รุ่งอรุณ ณ ลานกว้างบนเนินที่ราบสูง จากการที่เมิ่งฮ่าวมาเดินเร่ขายเม็ดยาเกือบหนึ่งเดือน และวันที่หลู่หงมากดขี่ขมเหงให้ทุกคนต้องซื้อเม็ดยาจากมัน จึงมีผู้ฝึกตนมาที่นี่น้อยมาก โดยเฉพาะเวลาเช้าตรู่เช่นนี้ มีเพียงแค่สองหรือสามคนเท่านั้น มานั่งขัดสมาธิอยู่
เมื่อเมิ่งฮ่าวเดินมาถึง พวกมันก็ลืมตาขึ้นมองมา และแต่ละคนก็แอบถอนหายใจออกมา ต่างก็คิดไปว่า เมื่อไหร่นะทุกสิ่งถึงจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมเช่นที่ผ่านมาในอดีต
หลังจากนั้นสักพัก พวกมันก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเห็นเมิ่งฮ่าวไม่ได้เดินเข้ามาบนเนินที่ราบสูง แต่กลับนั่งนิ่งหลับตา ขัดสมาธิอยู่ด้านนอก
สีหน้าพวกมันแสดงความประหลาดใจออกมา หันหน้ามองกันไปมา จากนั้นพวกมันก็คิดได้ถึงบางอย่าง ครั้นแล้วพวกมันก็เพ่งมองมาที่เมิ่งฮ่าวด้วยความพอใจ
เวลาผ่านไป ไม่ช้าก็เป็นช่วงสายของเวลาเช้า มีคนเดินมาบนเนินที่ราบสูงมากขึ้น และทุกคนก็สังเกตเห็นเมิ่งฮ่าว และพฤติกรรมที่ผิดปกติของเขา ทุกคนต่างก็คาดเดาไปต่างๆ นาๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น จนไม่มีจิตใจที่จะต่อสู้กันเลย
“เป็นไปได้ไหมว่า คำพูดของศิษย์พี่หลู่ได้ผล? ทำให้เมิ่งฮ่าวหวาดกลัว และไม่กล้าที่จะมาเร่ขายเม็ดยาอีก?”
“มันต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน ศิษย์พี่หลู่ คือ อันดับหนึ่งของศิษย์ระดับต่ำ ถ้ามันบอกว่าจะทุบตีเจ้า เจ้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับการถูกทุบตี”
“ใครจะไปคิดว่าเจ้าผู้นี้จะหวาดกลัวมากจนยอมเสียหน้าขนาดนี้? สิ่งที่มันทำได้ก็แค่จัดการกับคนที่มีระดับพลังลมปราณต่ำกว่ามันเท่านั้น ดูท่าทางหยิ่งยโสโอหังของมันสิ มันคงคิดว่าเพียงแค่มันไม่ได้เอาป้ายยี่ห้อเส็งเคร็งนั่นมาด้วย ศิษย์พี่หลู่ก็คงจะปล่อยมันไปเช่นนั้นหรือ” ทุกคนส่วนใหญ่คิดแบบนี้ พวกมันไม่ได้คร่ำครวญถึงตอนที่ถูกปล้นโดยคนที่มีกำลังเหนือกว่า แต่ถ้ามีใครบางคนที่ดูอ่อนแอและมีเมตตาเอาสิ่งของ ของพวกมันไปจากการค้าขายแลกเปลี่ยน พวกมันก็จะคร่ำครวญโดยไม่จบไม่สิ้น
หลู่หงค่อนข้างมีพลังอำนาจมากพอตัว จากการต่อสู้ที่โหดร้ายของมันครั้งแรก จวบจนกระทั่งถึงวันนี้ เมื่อมันบังคับให้ผู้คนซื้อของจากมัน ทุกคนก็ไร้หนทาง ไร้ทางเลือก มีแต่ต้องซื้อด้วยความจำใจ ในความเป็นจริง ไม่นานมานี้ก็มีหลายคนที่เชื่อว่า หลู่หงเริ่มกลายเป็นคนที่อ่อนโยนมีเมตตา
เมิ่งฮ่าวเข้าสังกัดสำนักมาได้ไม่นานนัก และไร้ซึ่งพลังอำนาจให้ถือดี ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะค้าขายด้วยความสุภาพอ่อนโยน แต่ทุกคนก็ยังตัดพ้อต่อว่าอย่างไม่ลดละ
เมิ่งฮ่าวได้ยินทุกคำพูดของพวกมัน แต่สีหน้าของเขาก็ยังเรียบเฉยเหมือนเดิม แน่นอนเหตุผลที่เขานั่งขัดสมาธิอยู่ด้านนอกของเขตส่วนรวม ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่ต้องการเข้าไป แต่เนื่องจากว่าตอนนี้พลังการฝึกตนของเขาอยู่ในขั้นสี่ขอการรวบรวมลมปราณแล้ว เขาจึงไม่สามารถเข้าไปได้ แม้ว่าเขาต้องการจะเข้าไปก็ตาม
ท่างกลางการสนทนาของทั้งหมด ใครบางคนก็ปรากฎขึ้นตรงตีนเขา มันสวมใส่เสื้อยาวสีเขียว ดูแล้วอายุประมาณสามสิบปี และมีท่าทางเย่อหยิ่งยโส หลู่หง นั่นเอง ค่อยๆ เดินใกล้เข้ามา สองมือประสานอยู่ด้านหลัง
เมื่อมันปรากฎตัวขึ้น เมิ่งฮ่าวก็ลืมตาขึ้น ส่องแสงสว่างเรืองรอง ทุกคนมองเห็นเขาลุกขึ้นยืน ตบไปที่ถุงเก็บสมบัติ กระบี่สั้นเล่มเล็กก็ปรากฎขึ้น ส่องแสงระยิบระยับ เมิ่งฮ่าวพุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา รังสีของกระบี่สั้นพุ่งตรงไปที่หลู่หง
เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เสียงพูดก็ดังกระหึ่มยิ่งขึ้น ทุกคนต่างประหลาดใจที่เมิ่งฮ่าวไม่มีความเกรงกลัว เขาต้องการที่จะมีปัญหากับอันดับหนึ่งของศิษย์ระดับต่ำ หลู่หง จริงๆ?
“มัน…มันกำลังจะสู้กับหลู่หง!”
“พวกมันต้องสู้กันไม่เร็วก็ช้า เมิ่งฮ่าวทำร้ายเฉาหยาง และ หลู่หงก็ทำลายการค้าของมัน การต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ ข้าเพียงแค่คิดไม่ถึงว่าเมิ่งฮ่าวจะกล้าโจมตีแบบนี้ ข้าคิดว่ามันคงไม่รู้จักประมาณตน”
“ศิษย์พี่หลู่ อยู่ในระดับขั้นสามมาเป็นปีแล้ว เมิ่งฮ่าวต้องพ่ายแพ้แน่นอน”
เมื่อเห็นเมิ่งฮ่าวพุ่งตรงมา สองตาหลู่หงก็สาดประกายเจิดจ้า มันได้ตัดสินใจที่จะสังหารเมิ่งฮ่าว ถ้ามันเห็นเมิ่งฮ่าวอีกในวันนี้ และตอนนี้คู่ต่อสู้ของมันก็กล้าที่จะเริ่มขึ้นก่อน มันคิดว่าดีจริงๆ ไม่ต้องเสียเวลาอีกต่อไป มันพ่นลมออกทางจมูก ร่างเหมือนกับจะเปลี่ยนเป็นสายรุ้งเมื่อมันพุ่งเข้าไปหาเมิ่งฮ่าว ใช้มือขวาตบไปที่ถุงเก็บสมบัติ กระบี่บินสีม่วงก็ปรากฎขึ้น
เมื่อกระบี่บินปรากฎ ก็บังเกิดเป็นเสียงแหลมเล็ก เปล่งประกายรังสีเป็นสีม่วงทองกินบริเวณกว้างเกือบสามสิบฉื่อ (1 ฉื่อ = 23 เซนติเมตร)
“นั่นเป็นกระบี่ประกายม่วงของศิษย์พี่หลู่!”
“ใช่แล้ว! ข้าเคยได้ยินมาว่า กระบี่ประกายม่วงเป็นรางวัล ที่ศิษย์พี่หลู่ได้รับจากสำนัก ตอนที่มันไปทำภารกิจพิเศษให้ กระบี่เล่มนี้คมกล้ายิ่งนัก”
สองคน หนึ่งภูเขา บิรเวณเชิงเขา พวกมันโจมตีซึ่งกันและกัน
ท่ามกลางเสียงกระหึ่มดังกึกก้อง หลู่หงสีหน้าเปลี่ยนไป โลหิตพุ่งกระจายออกจากปากมัน ร่างลอยกลับไปด้านหลังหลายฉื่อ จ้องมองไปที่เมิ่งฮ่าวด้วยความตื่นตระหนก
“ระดับขั้นสี่ของการรวบรวมลมปราณ!”
ถึงเมิ่งฮ่าวจะโจมตีด้วยท่าร่างธรรมดา แต่ก็เต็มไปด้วยพลังความดุร้าย ถึงกระนั้นกระบี่บินของเขาก็เกิดรอยร้าวที่เห็นได้ชัดเจน ดูเหมือนว่าอาวุธเวทของหลู่หงจะมีพลังความคมมาก จนทำลายอาวุธของเขาได้
แม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะมีประสบการณ์ต่อสู้ไม่มากนัก เวลาครึ่งปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่ หมดไปกับการล่าสัตว์ป่าในเขตภูเขา จึงทำให้ความเร็วของร่างกายเขาเพิ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างวันที่อยู่บนเนินที่ราบสูง เขาก็ได้สังเกตเห็นการต่อสู้มากมาย ทำให้เขาพอจะเข้าใจวิธีการต่อสู้บ้าง
เมื่อหลู่หงถอยไปด้านหลัง เขาก็พุ่งตามติดไป ตบไปที่ถุงเก็บสมบัติ กระบี่บินอีกเล่มก็ปรากฎขึ้นข้างเล่มที่มีรอยร้าว ประกายกระบี่สองเล่มรวมเข้าด้วยกัน พุ่งตรงเข้าไปหาหลู่หง
เมื่อเขาเร่งความเร็วไปข้างหน้า นิ้วของเมิ่งฮ่าวก็เริ่มมีเปลวไฟพุ่งออกมา เมื่อห่างจากหลู่หงสามก้าว เปลวไฟแห่งงูก็ปรากฎขึ้น เปลวไฟขนาดเท่าแขนของเขา ยาวเกือบหนึ่งฉื่อ ลุกโชนไปในอากาศ จากนั้นก็มีเสียงดังกระหึ่มพุ่งตรงเข้าไปที่หลู่หง
หลู่หงมองด้วยความตกใจ พ่นโลหิตออกจากปาก รีบขยับร่างหลบเลี่ยงไปอย่างรวดเร็ว สองตาเบิกโพลงด้วยความโกรธ มันรู้ดีว่ามันยังมีอาวุธเวทอื่นๆ อีก และเมิ่งฮ่าวก็เพิ่งจะก้าวถึงระดับขั้นสี่ ผลลัพธ์ของการต่อสู้ครั้งนี้ยังไม่แน่นอน แต่ถ้ามันสังหารเมิ่งฮ่าวได้ ก็จะยิ่งสร้างชื่อเสียงให้มันมากขึ้นไปอีก
สองตาของมันลุกโชนไปด้วยความต้องการสังหาร นิ้วของมันเต้นระรัว ครั้นแล้วก็ปรากฎก้อนน้ำสีสันแพรวพราวขึ้นในมือของมัน มันโยนก้อนน้ำนั้นออกไป ระเบิดออกมากลายเป็นลูกธนูน้ำมากมายนับไม่ถ้วน ยิงตรงไปที่เปลวไฟแห่งงู
นิ้วของมันเต้นไปมาอีกครั้ง และกระบี่ประกายม่วงก็ไปกระแทกกับกระบี่บินสองเล่มของเมิ่งฮ่าว เสียงดังกึกก้องเหมือนเหล็กบดเสียดสีกัน กระบี่บินของเมิ่งฮ่าวแตกกระจายเป็นชิ้น ในขณะที่กระบี่ประกายม่วงบินลอยไปตามลูกธนูน้ำ พุ่งตรงไปที่เปลวไฟแห่งงู
ด้วยเสียงกระหึ่มดังกึกก้อง เปลวไฟแห่งงูกลายเป็นฝุ่นละอองเมฆจางหายไป ลูกธนูน้ำก็กลายเป็นกลุ่มหมอกควัน และกระบี่ประกายม่วงลอยกลับไปที่หลู่หง รัศมีสีม่วงทองของมันไม่ค่อยส่องประกายเหมือนตอนแรก ปรากฎรอยร้าวขึ้นที่ตัวกระบี่ แต่ก็ยังคมเหมือนเช่นเคย
“ด้วยพลังระดับขั้นสี่ของการรวบรวมลมปราณเช่นเจ้า รวมถึงไม่มีอาวุธเวทที่ดีพอ การสังหารเจ้าไม่ใช่เรื่องยาก เจ้าจะใช้เปลวไฟแห่งงูแบบนั้นได้อีกสักกี่ครั้ง? เจ้ายังไม่ถึงบรรลุถึงระดับขั้นห้า?” ในใจหลู่หง กำลังกังวลกับกระบี่บินของมัน แต่การแสดงออกภายนอก มันยังคงฉีกยิ้มกว้าง ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว
“กระบี่ของเจ้าอาจจะคมมาก แต่ลองดูว่าเจ้าจะใช้มันได้อีกกี่ครั้ง เมื่อพูดถึงกระบี่บิน…ข้ายังมีอีกมาก สำหรับระดับขั้นห้าของการรวบรวมลมปราณ ด้วยเม็ดยาทั้งหมดที่ศิษย์พี่หญิงฉื่อให้ข้ามา คงอีกไม่นานที่ข้าจะก้าวไปถึงได้” สีหน้าเขาไร้ความรู้สึก แต่ภายในจิตใจเมิ่งฮ่าวรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก นี่เป็นการต่อสู้จริงครั้งแรกของเขา จากนั้นเขาก็ตบไปที่ถุงเก็บสมบัติ กระบี่บินอีกสามเล่มก็ปรากฎขึ้น พุ่งตรงเข้าใส่หลู่หง
หลู่หงดูเหมือนจะกังวลชั่วครู่ แต่ก็ก็ไม่ได้ลังเลนานไป มันส่งเสียงคำราม จากนั้นกระบี่บินทั้งสามเล่มของเมิ่งฮ่าวก็ปะทะกับกระบี่ประกายม่วง
เคร้ง เคร้ง เคร้ง! กระบี่ทั้งสามเล่มแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ และเช่นกัน ประกายรังสีของกระบี่ประกายม่วงก็ลดลงไปครึ่งนึง รอยร้าวเกิดเพิ่มขึ้นบนตัวกระบี่ หลู่หงมองดูด้วยความกังวลมากยิ่งขึ้น
ก่อนที่มันจะมีปฏิกิริยาใด เมิ่งฮ่าวก็ตบไปที่ถุงเก็บสมบัติโดยไม่ลังเลอีกครั้ง และกระบี่บินประกายวาววับอีกสามเล่มก็ปรากฎขึ้น เขาควงหมุนแขน เปลวไฟแห่งงูก็ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง พวกกลุ่มคนที่มุงดูก็รู้สึกตกใจไปตามๆ กัน
“เมิ่งฮ่าว…มัน…มันทำให้ศิษย์พี่หลู่ตกอยู่ในความยากลำบากได้ จริงๆแล้ว มันถึงกับอยู่ในระดับขั้นสี่ของการรวบรวมลมปราณ!”
“มันเข้าสังกัดสำนักมาไม่นาน แต่มันก็อยู่ในระดับขั้นสี่ได้แล้ว มันอยู่ที่ขั้นสี่แล้วจริงๆ ดูจากการที่มันต่อสู้กับศิษย์พี่หลู่ แต่มันฝึกได้ยังไงถึงได้ก้าวหน้าได้รวดเร็วนัก? อะไรที่ศิษย์พี่หญิงฉื่อมอบให้ ช่วยมันได้มากมายจริงๆ? บัดซบ! ถ้าข้ามีใครสักคนที่จะพึ่งพาได้แบบนั้น บางทีข้าก็จะสามารถก้าวหน้าได้เร็วแบบนั้นได้เหมือนกัน” เหล่าฝูงชนที่มุงดูพูดกันเสียงกระหึ่ม ใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
สีหน้าหลู่หงเปลี่ยนไปอีกครั้ง และถอยหลังไป กัดฟันแน่น นิ้วของมันสั่นเต้นอีกครั้ง และก้อนน้ำก็ปรากฎขึ้น มันคิดไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้ของมันจะมีอาวุธเวทมากมายปานนั้น
เสียงดังเกิดขึ้นเมื่อกระบี่บินทั้งสามเล่มของเมิ่งฮ่าวแตกหักกลายเป็นชิ้นเล็กๆ ตามด้วยเปลวไฟแห่งงู ประกายรังสีของกระบี่ประกายม่วง ยิ่งมืดลงไปด้วย แต่ที่สร้างความตกใจให้กับหลู่หงมากที่สุด ก็คือ เมิ่งฮ่าวยังคงมีกระบี่บินเพิ่มขึ้นมาอีกสามเล่ม เสียงดังเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อกระบี่บินทั้งสามเล่มแตกกระจาย กระบี่ประกายม่วงส่งเสียงร้องคร่ำครวญ จากนั้นก็แตกกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
หลู่หงเบิกตาโพลงกว้าง กระอักเลือดออกมากองใหญ่ เดินโซเซถอยหลังไป มันจ้องไปที่เมิ่งฮ่าว
สีหน้าเมิ่งฮ่าวยังคงเรียบเฉยเหมือนเดิม แต่ในใจกลับกังวลมากขึ้น ทุกๆ หนึ่งกระบี่บิน เท่ากับ หนึ่งหินลมปราณ เขาโบกมือขวาอีกครั้ง เปลวไฟแห่งงูก็ปรากฎขึ้น ส่งเสียงคำรามและบิดตัวไปมาในอากาศรอบๆ ตัวเขา พุ่งตรงไปที่หลู่หง
เมิ่งฮ่าวพุ่งตรงไปยังหลู่หงที่กำลังกระโดดหลบ ด้วยความเร็วคล้ายสายรุ้ง ตามติดไปด้วยเปลวไฟแห่งงู และกระบี่บินเล่มใหม่ก็ปรากฎขึ้นดุจสายฟ้า ห่างจากหลู่หงไม่เกินสามฉื่อ รังสีของกระบี่บินส่องประกายแห่งความตาย
“เจ้าบังคับให้ข้าทำเองนะ!” หลู่หงร้องตะโกน เส้นผมกระจัดกระจาย เสื้อเปื้อนไปด้วยเลือด ตั้งแต่วันแรกที่มันเข้าสังกัดสำนักจนกระทั่งตอนนี้ มันไม่เคยเจอประสบการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้มาก่อน สายตามันลุกโชน ด้วยเสียงคำราม มันฉีกเสื้อยาวออก เผยให้เห็นขวดน้ำเต้าหยกห้อยอยู่ที่คอ มันแผ่พุ่งพลังลมปราณทั้งหมดที่มีเข้าไปในน้ำเต้าหยกใบนั้น
ขวดน้ำเต้าหยกเริ่มเปล่งแสงเจิดจ้า เสียงกระหึ่มดังกึกก้อง ในอากาศเบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว ปรากฎภาพลวงตาเป็นขวดน้ำเต้าเต็มไปหมด มีขนาดใหญ่มากกว่าขวดน้ำเต้าหยกที่แขวนอยู่ที่คอมัน ขนาดสูงประมาณครึ่งตัวคน
อันที่จริง พลังฝึกตนของหลู่หงไม่ได้แข็งแกร่งพอ ที่จะควบคุมน้ำเต้าวิเศษนี้ได้เต็มประสิทธิภาพ ภาพลวงตาที่เกิดขึ้นดูเหมือนว่ามันพร้อมที่จะหายไปได้ทุกเมื่อ ก่อนที่จะเลือนหายไป หลู่หงพ่นโลหิตออกจากปาก และก้าวถอยหลังไปอีกครั้ง สีหน้ามันซีดขาวราวคนตาย แต่มันก็ยังคงจ้องมองไปที่เมิ่งฮ่าวด้วยความโกรธความอาฆาต
ถึงแม้ว่าขวดน้ำเต้ายังไม่สมบูรณ์ แต่พลังลมปราณที่อยู่ด้านในก็ทำให้สีหน้าของเมิ่งฮ่าวเปลี่ยนไป จากนั้นภาพลวงตาของน้ำเต้าก็ส่งเสียงดังคล้ายสายฟ้า และลำแสงสีเขียวก็พุ่งออกมาจากปากขวด กระแทกไปที่เปลวไฟแห่งงู และเมิ่งฮ่าว
“นี่เป็นของวิเศษที่ศิษย์พี่หวังเถิงเฟยให้ข้ามา คนที่มีระดับขั้นสี่ของการรวบรวมลมปราณขึ้นไปเท่านั้นถึงจะใช้ได้ แต่เจ้าอยากหาที่ตายเอง เมิ่งฮ่าว เจ้าบังคับให้ข้าต้องใช้มันก่อน ถึงข้าจะต้องจ่ายค่าตอบแทน แต่เจ้าต้องตายแน่นอนในครั้งนี้” หลู่หงเริ่มหัวเราะอย่างป่าเถื่อนเสียงดัง แต่เสียงหัวเราะยังไม่ทันจางหาย มันก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อมันรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า มันจ้องมองมาด้วยความประหลาดใจ
ลำแสงสีเขียวกระแทกไปที่เมิ่งฮ่าว ทำให้เขากระเด็นไปด้านหลังเกือบเก้าสิบฉื่อ อย่างไรก็ตามมันถูกป้องกันด้วยเกราะสีชมพู ซึ่งปกคลุมไปทั่วร่างของเมิ่งฮ่าว เมื่อลำแสงสีเขียวหายไปพร้อมกับเกราะสีชมพู มันก็เปลี่ยนเป็นจี้หยกสีชมพูอยู่ในมือของเมิ่งฮ่าว ผิวหน้าของจี้หยกมีรอยร้าวไปทั่ว
เมิ่งฮ่าวถือจี้หยกในมือ เหงื่อเย็นไหลลงไปตามด้านหลัง จิตใจเริ่มมีความกลัวเกิดขึ้น ถ้าเขาไม่ได้ดึงเอาจี้หยกซึ่งศิษย์พี่หญิงฉื่อมอบให้เขาออกมา เขาคงโดนทำลายไปโดยพลังที่น่ากลัวของขวดน้ำเต้านั้นไปแล้ว
“นั่นเป็นของวิเศษแบบไหนกัน!?” เมิ่งฮ่าวมองไปที่ขวดน้ำเต้าหยกที่แขวนอยู่ที่คอของหลู่หง ซึ่งเห็นได้ว่ากำลังได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง เขากระโดดไปข้างหน้าและคว้าขวดน้ำเต้าที่คอของหลู่หงกระชากดึงออกมา จากนั้นก็หยิบใส่ถุงเก็บสมบัติของเขาอย่างรวดเร็ว
“นั่นเป็นของที่ศิษย์พี่หวังเถิงเฟยมอบให้ข้า! ถ้าเจ้ากล้าขโมยมันไป เจ้าต้องได้เจอกับความกริ้วของศิษย์พี่หวังแน่นอน!” หลู่หงสีหน้าห่อเหี่ยว ร่างกายเริ่มสั่นสะท้าน มันเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าขวดน้ำเต้าหยกจะไม่มีผลกับเมิ่งฮ่าว
“กฎของสำนักกล่าวไว้ว่า ถ้าเจ้าถือของสิ่งใดอยู่ในมือ สิ่งนั้นก็เป็นของเจ้า” เมิ่งฮ่าวกล่าว ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่หลังจากที่คิดว่าน้ำเต้าหยกมีพลังมาก เขาจึงไม่ได้ส่งคืนกลับไป ความเป็นศัตรูเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ยากที่จะลบเลือนหายไป ด้วยจิตใจที่มีแต่ความเกลียดชัง เขาจ้องไปที่หลู่หงอย่างเย็นชา
“ที่นี่ไม่ใช่เขตส่วนรวม” หลู่หงพูดขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความกลัวและความสิ้นหวัง เพิ่มเสียงให้ดังขึ้น จนทุกคนในบริเวณนั้นได้ยิน มันกล่าวว่า “ถ้าเจ้ากล้าสังหารข้า ก็จะเป็นการละเมิดกฎของสำนัก!”
“ข้า, เมิ่งฮ่าว จะไม่ละเมิดกฎของสำนัก แต่เมื่อวาน เจ้าบอกว่าจะทำลายพลังการฝึกตนของข้า ดังนั้น วันนี้ ข้าจะทำเช่นเดียวกันกับเจ้า” เมิ่งฮ่าวที่ดูสงบเยือกเย็น ยกมือขวาขึ้นมา ซัดกระบี่บินไปปักเข้าที่จุดตันเถียนของหลู่หง ทำลายพลังลมปราณทั้งหมดของมันไป จากนั้นก็ยืนเด่นอยู่ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอย่างน่าอนาถใจของหลู่หง ความกลัวกระจายไปทั่วเนินที่ราบสูงแห่งนั้น