“การแข่งขันล่าขุมทรัพย์นี้ ต้องมีอันตรายที่ยากจะคาดเดาได้อย่างแน่นอน ถ้าข้าไม่ระวัง ก็คงต้องพ่ายแพ้ และตายไป…แต่ด้วยความเสี่ยงสูง ก็ต้องได้ผลตอบแทนที่ดี ถ้ามีบางสิ่งต้องเสียงมากขึ้น ก็แสดงว่ามีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนมากยิ่งขึ้น ถ้ามันไม่มีอันตรายใดๆ ก็ดี แต่ถ้ามี…อืม, ถ้าข้าไม่ไป ข้าก็จะเสียใจไปชั่วชีวิต!”
ความมุ่งมั่นเต็มอยู่ในดวงตา ขณะที่เขาครุ่นคิดถึงสิ่งที่ฉู่อวี้เยียนได้บอกมา อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ผ่านไปสักพัก เขาก็ยังไม่รู้ว่าทำไมนางถึงได้บอกเขาอย่างละเอียดเช่นนั้น
“นางกำลังท้าทายข้า บางทีเป้าหมายที่แท้จริงของนางก็คือให้ข้าเข้าไป หรือบางทีไม่ใช่ว่า…โอกาสเป็นอย่างหลังน่าจะน้อยมาก บางทีนางอาจจะหวังว่า หลังจากที่ข้าเข้าไป และเริ่มการแข่งขันล่าขุมทรัพย์เซียนโลหิต ก็จะไปสร้างความสนใจให้กับโลกภายนอก และอาจจะทำให้สำนักจื่อยิ่นมีโอกาสตามรอยนางมาที่ด้านล่างนี้ได้” ดวงตาของเขาแวบขึ้น ขณะที่มองไปยังนาง
“ถ้าข้าไม่เข้าไป ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้านั่นเป็นสิ่งที่นางต้องการ ทำไมนางถึงได้บอกรายละเอียดในตอนนี้ โดยเฉพาะการทำให้ข้าลังเล? ข้าสงสัยว่า…นางกำลังคิดอะไรอยู่? เป้าหมายจริงๆ ของนางคืออะไร…?” ดวงตาของเขาสาดประกาย ขณะที่ครุ่นคิด ในที่สุด เขาก็ปิดตาลง และเริ่มเข้าสมาธิ
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ไม่นาน ครึ่งเดือนก็ผ่านไป ในที่สุด ฉู่อวี้เยียนก็ปรุงยาเม็ดที่สองสำเร็จ แต่หลังจากอีกหนึ่งเดือนผ่านไป ความพยายามปรุงเม็ดยาที่สาม และสี่ก็ล้มเหลว
เมิ่งฮ่าวไม่สามารถผสมตัวยาได้ แต่ก็เข้าใจอย่างชัดแจ้งว่า นางไม่ได้ตั้งใจจะทำไม่สำเร็จ การปรุงเม็ดยาเริ่มยากมากขึ้น ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เมิ่งฮ่าวไม่ได้คิดเกี่ยวกับขุมทรัพย์เซียนโลหิตอีกเลย ราวกับว่าเขาไม่สนใจมันแล้ว
วันหนึ่ง เขาลุกขึ้นยืนช้าๆ และทะยานขึ้นไปบนกระบี่บิน พุ่งทะลุผ่านสายหมอก เพื่อไปจับตาดูเกราะเวท
ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาได้ขึ้นไปทุกๆ สิบวัน เพื่อไปมองดูเกราะเวทนั้น ทุกครั้งที่เขาจากไป ฉู่อวี้เยียนก็จะมองเขาออกไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ครั้งนี้ หลังจากที่เมิ่งฮ่าวหายไป นางรอจนถึงสองชั่วยาม จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นในทันที ดวงตาสาดประกาย คิ้วขมวด ราวกับว่านางกำลังมีปัญหากับขั้นตอนการปรุงเม็ดยา จากนั้น ก็ยืนขึ้น มองออกไปในสายหมอก ผ่านไปไม่นาน ก็เริ่มเดินตรงไปยังเขตของทะเลสาบโลหิต
เมื่อนางไปถึงที่นั่น ก็มองไปรอบๆ จากนั้นก็หันหลัง และกลับไปที่เตาปรุงยา ดูเหมือนว่าคำถามที่อยู่ในจิตใจของนางได้รับคำตอบ นางเริ่มทำการปรุงยาต่อไป
อีกครึ่งเดือนผ่านไป ในที่สุด นางก็สามารถปรุงยาเม็ดที่สาม และสี่ได้สำเร็จ จากนั้นก็เริ่มปรุงเม็ดยาที่ห้า เท่าที่เมิ่งฮ่าวคิด นี่คงเป็นยาเม็ดสุดท้าย เมื่อไหร่ที่ปรุงมันได้ เม็ดยารองทั้งเจ็ดก็จะพร้อมปรุงเป็นเม็ดยาพื้นฐานสมบูรณ์
เวลาเลื่อนผ่านไป เพียงชั่วพริบตา อีกสองเดือนก็ผ่านไป เมิ่งฮ่าว และฉู่อวี้เยียนในตอนนี้ ก็ถูกกักอยู่ในปล่องภูเขาไฟนี้นานครึ่งปี ภายในสองเดือนนี้ ฉู่อวี้เยียนมักจะออกจากถ้ำเป็นครั้งคราว บางครั้งก็เป็นตอนที่เมิ่งฮ่าวกำลังมองดูนาง บางครั้งก็เป็นตอนที่เขาไม่อยู่
ดูเหมือนราวกับว่า ทุกๆ ครั้งที่นางมีปัญหาเกี่ยวกับสูตรยา นางก็จะเดินออกไป แต่นางก็ไม่เคยเข้าไปในเขตหนึ่งร้อยจ้างของทะเลสาบโลหิตเลย นางจะหยุดที่อยู่จุดนั้นทุกครั้ง
ในที่สุด ณ วันหนึ่ง ภายใต้การมองดูของเมิ่งฮ่าว นางขมวดคิ้วลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปในสายหมอก เมื่อนางไปถึงจุดหนึ่งร้อยจ้าง ดวงตาสาดประกาย พลังฝึกตนของนางกระจายออกมา และนางก็พุ่งไปยังทะเลสาบโลหิตด้วยความเร็วสูงสุด
ขณะที่นางเข้าไปใกล้ พื้นผิวของทะเลสาบก็เริ่มเกิดเป็นระลอกคลื่น แท่นบูชาปรากฎ ตามด้วยศีรษะหินอันใหญ่โตมหึมา ปากมันอ้ากว้าง เปิดเป็นประตูรอให้ผู้ที่จะเข้าร่วมการแข่งขันล่าขุมทรัพย์ผ่านเข้าไป
ดวงตาฉู่อวี้เยียนส่องประกายด้วยความตื่นเต้น ขณะที่นางพุ่งตรงไป เมื่อนางทะยานเข้าไปถึงปากที่อ้าอยู่นั้น ก่อนที่เกือบจะผ่านเข้าไป เสียงหัวเราะแผ่วเบาก็ดังออกมา รังสีกระบี่สาดประกาย พุ่งมายังฉู่อวี้เยียน
ทันทีที่นางได้ยินเสียงหัวเราะนั้น ใบหน้านางก็ซีดขาว ไม่สนใจกระบี่ไม้ที่ใกล้เข้ามา นางกัดฟันที่ขาวเงางามของนางจนแน่น และพุ่งตรงต่อไป ตอนนี้นางอยู่ห่างจากปากหินใหญ่โตนั้นไม่ถึงหนึ่งจ้าง
ทันใดนั้น แหสีดำก็ปรากฎ เคลื่อนที่มาด้วยความเร็วที่มากกว่าความเร็วของฉู่อวี้เยียน มันครอบนางไว้ในทันที และนางก็ไม่สามารถเคลื่อนที่ออกไปยังหนึ่งจ้างสุดท้ายนั้น กระบี่ไม้ยกนางขึ้น และโยนกลับไปยังชายฝั่งของทะเลสาบ
ผู้ที่กำลังยืนอยู่ในบริเวณนั้น ภายในสายหมอกก็คือเมิ่งฮ่าว สีหน้าเขาไร้ความรู้สึก ค่อยๆ เดินตรงไปอย่างช้าๆ
ใบหน้าฉู่อวี้เยียนซีดขาว และดวงตาก็สาดประกายแห่งความเกลียดชังอย่างรุนแรงออกมา ขณะที่จ้องไปยังเมิ่งฮ่าว ทันทีที่เขานำกระโหลกศีรษะกลับไปศึกษา นางก็ประติดประต่อเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับขุมทรัพย์เซียนโลหิตเข้าด้วยกัน ยิ่งไปกว่านั้น ทุกสิ่งที่นางพูดเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมาก็เป็นเรื่องจริง
นางคิดว่านางรู้จักเมิ่งฮ่าว และเข้าใจถึงความสงสัยในสันดานของเขา นางแสร้งพยายามที่จะทำให้เขาคิดว่ามีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลอยู่ ด้วยธรรมชาติของเขา เขาต้องสงสัยนางอย่างแน่นอน จากสิ่งทั้งหมดนี้ นางรู้ว่าไม่สามารถที่จะโน้มน้าวเขาได้ง่าย ซึ่งก็ทำให้นางมีเวลามากยิ่งขึ้น
ในหลายเดือนที่ผ่านมา นางแสร้งทำเป็นออกไปเดินเล่น นางทำเป็นประจำจนเมิ่งฮ่าวไม่พบว่ามันผิดปกติ วันนี้ ในที่สุดนางก็พยายามที่จะทำ แต่ไม่เคยคิดว่าจะล้มเหลว
“เจ้าช่างอดทนมากจริงๆ” เมิ่งฮ่าวกล่าว “ข้าให้เวลาเจ้ามาโดยตลอดทั้งสามเดือน” ณ ตอนนี้ เขาไม่ยอมที่จะอธิบายว่า เขาได้มองทะลุแผนการของนางได้อย่างไร
“เจ้ามีเวลาหนึ่งเดือน ข้าต้องการยาเม็ดที่ห้า ตอนนี้ กลับไปปรุงยาของเจ้าได้แล้ว” เขาทำมือกระชาก ดึงแหขนาดใหญ่กลับเข้ามา
ฉู่อวี้เยียน กัดริมฝีปาก และลุกขึ้นยืน โดยไม่ชายตามองมายังเมิ่งฮ่าว นางเดินจากไปด้วยความขมขื่น
“ดูท่าทาง นางต้องการเข้าไปจริงๆ” เมิ่งฮ่าวมองอย่างครุ่นคิด ผ่านหัวไหล่ไปยังเงาร่างของฉู่อวี้เยียนที่กำลังจากไป รอยยิ้มอันเย็นชายกขึ้นมาบนมุมปาก ตอนนี้ ข้อสงสัยของเขาจางหายไป เขาเดินตรงเข้าไปในปากของศีรษะหินขนาดใหญ่นั้น
ทันทีที่เขาเข้าไปในปาก เขาก็หายไป และทะเลสาบโลหิตก็เริ่มเดือดพล่าน เสียงกระหึ่มแผ่กระจายออกไป และทะเลสาบโลหิตก็กลายเป็นหมอกสีโลหิต ซึ่งกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง
เสียงเก่าแก่โบราณดังออกมา จากภายในของหมอกโลหิต ดังก้องสะท้อนไปมาภายในปล่องภูเขาไฟนั้น “ชนเผ่าโบราณไท่เอ้อ, ขุมทรัพย์เซียนโลหิต เข้ามายังทะเลเลือดของข้า; เก้าเปิดออกในดินแดนด้านใต้; และจะรับรู้กันไปทั่ว บุคคลแรก…จะได้รับสายเลือดแห่งเซียนโลหิต!”
เมื่อมันดังมากระทบหูของฉู่อวี้เยียน นางเดินโซเซ และใบหน้าซีดลง นางกัดริมฝีปาก ขณะที่ดูท่าทางขมขื่นใจเป็นอย่างยิ่ง
“ถ้าข้ารู้ตัวให้เร็วกว่านี้ ว่าสถานที่นี้คือ…” นางส่ายศีรษะด้วยสีหน้าซีดเผือด ความเกลียดชังที่มีต่อเมิ่งฮ่าว และต่อโชคชะตาของตัวเอง ทำให้นางเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
…
ในเวลาเดียวกันนั้น ด้านนอกในเขตดินแดนด้านใต้ มีสถานที่ซึ่งแตกต่างกันเจ็ดแห่ง สถานที่ทั้งหมด ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงกระหึ่มกึกก้องดังออกมา ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น ท้องฟ้าที่อยู่เหนือทั่วทั้งดินแดนด้านใต้ ก็กลายเป็นสีแห่งโลหิต
จากสถานที่แต่ละแห่งทั้งเจ็ด เกิดเป็นเสียงเก่าแก่โบราณดังออกมา
“ชนเผ่าโบราณไท่เอ้อ, ขุมทรัพย์เซียนโลหิต เข้ามายังทะเลเลือดของข้า; เก้าเปิดออกในดินแดนด้านใต้; และจะรับรู้กันไปทั่ว บุคคลแรก…จะได้รับสายเลือดแห่งเซียนโลหิต!”
เสียงที่ดังกึกก้องนั้น ส่งผลให้ดินแดนด้านใต้เดือดพล่านขึ้นมาในทันที ผู้ฝึกตนทุกคนไม่ว่าจะอยู่สำนักไหน หรือมีความเป็นมายังไง ที่อยู่ใกล้กับประตูทางเข้าขุมทรัพย์เซียนโลหิตทั้งเจ็ดแห่งนี้ ก็มองไปด้วยความประหลาดใจ พวกมันรีบพุ่งไปในทิศทางต่างๆ กัน ด้วยความเร็วอย่างไม่น่าเชื่อในทันที
“ประตูขุมทรัพย์เซียนโลหิตปรากฎขึ้นอีกแล้ว!”
“ขุมทรัพย์เซียนโลหิตประตูที่แปดถูกค้นพบแล้ว ตอนนี้มีคนเข้าไปแล้ว ประตูอีกเจ็ดแห่งก็เปิดออก การแข่งขันล่าขุมทรัพย์เซียนโลหิตครั้งที่แปดเริ่มขึ้นแล้ว!”
“มีโอกาสทั้งหมดเพียงเก้าครั้งเท่านั้น ที่จะได้ขุมทรัพย์เซียนโลหิต หลายหมื่นปีที่ผ่านมา มันเกิดขึ้นมาเจ็ดครั้ง นี่เป็นครั้งที่แปด ถ้าไม่มีใครได้ขุมทรัพย์ในครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะผ่านไปอีกกี่ปี กว่าที่การแข่งขันครั้งที่เก้าจะมาถึง…”
สถานที่อีกเจ็ดแห่งตั้งอยู่ที่การแข่งขันล่าขุมทรัพย์เซียนโลหิตครั้งก่อนหน้านี้ เมื่อไหร่ที่สถานที่ใหม่ปรากฎ มันก็จะเกิดความตื่นเต้นอย่างมากมายขึ้นในดินแดนด้านใต้ ดวงตาของผู้ฝึกตนมากมายนับไม่ถ้วนเริ่มแดงก่ำด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า ถึงแม้ว่าไม่มีใครเคยได้รับขุมทรัพย์นี้มาก่อน แต่ในทุกครั้งของการแข่งขัน ผู้เข้าร่วมที่โชคดีก็จะได้รับอาวุธเวท และวิชาเวทต่างๆ
เมื่อข่าวนี้กระจายออกไป ห้าสำนักใหญ่ และสามตระกูลดัง ก็เป็นผู้ที่มีปฏิกิริยาก่อนใครอื่น หลังจากกลุ่มนี้ ก็เป็นตระกูลอื่นๆ แสดงท่าทีตามมา
ณ ตอนนี้ เสียงกระหึ่มกระจายออกมา และคำพูดของเสียงเก่าแก่โบราณนั้นก็ดังก้องไปทั่ว ทั่วทั้งดินแดนด้านใต้ก็เต็มไปด้วยความเคลื่อนไหว ตระกูลหวัง หนึ่งในสามตระกูลดัง เป็นตระกูลแรกที่เคลื่อนไหว ลำแสงนับร้อยบินออกไป ตามด้วยเรือต่อสู้ที่บินได้อีกหลายลำ ซึ่งเต็มไปด้วยศิษย์ของตระกูลหวัง พวกมันเดินทางตรงไปยังประตูขุมทรัพย์เซียนโลหิตที่อยู่ใกล้ที่สุด
หวังเถิงเฟย ในชุดสีขาว ยืนบนเรือลำที่สอง มือของมันประสานกันอยู่ด้านหลัง ขณะที่มันจ้องอย่างเย็นชาไปยังใครบางคน ที่อยู่บนเรือด้านหน้าในตำแหน่งผู้นำ ที่นั่นยืนไว้ด้วยบุรุษที่สวมใส่ชุดขาวเช่นเดียวกัน หน้าตาคล้ายคลึงกับหวังเถิงเฟย ถึงแม้จะดูอายุมากกว่าเล็กน้อย มันกำลังคิดไป ขมวดคิ้วไปด้วย
นี่คือหวังลี่ไห่ พี่ชายของหวังเถิงเฟย มันเป็นเต้าจื่อ (บุตรแห่งเต๋า) ของตระกูลหวัง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงกว่าผู้ถูกเลือก มันอยู่ในขั้นสุดท้ายของพื้นฐานลมปราณ และใกล้จะบรรลุขั้นสร้างแกนลมปราณในไม่ช้า มันถูกห้อมล้อมไปด้วยสมาชิกชั้นยอดของตระกูลหวัง รวมถึงผู้พิทักษ์เต๋าของมัน, ท่านลุงที่อยู่ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง
สำหรับหวังเถิงเฟย…มันยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ประสานมืออย่างเหนียวแน่นไว้ที่ด้านหลัง หนึ่งในนิ้วมือข้างขวาของมันดูแตกต่างเป็นอย่างมากกับนิ้วอื่นๆ มันโปร่งใสราวผลึก ซึ่งมีเส้นใยสีดำเล็กๆหมุนเป็นเกลียววนไปมาอยู่ ดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
ที่กำลังยืนอยู่ข้างกายมันก็คือ หวังซีฟ่าน บุรุษซึ่งเกือบจะสังหารเมิ่งฮ่าว ด้วยการมองเพียงครั้งเดียวในคืนหนึ่งของหลายปีมาแล้ว
“ถ้าไม่เกิดเรื่องขึ้นในแคว้นจ้าว” มันพูดเสียงเย็นชา “เจ้าก็คงไม่อยู่ในขั้นต้นของพื้นฐานลมปราณในตอนนี้ เจ้าควรจะอยู่ที่ขั้นกลาง เจ้ายังคงอยู่ล้าหลังพี่ชายของเจ้า แต่ก็คงอีกไม่นานนัก”
“ข้าจะล้ำหน้าพี่ของข้า” หวังเถิงเฟยพูดเสียงราบเรียบ “ข้าจะเป็นเต้าจื่อให้ได้!”
“มีเพียงโอกาสเดียวที่จะได้ขุมทรัพย์เซียนโลหิต” หวังซีฟ่านพูด ดวงตามันวาบขึ้น ขมวดคิ้ว
“แย่มากที่ยังไม่มีข่าวคราวของอวี้เยียน จากสำนักจื่อยิ่นแม้แต่น้อย นางคงอยู่ในขั้นสำคัญของการเข้าฌาณเพียงลำพัง มิเช่นนั้น นางคงสามารถช่วยเหลือเจ้าได้บ้าง”