เวลาเดียวกันนั้น ในสำนักจินซวง (เกล็ดน้ำค้างทองคำ) หนึ่งในห้าสำนักใหญ่แห่งดินแดนด้านใต้ ลำแสงนับร้อยพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า นี่เป็นศิษย์สำนักที่ไม่ต้องใช้ของวิเศษช่วยบิน ด้านหน้าของพวกมัน มีบุคคลที่เป็นผู้นำเปิดเป็นหลุมอยู่ในอากาศ เพื่อให้คนอื่นๆ เข้าไป
จ้าวซานหลิงก็อยู่ในท่ามกลางพวกมัน แบกกระบี่สีทองเล่มใหญ่ สวมใส่ชุดเกราะ เคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
ขุมทรัพย์เซียนโลหิต ส่งผลให้สำนักใหญ่ และตระกูลดังตกอยู่ในความบ้าคลั่ง นอกจากตระกูลหวัง และสำนักจินซวงแล้ว ก็ยังมีตระกูลซ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ และ ผู้ฝึกตนนับร้อยก็ปรากฎขึ้น พวกมันทั้งหมดต่างก็มีพรสวรรค์อันโดดเด่น ท่ามกลางพวกมัน ก็คือ ซ่งเหล่าไกว้ ซึ่งเป็นเจ้าของสมบัติที่เมิ่งฮ่าวได้ขโมยมาในแคว้นจ้าว
สำนักที่แข็งแกร่งมากที่สุดในดินแดนด้านใต้ก็คือ สำนักกูตู๋เจี้ยน (กระบี่เดียวดาย) รังสีกระบี่นับร้อยพุ่งขึ้นไป จนดูน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง ผู้ฝึกตนทุกคนในกลุ่มพวกมัน ยืนอยู่บนกระบี่ รังสีกระบี่นับร้อยดูเหมือนราวกับจะแยกผ่าท้องฟ้า ที่เบื้องหน้าของคนกลุ่มนี้มีอยู่เจ็ดคนที่ดูหน้าตาเคร่งเครียด หนึ่งในเจ็ด ก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเฉินฟ่าน!
ใบหน้าของเฉินฟ่านเต็มไปด้วยความเที่ยงธรรม มันสวมใส่ชุดยาวสีขาว และยืนบนกระบี่สีเขียวเข้ม พลังฝึกตนของมันกระจายออกมา มันอยู่ในขั้นต้นของพื้นฐานลมปราณ!
เบื้องหน้าของคนทั้งเจ็ดเป็นบุรุษวัยกลางคน ซึ่งมีสีหน้าเย็นชา และความต้องการสังหารอันรุนแรง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากอาจารย์ของเฉินฟ่าน, โจวเหยียนหยุน
สายลมพัดกลุ่มเมฆกระจัดกระจายอยู่เหนือดินแดนด้านใต้ ขณะที่อู๋ติงชิว ของสำนักจื่อยิ่น (ชะตาม่วง) พุ่งผ่านท้องฟ้า ตามไปด้วยศิษย์ในสำนักอีกนับร้อย เมื่อพวกมันบินผ่านท้องฟ้า คิ้วของอู๋ติงชิวก็ขมวดขึ้น ดูเหมือนว่ามันกำลังคิดอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก ทำให้คนอื่นๆ จากสำนักจื่อยิ่นเงียบไปทั้งหมด
“อวี้เยียนหายไป” มันคิด “มีคนเห็นนางไล่ตามผู้ฝึกตนบางคน จากนั้นคุนเผิงก็บินมา เกิดเป็นลมหมุน นาง…นางอยู่ไหน…? แผ่นชีวิตของนางยังคงครบถ้วนไม่บุบสลาย ซึ่งก็หมายความว่า นางยังปลอดภัยอยู่” มันถอนหายใจ ฉู่อวี้เยียนเป็นผู้ที่มีความสำคัญมาก สำหรับสำนักจื่อยิ่น จริงๆ แล้ว นางก็สำคัญมากจนทำให้หลายคนในสำนัก ได้คัดค้านการหมั้นหมายของนางกับหวังเถิงเฟย
ลำแสงมากมายปรากฎขึ้นในท้องฟ้าเหนือดินแดนด้านใต้ บินตรงไปยังประตูทั้งเจ็ดของขุมทรัพย์เซียนโลหิต
ท่ามกลางสำนักใหญ่ และตระกูลดัง, ตระกูลหลี่เป็นตระกูลที่ลึกลับมากที่สุด พวกมันไม่ค่อยจะส่งสมาชิกในตระกูลออกมาสู่โลกภายนอก และถ้าพวกมันส่งออกมา น้อยคนมากที่จะรู้ ในความเป็นจริง เมื่อขุมทรัพย์เซียนโลหิตเปิดขึ้น พวกมันเพียงส่งออกมาแค่ห้าคน!
จากคนทั้งห้า สองคนเป็นผู้พิทักษ์เต๋าชราขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง ที่เหลืออยู่ในขั้นพื้นฐานลมปราณ สองบุรุษ และหนึ่งสตรี นี่เป็นผู้ถูกเลือกทั้งสามของตระกูลหลี่ ซึ่งคนภายนอกน้อยคนนักที่จะรู้จัก
“หลายปีมาแล้ว ที่ท่านปรมาจารย์ ได้เผยความลับ ที่ทำให้การแข่งขันล่าขุมทรัพย์เซียนโลหิตครั้งที่แปดนี้ ต้องตกอยู่ในมือของตระกูลหลี่อย่างแน่นอน” หนึ่งในชายชรากล่าว มันสวมใส่ชุดยาวสีดำ รูปร่างผอมสูง มองกลับไปยังสามคนที่ด้านหลังมัน
“การแข่งขันครั้งที่แปดมาถึงแล้ว เต้าอี, ขุมทรัพย์นั้นต้องเป็นของเจ้าอย่างแน่นอน สำหรับเจ้าทั้งสอง แค่ไปสังเกตการณ์ และหาโอกาสเรียนรู้บางอย่างเพิ่มเติม”
สำนักที่ลึกลับมากที่สุดในห้าสำนักใหญ่ก็คือ สำนักเซี่ยเยา (อสูรโลหิต) พวกมันส่งคนออกมาน้อยกว่าตระกูลหลี่ซะอีก, เพียงแค่สองคน
หนึ่งเป็นชายชรา หนึ่งเป็นบุรุษหนุ่ม บุรุษหนุ่มสวมใส่ชุดยาวสีแดง และอายุประมาณสิบหก หรือสิบเจ็ดปี มันเปล่งรังสีสังหารอันอำมหิตออกมา มีเครื่องหมายโลหิตอยู่ตรงกลางระหว่างคิ้ว ซึ่งเรืองแสงออกมาปกคลุมครึ่งใบหน้าของมันเป็นครั้งคราว ใต้เท้าของมันเป็นหมอกโลหิต ซึ่งสามารถมองเห็นใบหน้าที่คำรามออกมาย่างดุร้ายนับไม่ถ้วนปรากฎอยู่
ถ้าเมิ่งฮ่าวอยู่ที่นั่น หรืออาจจะเป็นเจ้าอ้วน หรือเสียวหู่ พวกเขาก็จะจำมันได้ในทันที บุรุษหนุ่มผู้นี้ดูเหมือนกับหวังโหย่วฉาย เมื่อหกหรือเจ็ดปีที่แล้วเป็นอย่างยิ่ง ถ้ามันเป็นหวังโหย่วฉายจริงๆ ก็หมายความว่า มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา แปลกประหลาดมาก!
ในห้าสำนักใหญ่ของดินแดนด้านใต้ มีอยู่สี่สำนักที่กระโดดเข้าร่วมงานนี้ มีเพียงสำนักเฮยเซ่อไช (กระชอนดำ) ไม่ได้ร่วมด้วย ในห้องโถงหลักของสำนัก มีหกคนนั่งขัดสมาธิอยู่ ร่างของพวกมันถูกปกปิดอยู่ในเงามืด ภายในห้องโถงนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงบ
เสียงโบราณที่ฟังดูน่ากลัว ทันใดนั้นก็ดังออกมา “เวลาของการแข่งขันล่าขุมทรัพย์เซียนโลหิตมาถึงแล้ว…พวกเราควรจะส่งศิษย์ออกไปบ้างหรือไม่?”
“ขุมทรัพย์เซียนโลหิต อาจจะมีค่ามาก แต่ก็ไม่มีใครได้ครอบครองตั้งแต่หมื่นปีมาแล้ว เมื่อเทียบกันแล้ว แผนที่โบราณที่พวกเราค้นพบมีความสำคัญมากกว่า!”
“พวกเราไม่สามารถปกปิดเรื่องนี้ได้ตลอดไป ซึ่งพวกเราก็จะไม่ปกปิดมัน ยิ่งเกิดความสับสนวุ่นวายมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้พวกเราได้ประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น”
“ถ้าความพยายามของพวกเราสำเร็จ โครงสร้างทั้งหมดของดินแดนด้านใต้ก็จะเปลี่ยนไป สำหรับของสิ่งนั้น จะช่วยให้เต๋าแห่งสำนักเฮยเซ่อไชลึกล้ำขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นโชคของสำนัก!”
“ข้าเห็นด้วยว่าพวกเราไม่ควรส่งศิษย์ไปเข้าร่วมการแข่งขันล่าขุมทรัพย์เซียนโลหิต พวกเราได้ศึกษาแผนที่โบราณนั้นมาเป็นเวลานาน แม้แต่ท่านปรมาจารย์ก็ยังได้เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และได้ศึกษามันมาหลายครั้ง พวกเราน่าจะหาประโยชน์จากความสงสัย ซึ่งจะเกิดจากการที่พวกเราไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันล่าขุมทรัพย์เซียนโลหิตในครั้งนี้ เมื่อความอยากรู้ของพวกมันเพิ่มขึ้น พวกเราก็สามารถที่จะชักจูงให้ผู้คนมาที่นี่กันมากขึ้น จากนั้นพวกเราก็จะเริ่มแผนการขั้นต่อไป”
ด้านนอกของห้องโถงหลักสำนักเฮยเซ่อไช เต็มไปด้วยศิษย์ที่มีใบหน้าเคร่งขรึมนับร้อยมารวมตัวชุมนุมกัน พวกมันถูกเรียกมาที่นี่เพื่อรอคำสั่งจากผู้อาวุโสของสำนัก
ที่กำลังยืนอยู่ด้านข้างในกลุ่มคนนั้นก็คือ ฉื่อชิง นางสวมใส่ชุดยาวสีขาวแบบทั่วไป ใบหน้าดูเหมือนจะซูบผอมกว่าก่อนหน้านี้ และดูท่าทางค่อนข้างจะอ่อนแอ ถึงแม้นางมักจะเป็นคนที่เย็นชา แต่นางก็ดูเหมือนจะไม่มีความสุขมากนักในสำนักเฮยเซ่อไชแห่งนี้
พลังฝึกตนของนางเพียงอยู่ที่ระดับเก้าขั้นรวบรวมลมปราณเท่านั้น
หญิงสาวอายุเยาว์หน้าตาสวยงาม ยืนอยู่ด้านข้างฉื่อชิง นางพูดเสียงเบา “ศิษย์น้องหญิงฉื่อ, ศิษย์พี่จ้าวฝากบอกว่า จะให้โอกาสท่านเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าท่านยินยอมในสิ่งที่มันต้องการ มันจะช่วยท่านให้ได้เม็ดยาพื้นฐานลมปราณ เถอะน่า อย่าโง่นักเลย ถ้าท่านตอแยโทสะศิษย์พี่จ้าว…”
ท่ามกลางคำแนะนำของนาง ฉื่อชิงเงยหน้าขึ้น และมองไปที่นางอย่างเย็นชา
“ท่านไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก, ศิษย์พี่เซีย ได้โปรด ให้เกียรติข้าด้วย!”
หญิงสาวแซ่เซียเยาะเย้ย “เจ้าก็แค่คนป่าเถื่อนจากแคว้นเล็กๆ ทำเป็นเข้มแข็งสูงส่ง แต่จริงๆ แล้ว เจ้าก็เป็นแค่คนโง่เท่านั้น ศิษย์พี่จ้าวชอบเจ้า ก็ถือว่าเจ้าโชคดีมากแล้ว เจ้าไม่มีทางจะปฏิเสธได้!”
ฉื่อชิงไม่พูดจา แต่สองมือที่ละเอียดอ่อนของนาง กำจนแน่นอยู่ภายในแขนเสื้อจนมันซีดขาว
หญิงสาวแซ่เซียหัวเราะเสียงเย็นชา และเย้ยหยันนางต่อไป “เม็ดยาคงโฉมนั้นก็ปรุงออกมาอย่างหยาบๆ จากสำนักเล็กๆ บนภูเขาห่วยๆ ศิษย์พี่หานต้องการจะขอซื้อจากเจ้า เพื่อนำไปให้หญิงรับใช้ของนาง แต่เจ้าก็ปฏิเสธ ช่างเป็นคนที่หมกมุ่นอยู่แค่เรื่องเดียว ช่างเสียทีที่ดูสวยงามซะจริงๆ”
ใบหน้าฉื่อชิงซีดขาว กัดริมฝีปาก แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา
ในที่สุด ชายชราชุดยาวสีเขียวเข้มก็โผล่ออกมาจากห้องโถงหลัก มันโบกสะบัดแขนเสื้อ และกลุ่มหมอกก็กระจายออกมา หลัวผาน (เข็มทิศจีน) ขนาดใหญ่มโหฬารลอยลงมาจากท้องฟ้า หญิงสาวแซ่เซียหยุดการเยะเย้ย และกระโดดขึ้นไปบนหลัวผานนั้น ตามด้วยศิษย์ที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้น รวมถึงฉื่อชิง ภายใต้การควบคุมของชายชรา หลัวผานยักษ์ก็นำพวกมันทั้งหมดหายลับตาไป
สายลม และกลุ่มเมฆ ม้วนตัวไปมาอยู่ด้านบนดินแดนด้านใต้ เนื่องจากสำนักเฮยเซ่อไชไม่ได้เข้าร่วม ประตูทั้งเจ็ดของขุมทรัพย์เซียนโลหิต แต่ละแห่งก็ถูกยึดครองโดยหนึ่งในสี่สำนักใหญ่ หรือไม่ก็หนึ่งในสามตระกูลดัง สำนักอื่น หรือตระกูลอื่นๆ ที่เหลือได้แต่ยอมอ่อนข้อให้เมือพวกมันมาถึง
ถึงแม้พวกมันจะมีตำแหน่งที่สูงส่ง แต่ทั้งสำหนัก และตระกูลใหญ่ ก็ไม่บังคับให้คนอื่นๆ จากไป ซึ่งจะทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้นโดยรวม พวกมันเพียงแค่สะสางสถานที่ เพื่อรอแสงโลหิตปรากฎขึ้น เพื่อจะได้เริ่มแข่งขันหาขุมทรัพย์
เวลาผ่านไป ไม่กี่วันหลังจากนั้น แท่นบูชาเซียนโลหิตก็เริ่มส่งเสียงดังกระหึ่ม ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มสั่นสะเทือน และในที่สุด จอภาพสีโลหิตก็ปรากฎขึ้น ภายในจอภาพสีโลหิตนั้นประตูทางเข้าก็ค่อยๆ เผยออกมาให้เห็นอย่างช้าๆ ทันใดนั้น ผู้ฝึกตนทั้งหมดขั้นพื้นฐานลมปราณ ที่อยู่ในบริเวณทางเข้าทั้งเจ็ดของแท่นบูชาเซียนโลหิต ก็รู้สึกเหมือนจะถูกกระชากเข้าไปข้างหน้า
แต่…ประตูทางเข้ายอมให้เข้าไปได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น นอกจากบุคคลที่เข้าไปคนแรกตายลง หรือต้องการทีจะออกมาพัก คนที่สองถึงจะเข้าไปได้
—
มันเป็นโลกที่กว้างใหญ่ ด้วยท้องฟ้าสีคราม และเมฆสีขาว ให้ความรู้สึกที่สะอาดบริสุทธิ์ จนยากที่จะอธิบาย ซึ่งปรากฎขึ้นในจิตใจของทุกคนที่เข้าไป
เมื่อมองขึ้นไป ท้องฟ้าเต็มไปด้วยแท่นบูชาขนาดใหญ่มหึมาสีเขียวเข้ม ด้านบนสุดของแท่นบูชา ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์หินเป็นคนผู้หนึ่ง
คนที่เป็นซากศพ สวมใส่ชุดยาวสีแดงโลหิต บนใบหน้าของมันเป็นหน้ากากสีเงินที่ไร้ใบหน้า นั่งนิ่งอยู่ที่นั่นไม่ไหวติง
แท่นบูชานี้ดูเหมือนจะเต็มไปเกือบครึ่งแผ่นฟ้าของโลกแห่งนี้ ทุกคนที่เข้ามา จะสามารถมองเห็นบุคคลที่อยู่ด้านบนแท่นบูชานี้ได้
ขุมทรัพย์เซียนโลหิต ไม่จำเป็นที่จะต้องบอกว่า…บุคคลผู้นี้ก็คือ เซียนโลหิตที่ตายไปแล้ว!
ใต้แท่นบูชาสีเขียวเข้มเป็นแหล่งเวทอาคมขนาดใหญ่ทั้งเก้า แต่ละแหล่งเวทอาคมนั้น เต็มไปด้วยวังน้ำวนที่มีดวงดาวกำลังหมุนวนอยู่ช้าๆ เวทอาคมทั้งเก้าเหมือนกับเส้นทางขนาดใหญ่เก้าแห่ง นำไปสู่เมฆสีขาวบนแท่นบูชานั้น
ใครก็ตามที่สามารถผ่านด่านอาคมนั้น ก็สามารถก้าวขึ้นไปยังแท่นบูชาสีเขียวเข้ม
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ครั้งโบราณกาลเป็นต้นมา ก็ยังไม่มีใครสามารถผ่านเข้าไปได้!
ในตอนนี้ เมิ่งฮ่าวยืนเงียบๆ อยู่ด้านนอกของด่านอาคมแห่งแรก ดวงตาส่องประกายเจิดจ้า ทันใดนั้น รูปร่างเลือนลางเจ็ดร่างก็ปรากฎอยู่รอบๆ ตัว
เขาไม่สามารถบอกได้ว่าบุคคลเหล่านี้เป็นบุรุษ หรือสตรี รวมถึงไม่อาจบอกอายุพวกมันได้ แม้แต่เสื้อผ้าก็ดูเลือนลางไม่ชัด แต่เมิ่งฮ่าวก็เห็นได้ว่า พวกมันทั้งหมดต่างก็มองซึ่งกันละกันไปรอบๆ
ทันใดนั้น เสียงเก่าแก่โบราณ ไร้ความรู้สึกก็ดังออกมา “ขุมทรัพย์เซียนโลหิต ด่านอาคมทั้งเก้าถูกเปิดออก ผู้แข่งขันล่าขุมทรัพย์ครั้งที่แปดได้มาถึง แต่มีเพียงผู้เดียวที่จะได้รับขุมทรัพย์ของเซียนโลหิต”
“พวกเจ้าทั้งแปดจะไม่สามารถได้ยินคำพูดของคนอื่นๆ และจะไม่เห็นเวทอาคมที่คนอื่นใช้ พวกเจ้าจะไม่สามารถโจมตีผู้อื่น มองเห็นเพียงเงาร่างเลือนลางนี้เท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ…พวกเจ้าทั้งแปดต่างก็อยู่ในสถานที่ ที่แตกต่างกันทั้งหมด แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันในแต่ละสถานที่ของพวกเจ้า นั่นก็คือ มีแท่นบูชาสีเขียวเข้ม และพลังลมปราณที่เหมือนกัน”
“การแข่งขันล่าขุมทรัพย์จะเปิดขึ้นเป็นเวลาเก้าเดือน ในทุกๆ เขตด่านอาคม พวกเจ้าสามารถเลือกที่จะจากไปได้ทุกเวลาตลอดช่วงเก้าเดือนนี้ พวกเจ้าอาจจะเลือกไปต่อยังด่านอาคมต่อไป พวกเจ้าสามารถใช้วิธีอะไรก็ได้ รวมถึงกลอุบาย หรือพลังพิเศษของสำนัก หรือตระกูล บุคคลแรกที่ทะลวงผ่านเข้าไปในเขตด่านอาคมที่เก้าได้ ก็จะเป็นเซียนโลหิตรุ่นที่สอง!”
“ไม่มีกฎกติกาในที่แห่งนี้ ตอนนี้ พวกเจ้าแต่ละคน ต้องหยดโลหิตที่เต็มไปด้วยแก่นแท้ในตัวตนของเจ้า และด่านอาคมจะเปลี่ยนมันเป็นโลหิตศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีอยู่มากมายหลายชนิด การที่โลหิตของพวกเจ้าแต่ละคนจะสร้างโลหิตศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาเป็นอะไร…ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกเจ้าเอง”
“อย่าลืมว่า การดูดซับพลังลมปราณ จะทำให้โลหิตศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้า มีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าโลหิตศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้า…คือปัจจัยสำคัญที่จะได้รับขุมทรัพย์นี้หรือไม่ และตอนนี้ การแข่งขันล่าขุมทรัพย์เซียนโลหิตก็…เริ่มขึ้น!”
ทันทีที่เสียงนั้นสิ้นสุดลง ลำแสงสีเขียวเข้มแปดลำ ก็พุ่งออกมาจากแท่นบูชา และตรงลงมายังเมิ่งฮ่าว และคนอื่นๆ