เมื่อเสียงของเมิ่งฮ่าวดังออกมา ไป๋หยุนหลายก็มีท่าทางตกใจ ทันใดนั้น มันก็หันหน้ามา และมองเห็นเมิ่งฮ่าวกำลังเดินออกมาจากด้านหลังของสวนหินอย่างช้าๆ เขาเดินมาเรื่อยๆ และใบหน้าก็ไร้ความรู้สึก
เมื่อไป๋หยุนหลายมองเห็นเขา จิตใจของมันก็ทะยานขึ้นด้วยความตื่นเต้น รวมถึงมีสีหน้าละอายใจเล็กน้อย ในจิตใจของมัน มันรู้สึกเสียหน้าต่อหน้าฟางมู่ มันกำลังจะอ้าปากพูด ขณะที่สายตาของเมิ่งฮ่าวที่เต็มไปด้วยการยอมรับตกกระทบไปบนตัวมัน
สายตานี้ทำให้ไป๋หยุนหลายต้องสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ราวกับว่า มันรู้สึกภาคภูมิใจที่มีใครบางคน รับรู้ในสิ่งที่มันได้ทำไปทั้งหมด มันเป็นความรู้สึกดีๆ ที่ได้ติดตามเมิ่งฮ่าวจนเขาเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา
การปรากฎตัวของเมิ่งฮ่าว เห็นได้ชัดว่า ได้สร้างความสนใจให้กับคนอื่นๆ ในเขตสี่เหลี่ยมจัตุรัส พวกมันมองมา แต่แน่นอนว่า ไม่มีใครในพวกมันที่รู้ว่าเขาเป็นใคร ผู้ถูกเลือกที่อยู่ในเจดีย์ทั้งสีแห่งขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่า เมิ่งฮ่าวเป็นคนแปลกหน้าสำหรับพวกมันเช่นกัน
“ใครบอกให้เจ้าเอามือลง?” บุรุษหนุ่มแซ่หลิวกล่าว “เจ้าต้องการให้ข้าช่วยเจ้าตบหน้าตัวเอง?” เสียงของมันเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม มันก็เช่นกัน ที่ได้มองเห็นเมิ่งฮ่าว แต่ที่นี่เป็นหุบเขาของแผนกลมปราณม่วง มันไม่ต้องการลดความยิ่งใหญ่ของตัวเองลง เพียงเพราะว่ามีอาจารย์ปรุงยาบางคนปรากฎกายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันรู้จักอาจารย์ปรุงยาในสำนัก ที่สำคัญๆ ทุกคนดี
ที่กำลังยืนอยู่ด้านหลังคนแซ่หลิวมีอีกห้าคน สายตาของพวกมันเต็มไปด้วยการดูถูก และรอยยิ้มที่เย็นชาก็แผ่กระจายไปทั่วใบหน้าของพวกมัน
“ไป๋หยุนหลาย, มานี่” เมิ่งฮ่าวกล่าว ไม่สนใจคนแซ่หลิว เขาไม่สนใจสายตาของคนอื่นๆ ที่มองมาด้วยเช่นกัน เมิ่งฮ่าวเคยเผชิญหน้ากับบุคคลมากมายเช่นนี้มาก่อน ไม่สำคัญว่าพวกมันจะเป็นผู้ถูกเลือกหรือเต้าจื่อ เมื่อพิจารณาถึงสถานะของเมิ่งฮ่าวในตอนนี้ พวกมันไม่มีอะไรนอกจากเป็นแค่สุนัขที่เขาไม่จำเป็นต้องสนใจ
ไป๋หยุนหลายรีบหันร่าง และก้าวเท้าเดินตรงไปยังเมิ่งฮ่าว แต่คนแซ่หลิวแค่นเสียงเย็นชา และเริ่มยื่นมือตรงไปที่มัน
“ข้ายังไม่บอกให้เจ้าจากไป! ดูท่าต้องสั่งสอนเจ้าบ้างแล้ว!” มือของมันกำลังจะตบลงไปบนร่างไป๋หยุนหลาย ทันใดนั้นเอง สีหน้าที่เยือกเย็นไร้ความรู้สึกของเมิ่งฮ่าวก่อนหน้านี้ได้เปลี่ยนไป แสงอันเย็นชา ทันใดนั้น ก็พุ่งออกมาจากดวงตาของเขา และกวาดไปยังคนแซ่หลิว
มันเหมือนฟ้ากำลังผ่าลงมา, สายฟ้าที่แวบผ่านท้องฟ้า หรือเมฆดำแห่งหายนะ ซึ่งทันใดนั้น ก็ปรากฎขึ้นในท่ามกลางวันที่มีแสงแดดแผดจ้า
ราวกับว่ามีเสียงฟ้าร้องดังก้องอยู่ในจิตใจของคนแซ่หลิว สีหน้าของมันเปลี่ยนไป การจ้องมองของเมิ่งฮ่าว เหมือนกับสัตว์ขนาดใหญ่ซึ่งมีพลังพร้อมที่จะกลืนกินสิ่งมีชีวิตทั้งหมดลงไปได้ ทำให้คนแซ่หลิวต้องดึงมือกลับไปโดยไม่รู้ตัว ในตอนนี้เอง ที่ไป๋หยุนหลายเดินมาถึงเมิ่งฮ่าว
เมิ่งฮ่าวถอนการจ้องมองกลับมา จากนั้นก็หันหลังและจากไปพร้อมกับไป๋หยุนหลาย จากระดับพื้นฐานฝึกตน และสถานะของเขาในสำนัก พวกศิษย์เหล่านี้อยู่ใต้เขาห่างไกลนัก ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องมาแสดงความสามารถต่อหน้าพวกที่ถูกเรียกว่า ผู้ถูกเลือก
แน่นอนว่า นอกจากบุรุษวัยเยาว์แซ่หลี่แล้ว ก็ไม่มีผู้ฝึกตนของแผนกลมปราณม่วงแม้แต่คนเดียว ในเขตสี่เหลี่ยมจัตุรัสจะสามารถสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นนี้ แม้แต่บุคคลทั้งห้าที่ยืนอยู่ด้านหลังของมันก็ไม่อาจสัมผัสได้ สิ่งเดียวที่พวกมันเห็นก็คือ ท่าทีที่ดุร้ายของเมิ่งฮ่าว และแววตาที่รุนแรงของเขา แต่อย่างไรก็ตาม ใครๆ ในโลกนี้ ต่างก็สามารถมองไปยังบางคนด้วยสายตาเช่นนั้นได้ พวกมันคงไม่สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
สีหน้าของผู้ถูกเลือกในเจดีย์ทั้งสี่เปลี่ยนไป พวกมันดูท่าทางกำลังครุ่นคิด แต่คนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ด้านนอกเจดีย์ก็เห็นได้ชัดว่า เหมือนกับผู้ฝึกตนที่อยู่ในเขตสี่เหลี่ยมจัตุรัส พวกมันไม่รู้ในสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้น
คนทั้งห้าที่อยู่ด้านหลังคนแซ่หลิว วิ่งตรงไปขวางทางเมิ่งฮ่าวในทันที ดวงตาเต็มไปด้วยแสงแห่งความมุ่งร้าย
“แผนกลมปราณม่วง ไม่ใช่สถานที่ ที่เจ้าจะมาแค่พูดและจากไปได้เช่นนี้!”
“หยุด! ศิษย์พี่หลิวกำลังพูดถึงกฎอยู่ ไป๋หยุนหลาย, เจ้ายังจากไปไม่ได้! เจ้าต้องได้รับการสั่งสอน!”
“กล้าดียังไง! ถึงแม้เจ้าจะเป็นอาจารย์ปรุงยา เจ้าก็คิดว่าจะดูหมิ่นศิษย์สายในของแผนกลมปราณม่วงได้อย่างง่ายดายเช่นนี้?”
คนแซ่หลิวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นก็ก้าวเดินตรงไป พูดเสียงเย็นชา “ถ้าเจ้าต้องการ ก็จากไปได้, แต่ไป๋หยุนหลายผู้นี้ ไร้ความเคารพในตัวพวกข้า การปล่อยให้มันจากไปโดยไม่มีการลงโทษ จะเป็นการหยามเกียรติของสำนักสายใน แผนกลมปราณม่วงทั้งหมด!” มันรู้สึกหวาดกลัวในตัวเมิ่งฮ่าว เสียงของมันเย่อหยิ่งน้อยกว่าเมื่อครู่นี้ แต่กระนั้นก็ยังคงหยิ่งยโสอยู่
ใบหน้าไป๋หยุนหลายซีดขาว และมันพยายามสะกดข่มโทสะที่พุ่งขึ้นมาในดวงตาลง มันรู้ว่าเมิ่งฮ่าวเป็นอาจารย์ปรุงยา แต่พวกเขาก็อยู่ในอาณาเขตของสำนักสายใน แห่งแผนกลมปราณม่วง ดังนั้น มันยังคงมีความวิตกกังวลอยู่บ้าง มันไม่ถือสา ถ้าจะให้ตบหน้าตัวเองไม่กี่ครั้ง มันไม่ต้องการให้เมิ่งฮ่าวมาเผชิญหน้ากับปัญหาใดๆ อันสืบเนื่องมาจากตัวมัน ดังนั้น มันจึงหยุดลง
แม้ในขณะที่มันทำเช่นนั้น เมิ่งฮ่าวก็หยุดเดินด้วยเช่นกัน หันมองไปรอบๆ “คนพวกนี้เป็นใคร?” เขาถามเสียงราบเรียบ
เสียงของไป๋หยุนหลายแผ่วเบา ขณะที่มันกล่าวตอบ “ศิษย์สายใน แผนกลมปราณม่วง หลิวเยี่ยนปิง…มัน…” เมิ่งฮ่าวพยักหน้า จากนั้นก็พูดเสียงเยือกเย็น “จากวันนี้เป็นต้นไป, ข้าจะไม่รับคำสั่งซื้อเม็ดยาใดๆ จาก หลิวเยี่ยนปิง ผู้นี้”
ขณะที่คำพูดนี้ดังออกไป ศิษย์สายในทั้งหมดต่างก็จ้องมองมาด้วยความประหลาดใจ พวกที่ฉลาดบางคนในท่ามกลางกลุ่มของพวกมัน เริ่มรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว
ผู้ถูกเลือกในเจดีย์ทุกคน จ้องมายังเมิ่งฮ่าวด้วยดวงตาที่ส่องประกาย หนึ่งในพวกมันเริ่มก้าวเท้าออกมาจากเจดีย์ และเดินตรงมาสองสามก้าว
“ไม่เพียงแต่มัน” เมิ่งฮ่าวกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังมันด้วย ข้าไม่รับคำสั่งซื้อใดๆ จากพวกมันด้วย” ใบหน้าไป๋หยุนหลายเต็มไปด้วยความตกตะลึง แต่กระนั้น มันก็ยังพยักหน้า
ใบหน้าหลิวเยี่ยนปิงเคร่งเครียด ขณะที่มันมองมายังเมิ่งฮ่าวในทันที ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ถ้าตอนนี้มันยังไม่ตระหนักว่าเมิ่งฮ่าวเป็นใคร มันก็คงไม่ควรจะฝึกฝนจนอยู่ในขั้นพื้นฐานลมปราณแล้ว
แต่ก็ยังมีผู้คนที่โง่เขลาอยู่ในโลก หนึ่งในบุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลิวเยี่ยนปิง ทันใดนั้น ก็หัวเราะขึ้นมา
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? ดูเหมือนเจ้าจะคิดว่า พวกเราต้องอ้อนวอนให้เจ้าช่วยปรุงเม็ดยาให้ เจ้าช่างไม่เกรงกลัวเจ้านายของเจ้าเลย อะไรที่ทำให้เจ้าคิดว่า เจ้าช่างเก่งกล้าจนสามารถพูดจาได้เช่นนั้น?”
“เพราะว่า ข้าคือ ฟางมู่!” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงราบเรียบ แค่ประโยคเดียวนี้ ก็ทำให้ดวงตาบุรุษหนุ่มผู้นั้นเบิกโพลง และท่าทางไม่อยากจะเชื่อปกคลุมใบหน้าของมัน
“ฟาง…ฟาง มู่…”
ใบหน้าของคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ด้านหลังหลิวเยี่ยนปิงทั้งหมดต่างก็บิดเบี้ยว พวกมันมองมายังเมิ่งฮ่าว ตกตะลึงไปตามๆ กัน ไม่เพียงแต่พวกมันเท่านั้น ศิษย์แผนกลมปราณม่วงทั้งหมด ที่อยู่ในเขตสี่เหลี่ยมจัตุรัสต่างก็อ้าปากค้าง เมื่อพวกมันได้ยินคำพูดนั้น ดวงตาพวกมันเริ่มส่องแสงเจิดจ้า ขณะที่มองมายังเมิ่งฮ่าว
ใบหน้าของผู้ถูกเลือกแผนกลมปราณม่วง เปลี่ยนไปมาหลายรูปแบบ ความเงียบปกคุลมเขตสี่เหลี่ยมจัตุรัสในทันที
นามของฟางมู่ได้กระจายไปทั่วทั้งสำนักจื่อยิ่นตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ชื่อเสียงที่โด่งดังของเขา ทำให้น้อยคนนักที่ไม่รู้จักเกี่ยวกับตัวเขา และการปรุงยาของเขา
ดังนั้น เมื่อเมิ่งฮ่าวพูดถึงนามของฟางมู่ ก็เหมือนกับเสียงฟ้าผ่าซึ่งดังก้องไปทั่วในพื้นที่ราบ
ใบหน้าหลิวเยี่ยนปิงหมองคล้ำลง และผู้ฝึกตนที่อยู่ด้านหลังมันก็มีท่าทางกังวลในทันที ก่อนหน้านี้ พวกมันมีความสุขที่ได้สอนบทเรียนให้กับไป๋หยุนหลาย ซึ่งเป็นเพียงแค่เด็กฝึกปรุงยา แต่ตอนนี้ ฟางตานชือ ผู้มีเลือดเนื้อได้อยู่ที่นี่แล้ว พวกมันไม่ต้องการที่จะมีเรื่องกับเขา พวกมันรีบเดินไป พยายามที่จะกล่าวคำอธิบายในทันที
แต่เมิ่งฮ่าวก็หันหลังกลับ เขาไม่ต้องการพูดกับกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าศิษย์สายในนี้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นด้านไหน ทั้งสถานะหรือตำแหน่งของเขา เขาและกลุ่มคนเหล่านี้ก็แตกต่างกันราวกับสีขาวและสีดำ เขาหันหลังเดินจากไป ไป๋หยุนหลายก็ติดตามไป แม้ขณะที่เขาทำเช่นนั้น ผู้ถูกเลือกทั้งสี่คนก็รีบติดตามมา เห็นได้ชัดว่า ตั้งใจจะเข้ามาพูดคุย
จิตใจหลิวเยี่ยนปิงเต็มไปด้วยความขมขื่น แต่เมื่ออยู่บนหลังเสือแล้ว ก็ยากที่จะลงมาได้ มันไม่ยอมแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้ กัดฟันแน่น มันเปิดปากพูด พยายามที่จะรักษาหน้าตาตัวเองไว้ “อืม, เจ้าคือฟางมู่ ก็ดี, เจ้าอาจจะไม่ยอมปรุงยาให้ข้า แต่เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นอาจารย์ปรุงยาเพียงคนเดียวในแผนกเม็ดยาบูรพาหรืออย่างไร? นอกจากนั้น เม็ดยาที่เจ้าปรุงออกมาก็มีคุณภาพต่ำยิ่งนัก ไร้ค่าแม้แต่จะมองดู!”
เมิ่งฮ่าวหัวเราะเสียงเย็นชา เขาหยุดลงเป็นครั้งที่สาม หันร่างมา จ้องเขม็งไปยังหลิวเยี่ยนปิง ถ้าคนผู้นี้ไม่พูดต่อ เขาก็ไม่ต้องการจะโต้เถียงกับคนโง่เช่นมัน แต่คำพูดที่แปลกและขัดแย้งกันเองของมัน ทำให้สายตาของเมิ่งฮ่าวเริ่มเย็นเยียบราวน้ำแข็ง
“ข้าเพียงคนเดียวท่ามกลางอาจารย์ปรุงยาหนึ่งพันคนในแผนกเม็ดยาบูรพา บางทีเม็ดยาของข้าไม่คู่ควรแม้แต่จะชำเลืองมอง ดังนั้น นับจากนี้ไป ข้าจะไม่ปรุงยาให้ใครก็ตาม ที่มีการติดต่อใดๆ กับเจ้า” คำพูดอันเย็นชาของเมิ่งฮ่าว ทำให้ผู้ฝึกตนที่อยู่รายรอบหลิวเยี่ยนปิงต้องรีบตีตัวออกห่าง ยากที่จะบอกได้ว่าใครเดินออกไปก่อนเป็นคนแรก ไม่มีใครกล้ามีเรื่องหรือสร้างปัญหาอีกต่อไป
หลิวเยี่ยนปิง ในที่สุด ก็ยืนอยู่ที่นั่นอย่างโดดเดี่ยว ผู้คนทั้งหมดที่เคยเป็นสหายของมัน เคลื่อนตัวออกไปไกลจากมัน
ฟางมู่ในตอนนี้เป็นอาจารย์ปรุงยาที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เป็นเรื่องยากที่จะได้ยามาจากเขาสักหนึ่งเม็ด การมีเรื่องกับเขาเป็นสิ่งที่ไม่คู่ควรเป็นอย่างยิ่ง
เมิ่งฮ่าวกล่าวต่ออย่างเยือกเย็น “ยังมี, ถ้าข้ารู้ว่ามีใครขายยาของข้าให้เจ้าแม้เพียงหนึ่งเม็ด บุคคลผู้นั้นก็ต้องถูกตัดออกด้วยเช่นกัน” เมื่อพวกที่มุงดูอยู่ได้ยินเช่นนั้น พวกมันทั้งหมดก็อ้าปากค้าง
คำพูดเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าฟางมู่มีอำนาจถึงเพียงไหน บางคนอาจจะคิดว่าเขาเป็นคนที่ค่อนข้างบ้าอำนาจเอาแต่ใจ แต่…เขาก็เป็นอาจารย์ปรุงยา
อาจารย์ปรุงยาที่ไม่อาจล่วงละเมิดได้!
“นอกจากนี้, เจ้ารู้หรือไม่? เจ้าได้ล่วงเกินข้า…” เมิ่งฮ่าวกล่าวต่อ เสียงเย็นชามากขึ้น อันที่จริง เขาไม่สนใจว่าจะทำให้คนอื่นๆ ไม่พอใจ ความขุ่นเคืองของพวกมันไม่ได้ตกลงมาที่เขา เพราะเขาคืออาจารย์ปรุงยา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ต้องให้ความเคารพ พวกมันได้แต่ตำหนิการที่มีตาแต่ไร้แววของหลิวเยี่ยนปิง “ดังนั้น, สำหรับหนึ่งร้อยปีนับจากนี้ จะไม่มีอาจารย์ปรุงยาแม้แต่คนเดียวช่วยปรุงยาให้เจ้า!”
เมิ่งฮ่าวพูดด้วยคำพูดที่สงบนิ่ง ขณะที่พูด เขายกมือขวาขึ้นมา เผยให้เห็นเหรียญกษาปณ์สีขาว เขาจารึกนาม หลิวเยี่ยนปิง ไปบนเหรียญนั้น
นี่เป็นอำนาจอันสูงสุดของอาจารย์ปรุงยาในสำนักจื่อยิ่น โอสถบัญชีดำ!
ทันทีที่เขาจารึกนามของ หลิวเยี่ยนปิง ลงไปบนเหรียญกษาปณ์ อาจารย์ปรุงยาทุกคนในแผนกเม็ดยาบูรพาต่างก็รู้สึกได้ พวกมันหยิบเอาเหรียญกษาปณ์โอสถบัญชีดำออกมาเพื่อมองดู ก่อนหน้านี้ มีอยู่สิบสามรายชื่อที่อยู่ในบัญชีดำ ด้วยนามของ หลิวเยี่ยนปิง…ทำให้ตอนนี้มีอยู่สิบสี่!
ทั่วทั้งเขตสี่เหลี่ยมจัตุรัสเงียบสงัดโดยสิ้นเชิง สายตาทุกคู่มองไปยังเหรียญกษาปณ์ที่อยู่ในมือเมิ่งฮ่าว ความตกตะลึงปรากฎขึ้นบนใบหน้าของผู้ถูกเลือกทั้งสี่
บางคนในกลุ่มฝูงชนจำเหรียญกษาปณ์นี้ได้ และพูดเสียงแหบแห้งขึ้น “นั่นคือ…เหรียญกษาปณ์โอสถบัญชีดำ!!” เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“เหรียญกษาปณ์โอสถบัญชีดำ ฟางมู่ตานชือใช้เหรียญกษาปณ์โอสถบัญชีดำจริงๆ!!”
“หลิวเยี่ยนปิงจบสิ้นแล้ว ไม่ว่ามันมาจากตระกูลไหน มันก็ไม่อาจจะให้คนในตระกูลของมันช่วยเอานามของมันออกจากเหรียญกษาปณ์โอสถบัญชีดำนี้ได้!!”
“ตอนนี้มันอยู่ในบัญชีดำนั้นแล้ว ไม่มีอาจารย์ปรุงยาแม้แต่คนเดียว ที่จะยอมปรุงยาให้กับหลิวเยี่ยนปิงไปถึงหนึ่งร้อยปี มันไม่อาจฝึกฝนวิถีเซียนอีกต่อไป ฟางมู่ตานชือ…ช่างกล้าใช้เหรียญกษาปณ์นั่นจริงๆ…”
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่น ขณะที่เสียงพูดคุยดังไปทั่วในบริเวณนั้น ด้านข้างเขา ไป๋หยุนหลายตัวสั่นสะท้าน และจ้องมองมาด้วยงงงัน จิตใจของมันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่มีอำนาจ ในตอนนี้ มันรู้สึกราวกับว่า มันยินดีที่จะตายเพื่อฟางมู่ได้อย่างแท้จริง
การกระทำเช่นนี้ของฟางมู่ที่ได้กระทำต่อมัน ทำให้มันยินดีที่จะตอบแทนด้วยชีวิตของมัน!
สีหน้าหลิวเยี่ยนปิงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง มันหอบหายใจอย่างรวดเร็ว ดวงตาส่องแสงสีแดงจ้า และสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ใบหน้าซีดขาวราวคนตาย ขณะที่มันคิดไปถึงความน่ากลัวของโอสถบัญชีดำ และผลที่ตามมาจากการมีนามของมันอยู่บนเหรียญนั้น ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เหรียญกษาปณ์โอสถบัญชีดำสามารถใช้ได้โดยอาจารย์ปรุงยาเพี่ยงแค่สองครั้ง และใช้ในสถานการณ์ที่จำเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น
มันจะคาดคิดได้อย่างไรว่า ฟางมู่จะใช้จริงๆ…ทำจริงๆ…บันทึกนามมันลงไปจริงๆ บนเหรียญกษาปณ์โอสถบัญชีดำนั่น? ร่างของมันเริ่มหนาวสั่น และดวงตาก็ว่างเปล่า ราวกับว่า ศีรษะของมันถูกสายฟ้าฟาดลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จิตใจของมันสั่นสะท้าน มันรู้ว่าการมีชื่ออยู่บนโอสถบัญชีดำหมายความว่าอย่างไร ถึงจะเป็นคนในตระกูลของมัน ก็ไม่มีทางที่จะมีคนสามารถช่วยมันได้ ทันใดนั้น มันก็รู้สึกเสียใจต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเวลาสามารถย้อนกลับไปได้ มันก็จะไม่กล้าล่วงเกินเมิ่งฮ่าวอย่างเด็ดขาด ร่างกายสั่นสะท้าน สิ่งเดียวที่มันสามารถพูดได้ก็คือ “ฟางตานชือ…ข้า…”