื่อ
หลังจากได้ศึกษาเม็ดยานี้มาเจ็ดวัน ในที่สุดนางก็บดขยี้มันจนกลายเป็นฝุ่นผง หลังจากที่ตรวจสอบอย่างละเอียดเช่นนั้น ถึงแม้นางจะยังคงรู้สึกหงุดหงิดเมื่อคิดเกี่ยวกับฟางมู่ แต่นางก็ต้องยอมรับในเม็ดยานี้อย่างช่วยไม่ได้…ถึงแม้นางจะสามารถปรุงมันออกมาได้ด้วยจิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยความตั้งใจก็ตาม
ในที่สุด นางก็ใช้วิธีพิเศษของเจ้าโอสถจอมปีศาจ เพื่อปรุงเม็ดยานี้ขึ้นมาอีกครั้ง นางได้ใช้ผงของเม็ดยาดั้งเดิมเพื่อปรุงเป็นเม็ดยาขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากกลั่นสกัดเป็นครั้งที่สอง ความเข้มข้นของตัวยาก็มีมากถึงหกในสิบส่วน ซึ่งมาถึงจุดข้อจำกัดของนางแล้ว
“ถ้ามันได้เรียนรู้วิชาการกลั่นสกัดของท่านอาจารย์” นางพึมพำเสียงแผ่วเบา “ใครจะไปรู้ว่าเม็ดยาที่มันปรุงออกมาจะอยู่ที่ระดับไหน…?” นางมองออกไปยังกลุ่มเมฆสีดอกกุหลาบในที่ห่างไกล จากนั้นก็มองกลับมายังเม็ดยาที่อยู่ในมือ
“ท่านอาจารย์บอกว่า มันอาจจะมีความลับของการรู้แจ้งที่เกี่ยวกับเม็ดยาสามมฤตยู แต่มันช่างเป็นคนที่เย่อหยิ่งนัก ครั้งที่แล้วข้าไปหามัน มันก็ขังตัวเองอยู่ด้านในโดยไม่ยอมออกมา!” เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น แม้แต่คำว่าฟางมู่ ก็ยังทำให้อารมณ์ของนางต้องเดือดขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด
“ความน่าชังของเจ้าฟางมู่นี้ เพียงรองจากเจ้าบัดซบเมิ่งฮ่าวเท่านั้น!” นางกล่าว ขบฟันแน่น เห็นได้ชัดว่า บุคคลสองคนที่นางเกลียดชังมากที่สุด เมิ่งฮ่าว อยู่ในอันดับแรก และฟางมู่ อยู่ในอันดับสอง
แต่นางก็ยังคงไม่รู้ว่า ทำไมฟางมู่ถึงได้ทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดมากเช่นนี้ แน่นอน ถ้านางรู้ว่าฟางมู่ และเมิ่งฮ่าวเป็นคน คนเดียวกัน นางก็คงจะเข้าใจในทันทีว่าทำไม
ในเวลาเดียวกับที่ฉู่อวี้เยียนกำลังพึมพำกับตัวเอง เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ตรงหน้ากระถางปรุงยาเพื่อปรุงเม็ดยาออกมาหลายชุด เสียงกระหึ่มกึกก้องได้ยินออกมา กระจายเต็มไปทั่วทั้งถ้ำแห่งเซียน เมิ่งฮ่าวถอนหายใจ ไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ เขาต้องปรุงเม็ดยาอยู่ทุกวัน เขาเพิ่งจะเสร็จสิ้นการปรุงยาทั้งหมด ที่ค้างอยู่ของศิษย์สายในทั้งหลาย กระถางปรุงยาที่อยู่เบื้องหน้าเขากำลังจะหมดอายุการใช้งานพอดี มันคงจะแตกออกเป็นชิ้นๆ อีกในไม่ช้าอย่างแน่นอน
เมิ่งฮ่าวยกมือลูบจมูก จากนั้นก็เปิดประตูถ้ำแห่งเซียนเพื่อมองดูอาทิตย์ตกดิน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สายลมแห่งขุนเขานำพาความเย็นของฤดูใบไม้ร่วงมาด้วย เมื่อเขาสูดมันเข้าไป ความตรึงเครียดก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงอย่างช้าๆ จากความรู้สึกปวดศีรษะ
“เมื่อข้าปรุงยาตามใบสั่งซื้อที่ค้างไว้ครบหมดแล้ว สิ่งที่ต้องกังวลก็แค่สามรายการต่อวัน รวมถึงเม็ดยาที่ข้าต้องใช้สำหรับฝึกฝนตนเอง เม็ดยาฐานวิญญาณก็มีประสิทธิภาพไม่มากนัก ถ้าข้าจะปรุงเม็ดยาใดๆ ก็ควรจะเป็นจู้จีเทียน!” ดวงตาเขาส่องประกาย จู้จีเทียน (สร้างพื้นฐานฟ้า) เป็นเม็ดยาที่เหมาะสมกับขั้นสุดท้ายของพื้นฐานลมปราณ มันเป็นเม็ดยาที่ทรงพลังอย่าน่าเหลือเชื่อ เป็นหนึ่งในเม็ดยาที่มีค่ามากที่สุด ของสำนักจื่อยิ่นสำหรับขั้นพื้นฐานลมปราณ
เมื่อเร็วๆ นี้ เมิ่งฮ่าวได้กลั่นสกัดเม็ดยามากกว่าหนึ่งพันชุด และได้รับสูตรผสมยาถึงหนึ่งร้อยชนิด หนึ่งในนั้นก็คือสูตรของยาจู้จีเทียน หลังจากที่ทำการศึกษาค้นคว้า เขาก็สรุปได้ว่า การที่จะประสบความสำเร็จในการปรุงยาชนิดนี้ เขาต้องมีการพักผ่อน จากนั้นก็ใช้ทักษะทั้งหมดเพื่อปรุงเม็ดยาจู้จีเทียนให้มีความเข้มข้นอย่างน้อยเก้าในสิบส่วน
ด้วยเม็ดยานี้ เขาก็จะสามารถสร้างเสาแห่งเต๋าต้นที่หกให้เสร็จสมบูรณ์ได้ และเริ่มสร้างต้นที่เจ็ดต่อไป
“โชคร้ายที่ลมปราณม่วงบูรพา ให้เรียนรู้ได้เฉพาะเจ้าแห่งเตาเท่านั้น มันเป็นวิชาในตำนาน และไม่มีทางที่จะแอบศึกษาได้ ทุกคนที่เรียนรู้วิชานี้ ต่างก็ไม่ยอมถ่ายทอดให้ใคร” จมอยู่ในห้วงความคิด เมิ่งฮ่าวเดินทอดน่องลงมาจากภูเขาช้าๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกมาข้างนอกจากเวลาที่เนิ่นนานมาแล้ว
“แม้แต่ศิษย์สายในก็ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ ที่จะมีตำราลมปราณม่วงบูรพาอยู่ในครอบครอง พวกมันถูกบังคับให้ฝึกฝนบนพื้นฐานของการคาดเดากันเอง มีเพียงศิษย์แกนหลักของแผนกลมปราณม่วง หรือเจ้าแห่งเตาเท่านั้น ที่จะมีโอกาสได้อ่านตำราของจริงเพื่อศึกษาวิชานี้” เมิ่งฮ่าวตัดสินใจที่จะต้องเรียนรู้วิชานี้ให้ได้ มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่เขาจะสามารถเตรียมสร้างแกนสีม่วงได้ ด้วยพื้นฐานนี้ เขาก็จะสามารถกลืนกินเม็ดยาเพื่อสร้างเป็นแกนสีทองที่สมบูรณ์
“ข้าได้ค้นหาสมุนไพรบางชนิดที่ใช้สำหรับแกนสีทองที่สมบูรณ์ แต่ก็ยังได้มาไม่ครบ เมื่อไหร่ที่ข้ากลายเป็นเจ้าแห่งเตา มันก็คงจะช่วยให้ง่ายขึ้น” เมิ่งฮ่าวเดินผ่านหุบเขาต่างๆ จมอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด ตลอดรายทาง เขาได้พบปะกับเด็กฝึกปรุงยาไม่น้อย บางคนก็จดจำเขาได้ และจ้องมองมาด้วยความประหลาดใจ จากนั้นใบหน้าของพวกมันก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ยิ่งไปกว่านั้น เด็กฝึกปรุงยาสามหมื่นคน เคยเห็นเขาถูกเลื่อนขั้นขึ้นเป็นอาจารย์ปรุงยามาก่อน จึงไม่ต้องประหลาดใจว่า มีอยู่หลายคนที่ยังคงจำเขาได้ แต่ในตอนนี้ เขาเป็นอาจารย์ปรุงยาแล้ว พวกมันจึงไม่กล้าที่จะหยุดเขาไว้เพื่อพูดคุย พวกมันคารวะเขาด้วยความเคารพแทน
เมิ่งฮ่าวต้องการหาสถานที่เงียบๆ เพื่อครุ่นคิดไตร่ตรอง หลังจากยิ้มตอบกลับไปยังเด็กฝึกปรุงยา เขาก็แวบหายไป เขาออกจากหุบเขาของแผนกเม็ดยาบูรพา เข้าไปสู่แผนกลมปราณม่วง
ขณะที่เขาเดินเตร็ดเตร่อยู่นั้น เขาก็มองไปยังทัศนียภาพที่อยู่รอบๆ เขามาอยู่ในสำนักจื่อยิ่นได้ราวๆ สามปีแล้ว ถึงแม้เขาจะค่อนข้างคุ้นเคยกับมัน แต่สำนักนี้ก็เป็นสถานที่กว้างใหญ่ ยังมีพื้นที่อีกหลายแห่งที่เขายังไม่เคยไป ขณะที่เขาเดินอยู่ ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงทุ่มเถียงกัน ซึ่งมีการเอ่ยถึงนามของเขาอยู่ด้วย
“เจ้าฟางมู่ผู้นั้น แน่นอนว่าพยายามที่จะให้คนอื่นๆ ยกย่องชมเชยมัน มันคิดว่าเม็ดยาของมันน่าอัศจรรย์ใจมาก ดังนั้นมันจึงต้องการที่จะสร้างปัญหาให้กับพวกเรา ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้! ข้าได้รายงานเรื่องนี้ต่อผู้อาวุโสแล้ว และพวกท่านก็กำลังจะติดต่อไปยังบุคคลในแผนกเม็ดยาบูรพา ฟางมู่ต้องถูกลงโทษ! สำหรับเจ้า เจ้าเป็นแค่เด็กฝึกปรุงยาอันต่ำต้อย ทางออกที่ดีที่สุดก็คือ ขอโทษสำหรับความผิดนี้!”
“ศิษย์พี่หลิว, ได้โปรดระงับโทสะ นี่เป็นความผิดของข้าเอง แต่จริงๆ แล้ว อีกสิบวันข้างหน้าที่ใบสั่งซื้อทั้งหมดจะเต็ม…”
มีการพูดคุยกันวุ่นวาย จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะออกมา เมิ่งฮ่าวได้ยินเพียงแค่บางประโยค และแน่ใจได้ว่า หนึ่งในเสียงนั้นเป็นของไป๋หยุนหลาย เขาเดินไปรอบๆ สวนหินประดับ เข้าไปในเขตพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสด้านใน ซึ่งสามารถมองเห็นเจดีย์อยู่สี่หลัง
ภายในเจดีย์มีบุรุษเยาว์วัย กำลังมองมายังเขตสี่เหลี่ยมจัตุรัส ซึ่งมีศิษย์สายในของแผนกลมปราณม่วงอยู่สิบกว่าคน
บุรุษเยาว์วัยที่นั่งอยู่ในเจดีย์ ไม่ใช่ศิษย์ธรรมดาทั่วไป แต่เป็นผู้ถูกเลือกของแผนกลมปราณม่วง มีเจดีย์อยู่ทั้งหมดสี่หลัง และมีสี่ผู้ถูกเลือก หนึ่งคนต่อหนึ่งเจดีย์
กลุ่มคนที่ยืนอยู่ในเขตสี่เหลี่ยมจัตุรัส กำลังพูดคุยกัน โดยมีไป๋หยุนหลายอยู่ตรงกลาง บุรุษหนุ่มชุดสีน้ำเงิน กำลังชี้มือไปที่ไป๋หยุนหลาย และก่นด่าด้วยถ้อยคำดูถูกเหยียดหยาม
“คำพูดของข้า อาจจะไม่ใช่กฎของสำนัก แต่สำหรับเจ้า มันใช่! ถ้าข้าบอกให้เจ้าตบหน้าตัวเอง และกล่าวคำขอโทษ เจ้าก็ต้องทำ!”
ใบหน้าไป๋หยุนหลายซีดขาว และร่างกายก็สั่นสะท้าน พื้นฐานฝึกตนของมันอ่อนแอ มันเป็นคนที่สันทัดรอบรู้ น้อยคนมากที่จะมองว่ามันเป็นคนที่อยู่ในสถานะอันต่ำต้อย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรื่องเช่นนี้ได้เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ แต่มันก็ไม่เคยบอกเมิ่งฮ่าว มันไม่ต้องการรบกวนเขา มันมักจะระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลาในการติดต่อกับคนอื่นๆ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยงการมีเรื่องกับทุกๆ คน
สำหรับบุรุษเยาว์วัยแซ่หลิวผู้นี้ มันได้ใช้ตำแหน่งที่ค่อนข้างสูงภายในสำนักของมัน เพื่อร้องขอเม็ดยาจากเมิ่งฮ่าว แต่มีกฎว่าเพียงสามรายการต่อวันเท่านั้น และใครมาก่อนก็จะได้ก่อน ไป๋หยุนหลายได้พยายามอย่างดีที่สุด ที่จะไม่ไปมีเรื่องกับผู้แซ่หลิวนี้ แต่คำพูดที่ประนีประนอมของมันก็นำมาซึ่งความเกลียดชัง
แม้จะเป็นบุคคลที่ต่ำต้อย แต่ก็ยังมีเกียรติศักดิ์ศรี ไป๋หยุนหลาย สั่นไปทั้งร่าง จ้องไปยังคนแซ่หลิวด้วยความขมขื่น มันยกมือขึ้น และดูเหมือนกำลังจะตบไปที่ใบหน้าตัวเอง ขณะที่…
เสียงอันเยือกเย็นของเมิ่งฮ่าวก็ดังก้องขึ้น “ไป๋หยุนหลาย!”