จิตใจของเมิ่งฮ่าวหนักอึ้งขณะที่ยืนอยู่ที่นั่น เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้าไปในการแข่งขันล่าขุมทรัพย์เซียนโลหิต เขาก็พบว่าพลังฝึกตนของตัวเองฟื้นฟูกลับมาอย่างสมบูรณ์ ไม่ได้ติดอยู่ในระดับเจ็ด ขั้นรวบรวมลมปราณอีกต่อไป แต่กลับคืนไปสู่ระดับต้นขั้นพื้นฐานลมปราณ
หลังจากที่ได้ยินคำพูดจากเสียงเก่าแก่โบราณนั้น เมิ่งฮ่าวก็รู้ว่าทำไมฉู่อวี้เยียนถึงได้ต้องการเข้ามายังสถานที่นี้
“ที่นี้สามารถฟื้นฟูพลังลมปราณ ถ้ามันยังคงอยู่หลังจากออกไป ก็เห็นได้ชัดว่า นี่เป็นเป้าหมายแรกของฉู่อวี้เยียน ยิ่งไปกว่านั้น ต้องมีเล่ห์บางอย่างที่นางสามารถ…ส่งข่าวถึงบุคคลที่อยู่ด้านนอกให้รู้ตัวตนของนาง และจากนั้นก็บอกหนทางที่จะนำคนเหล่านั้นมายังปล่องภูเขาไฟนี้” ดวงตาเขาสาดประกายขณะที่มองไปยังลำแสงสีเขียวเข้มที่เบื้องหน้า
แสงสีเขียวเข้มเป็นลำแสงขนาดใหญ่ไร้รูปลักษณ์ ดูเลือนลางเห็นได้ไม่ชัดเจน ราวกับว่ามีสิ่งมีชีวิตกำลังก่อตัวอยู่ข้างใน
เงาร่างเลือนลางอีกเจ็ดร่างรอบๆ เขา ก็ดูเหมือนว่ากำลังศึกษาแสงสีเขียวเข้มนี้ด้วยเช่นกัน ในไม่ช้า หนึ่งในเงาร่างนั้นก็พ่นโลหิตออกจากปาก ซึ่งถูกดูดซับโดยแสงสีเขียว แสงนั้นเปลี่ยนเป็นสีของโลหิต จากนั้นเสียงร้องของเฟิ่ง (นกฟีนิกซ์) ดังออกมาจากด้านใน เสียงนั้นได้ยินอย่างชัดเจนไปทั่วพื้นที่บริเวณนั้น เมื่อเฟิ่งโลหิต ขนาดเล็กเท่านิ้วมือ บินออกมา วนเป็นวงกลมไปรอบๆ
บนจอภาพสีโลหิตด้านบนของแต่ละสถานที่ทั้งเจ็ดแห่ง ภาพก็ปรากฎขึ้น…เป็นภาพของเมิ่งฮ่าว และคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านในของโลกเซียนโลหิต
การแข่งขันล่าขุมทรัพย์เซียนโลหิตแต่ละครั้งไม่มีซ้ำกัน ผู้ที่อยู่ด้านนอกสามารถจับตาดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นด้านใน เมื่อผู้แข่งขันพุ่งตรงเข้าไปในด่านอาคม คนด้านนอกที่ดูอยู่ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจน ถึงแม้พวกมันจะไม่อาจมองเห็นรายละเอียดทั้งหมดก็ตามที แต่พวกมันก็สามารถเห็นได้ว่าใครสำเร็จ และใครล้มเหลว
ใครก็ตามที่มีความสามารถ ก็จะจับตาดูด่านอาคมเพื่อจะเรียนรู้จากพวกมัน ทุกคนได้ยินเสียงโบราณนั้นบอกว่า ไม่มีกฎกติกา หรือจะใช้วิธีการอะไรก็ได้ บุคคลแรกที่ผ่านเข้าไปยังด่านอาคมที่เก้าได้ ก็จะเป็นเซียนโลหิตรุ่นที่สอง
การแข่งขันล่าขุมทรัพย์ไม่มีกฎกติกา เมื่อคิดในอีกด้าน ก็เป็นการแสดงถึงความอวดดี และพลังของเซียนโลหิต ผู้ฝึกตนทั้งหลายในโลกนี้ สามารถจับตามอง และศึกษาด่านอาคมทั้งเก้าได้ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ในหลายหมื่นปี และการแข่งขันทั้งเจ็ดครั้งที่ผ่านมา ก็ไม่มีใครสามารถผ่านเข้าไปถึงด่านอาคมที่เก้าได้ ใครก็ตามที่คิดจะเข้าไป ต้องตาย
เนื่องจากเป็นการแข่งขันที่เปิดเผยเช่นนี้ ใครก็ตามที่เข้าร่วมมักจะมีการเตรียมตัวมาดี ผู้คนมากมายที่มองอยู่ด้านนอก เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเซียนโลหิตมาก่อน นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเมื่อเฟิ่งโลหิตปรากฎขึ้น ผู้คนมากมายถึงได้ตกตะลึง
“เฟิ่งโลหิตเกิดขึ้นแล้ว! ท่ามกลางโลหิตศักดิ์สิทธิ์ ทั้งเฟิ่งโลหิต และมังกรโลหิต ต่างก็รวดเร็วกันทั้งคู่ ข้าจำได้ถึงข้อมูลที่อ่านมาจากบันทึกโบราณ เกี่ยวกับการแข่งขันล่าขุมทรัพย์ครั้งที่หก เมื่อเฟิ่งโลหิตเติบโตเต็มที่ ก็จะมีความแข็งแกร่งเท่ากับผู้พิสดารวิญญาณแรกก่อตั้ง!”
“ข้าอยากรู้นักว่า ศิษย์ของสำนักไหน ที่โชคดีในครั้งนี้…”
เสียงพูดจาดังกระหึ่มไปทั่วเขตการแข่งขันทั้งเจ็ด ใกล้กับเขตที่ห้า, ซ่งเหล่าไกว้ แห่งตระกูลซ่ง ยืนอยู่ที่นั่นดูท่าทางมีความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง มันไม่พูดอะไรออกมา แต่จากเบาะแสเล็กน้อยที่มันจำได้ ทำให้มันรู้ว่าบุคคลที่ได้ครอบครองเฟิ่งโลหิต ก็คือสมาชิกของตระกูลนาม ซ่งเจีย
“ยอดเยี่ยม” มันคิด “บางทีอาจจะเป็นโอกาส สำหรับเจ้าเด็กหญิงซ่งเจีย จะได้ครอบครองขุมทรัพย์นี้อย่างแท้จริง” ดวงตาของมันส่องประกายด้วยความมุ่งหวัง
ในเวลาเดียวกันนั้น กลับเข้าไปด้านในของเขตขุมทรัพย์ ผู้แข่งขันคนที่สอง, สาม และสี่ พ่นโลหิตจากหัวใจของพวกมันเข้าไปในแสงสีเขียวเข้ม แต่ละคนก็ได้รับโลหิตศักดิ์สิทธิ์ที่แตกต่างกัน
คนแรกเป็นกวางสีโลหิตอันสง่างาม คนที่สองเป็นพยัคฆ์โลหิต ซึ่งส่งเสียงคำรามออกมา เมื่อมันปรากฎขึ้น แต่คนทั้งสองก็ต้องสีหน้าซีดขาว เมื่อไปเปรียบกับคนที่สาม โลหิตศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามเป็นมังกรโลหิต!
ท่าทางของมันดุร้าย และเสียงคำรามของมัน ก็สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งบริเวณนั้น ความปั่นป่วนก็กระจายออกไปทั่วทั้งโลกด้านนอกในทันที
“มังกรโลหิต!!”
“สี่พันปีที่แล้ว ในการแข่งขันล่าขุมทรัพย์เซียนโลหิตครั้งที่เจ็ด ผู้ถูกเลือกจากตระกูลหลี่ ได้ครอบครองมังกรโลหิต มันเป็นบุคคลแรกจากครั้งสมัยโบราณที่ผ่านเข้าไปถึงด่านที่แปดได้!!”
ด้านนอกของเขตแข่งขัน ชายชราสองคนที่เป็นคนของตระกูลหลี่ ยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก การปรากฎของมังกรโลหิตไม่ได้ทำให้พวกมันประหลาดใจมากเท่าใด บุคคลที่ได้ครอบครองมัน ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากหนึ่งในผู้ถูกเลือกของตระกูลหลี่ รุ่นปัจจุบันนี้, หลี่เต้าอี
ก่อนที่เสียงคำรามจะจางหายไป โลหิตศักดิ์สิทธิ์อันดับที่ห้า, หก และเจ็ด ก็ปรากฎขึ้นภายในเขตขุมทรัพย์ หนึ่งในนั้นเป็นเต่าเฉียนอู่ อีกหนึ่งเป็นสุนัขป่าโลหิต และสุดท้าย…ช่างน่าตกใจยิ่ง…เทพธิดาตัวน้อยสีโลหิต!
เทพธิดาตัวน้อยสีโลหิต ดูเหมือนกับผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง การปรากฎตัวของมัน ทำให้ผู้ฝึกตนที่อยู่ยังโลกด้านนอกต่างก็ตกใจกันไปตามๆ กัน แม้แต่สองชายชราจากตระกูลหลี่ก็ดูประหลาดใจ สมาชิกทุกคนของทุกตระกูล และสำนัก ต่างก็มีจิตใจหวั่นไหวกันไปทั่ว
“ตั้งแต่สมัยโบราณมา ยังไม่เคยมีโลหิตศักดิ์สิทธิ์ที่มีรูปร่างแบบมนุษย์มาก่อน ไม่เคยมี ในการแข่งขันทั้งเจ็ดครั้ง!”
“ยากที่จะบอกว่าโลหิตศักดิ์สิทธิ์นี้จะเติบโตเป็นอะไร มันไม่เคยถูกพบเห็นมาก่อน ใครจะไปรู้ว่า มันอาจจะเทียบเท่ากับเฟิ่งโลหิต และมังกรโลหิตก็เป็นได้”
ขณะที่เสียงพูดคุยดังออกไปทั่ว ผู้อาวุโสจากสำนักที่ลึกลับที่สุดในห้าสำนักใหญ่ สำนักเซี่ยเยา (อสูรโลหิต) กำลังนั่งขัดสมาธิมองไปยังภาพที่ปรากฎขึ้นบนจอโลหิต ดวงตาของมันจ้องไปยังเงาร่างเลือนลาง ซึ่งได้ครอบครองเทพธิดาสีโลหิต ผ่านไปชั่วครู่ มันก็พยักหน้า มันรู้ว่าบุคคลผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากศิษย์สำนักของมัน
ภายในเขตขุมทรัพย์เซียนโลหิต เมิ่งฮ่าวมองไปยังเจ็ดคนนั้น และโลหิตศักดิ์สิทธิ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งกำลังลอยอยู่รอบๆ ร่างเลือนลางนั้น พวกมันทั้งหมดดูแล้วไม่ธรรมดาไม่ว่าจะมองในมุมไหน
“บุคคลพวกนี้ต้องเป็นผู้ถูกเลือกต่างๆ ในดินแดนด้านใต้…” เมิ่งฮ่าวมองไปที่พวกมัน “ข้าอยากรู้นักว่าของข้าจะเป็นอะไร!?” ดวงตาสาดประกาย เขาวางมือไปบนหน้าอก พลังฝึกตนของเขาสั่นระรัว และกระอักโลหิตออกมา
โลหิตนี้มาจากพลังฝึกตนของเขา และมันก็ถูกดูดเข้าไปในแสงสีเขียวเข้มในทันที ในตอนนั้น ไม่ใช่มีแค่เขาคนเดียวที่เพ่งมองผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น อีกเจ็ดคนก็กำลังมองมาด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกับทุกคนในโลกภายนอก มีเสียงพูดคุยดังออกไปทั่วที่ด้านนอก ทุกคนมองไปที่เมิ่งฮ่าวบนหน้าจอยักษ์
แสงริบหรี่สีดำก็เปลี่ยนเป็นสีของโลหิตในทันที ครั้นแล้วเสียงอันเลือนลาง แต่แข็งแกร่งก็ดังออกมาจากด้านใน เมื่อพวกมันได้ยินเสียงนั้น บุคคลทั้งเจ็ด และกวางโลหิต ก็เริ่มตัวสั่น ต่อมาก็เป็น สุนัขป่าโลหิต, เต่าเฉียนอู่ และพยัคฆ์โลหิต ทั้งหมดดูเหมือนว่า พวกมันไม่อาจทนรับเสียงนั้นได้ และเริ่มสั่นสะท้านไปทั้งตัว
ทั้งมังกรโลหิต และเฟิ่งโลหิต ก็เริ่มแสดงท่าทีเป็นปรปักษ์ออกมา จ้องเขม็งมายังเมิ่งฮ่าว มีเพียงเทพธิดาสีโลหิตที่ใบหน้าไร้ความรู้สึก ไม่ไหวติงแม้แต่น้อย
“อะไรจะโผล่ออกมาสำหรับคนผู้นี้…มันเป็นเสียงคำรามเล็กๆ แต่โลหิตศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดก็ดูเหมือนจะสั่นไปทั้งตัว แม้แต่มังกรโลหิต และเฟิ่งโลหิตก็ยังดูเกลียดชังมัน…”
“ใช่จะเป็นโลหิตศักดิ์สิทธิ์ที่ยังไม่เคยปรากฎขึ้นมาก่อน?”
ในเวลาที่เสียงคำรามดังออกมา และแสงโลหิตที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าวเริ่มกระจายเป็นระลอกคลื่นออกมา ทันทีนั้นเอง โลหิตศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฎขึ้นยังเบื้องหน้าเขา มันเป็น…ลูกสุนัขตัวเล็กๆ พร้อมดวงตาที่สาดประกายเจิดจ้า ตัวขนาดเท่านิ้ว!
ลูกสุนัขนั้นดูยังไงก็ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรที่ดูเป็นพิเศษเลยแม้แต้น้อย อย่างไรก็ตาม ทันทีที่มันปรากฎ ความรู้สึกเป็นปรปักษ์ที่อยู่ภายในของเฟิ่งโลหิต และมังกรโลหิตดูเหมือนว่าจะรุนแรงมากขึ้น
“มันก็คือสุนัข!”
“เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างแน่นอน ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน จากการแข่งขันล่าขุมทรัพย์เซียนโลหิตตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงตอนนี้ ยังไม่เคยมีโลหิตศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสุนัขมาก่อน!”
รอบๆ บริเวณเขตทางเข้าขุมทรัพย์ทั้งเจ็ด ในดินแดนด้านใต้ เสียงพูดเล่น และหัวเราะดังขึ้นในทันที แต่ด้านใน ทุกสิ่งทุกอย่าง เงียบสงัด เมิ่งฮ่าวมองไปยังลูกสุนัขที่ลอยอยู่เบื้องหน้า จากนั้นก็มองไปรอบๆ ยังโลหิตศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้น
เขายกมือขวาขึ้น และลูกสุนัขก็กระโดดเข้ามาอยู่บนฝ่ามือในทันที ดูเหมือนมันจะสั่นสะท้านด้วยความหนาวเย็น และดูท่าทางตกใจ มันมองขึ้นไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยท่าทางประจบประแจง จากนั้นก็ก้มหน้าลง และเลียไปที่ฝ่ามือของเขาด้วยลิ้นเล็กๆ ของมัน
ในเวลาเดียวกันนั้น บุคคลทั้งเจ็ดก็ก้าวไปข้างหน้า เกือบจะพร้อมเพรียงกัน หายเข้าไปในด่านอาคมชั้นแรก
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกาย เขาไม่รู้มากนักเกี่ยวกับสถานที่นี้ ดังนั้นเขาจึงไม่เร่งรีบ หลังจากที่มองไปรอบๆ สักพัก เขาก็ตระหนักว่าพลังลมปราณในที่นี้ค่อนข้างจะหนาแน่น เข้มข้นกว่าโลกภายนอกมากนัก มันเกือบจะเข้มข้นเท่ากับพลังลมปราณในหุบเขา ที่ซึ่งเขาได้บรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณ
ไม่มีภูเขา หรือทะเลให้เห็น มีแต่ความว่างเปล่า มีเพียงด่านอาคมทั้งเก้า และแท่นบูชาสีเขียวเข้ม
เมิ่งฮ่าวคิดกลับไปในสิ่งที่เสียงโบราณนั้นได้กล่าววไว้ “ความหวังที่ข้าจะได้ครอบครองขุมทรัพย์ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับสุนัขตัวนี้?”
เขามองลงไปยังลูกสุนัขในฝ่ามือเขาชั่วครู่ จากนั้นก็มองกลับขึ้นไป โดยไม่ลังเล เดินตรงเข้าไปในเขตอาคมด่านแรก เมื่อทำเช่นนั้น โลกรอบๆ ตัวก็ลางเลือนไป จากนั้นก็ก่อตัวขึ้นใหม่ กลายเป็นโลกที่เต็มไปด้วยภูเขาเซียน และตึกรามบ้านช่อง
ในโลกแห่งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเงียบสงบ มองไปรอบๆ เขาเห็นภูเขาเซียนยืดขยายออกไป ราวกับป่าไม้ในทุกทิศทุกทาง ซึ่งปกคลุมไปด้วยอาคารมากมาย
นี่ไม่ใช่สถานที่ของมนุษย์ธรรมดา แต่เป็นสถานที่อยู่อาศัยของเซียน พลังลมปราณของสวรรค์ และปฐพีหนาแน่นมาก จริงๆ แล้ว ก็ดูเหมือนว่ามันจะหนาแน่นเป็นสิบเท่าของโลกภายนอก มันหนาแน่นจนก่อตัวกลายเป็นหมอกบางๆ ที่มองเห็นได้ในทุกที่
“ข้าอยู่ที่ไหน…?” เมิ่งฮ่าวกล่าว มองไปรอบๆ ด้วยความตกใจ เขาเพ่งมองไปด้วยจิตสัมผัส จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเริ่มดูดซับพลังลมปราณเหล่านั้น มันไหลเข้าไปในตัวเขา พุ่งเข้าไปพื้นฐานฝึกตนของเขา จากนั้นก็เข้าไปในเสาแห่งเต๋าสีทอง บางส่วนของมันก็รั่วไหลออกมาจากรอยร้าวในเสาแห่งเต๋า
“ด้วยพลังลมปราณที่หนาแน่นเช่นนี้ ถ้าเสาแห่งเต๋าของข้าไม่มีลมปราณรั่วไหลออกมา การฝึกตนในนี้หนึ่งวัน น่าจะเหมือนกับฝึกที่โลกด้านนอกหนึ่งเดือน” จิตวิญญาณของเขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้น เมื่อคิดเช่นนี้
ทันใดนั้น ก็สังเกตเห็นลูกสุนัขในฝ่ามือเขาดูมีความสุขมาก มันกำลังดูดซับลมปราณด้วยเช่นกัน เมื่อมันทำเช่นนั้น ร่างของมันก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้น ขนดกปุยก็เริ่มปรากฎขึ้นบนผิวหนัง ทำให้ดูน่ารักเป็นอย่างมาก
เมิ่งฮ่าวมองไปสักพัก ครุ่นคิดอย่างเคลิบเคลิ้ม
“สุนัขนี้คงจะโตขึ้นไปพร้อมกับข้า แต่เมื่อดูวิธีการหายใจของมัน เหมือนกับมันกำลังทำด้วยความเร็วเท่ากับข้า ใช่หรือไม่ว่า…การได้รับโลหิตจากหัวใจของข้า มันจึงมีพรสวรรค์เหมือนกับข้า?”
ดวงตาเขาสาดประกาย และเริ่มเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ด้านข้างวิ่งตามไปด้วยลูกสุขนัขตัวน้อย ซึ่งตอนนี้มีขนาดยาวเป็นสองนิ้ว ด้วยข้อจำกัดของมัน ทำให้มันเกือบจะวิ่งตามไม่ทัน