ลูกไฟลูกแล้วลูกเล่า ตกลงไปบนซากศพ กลิ่นคาวโลหิตยังคงลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ แต่ไม่ช้ากลิ่นเนื้อไหม้เกรียมก็กระจายมาแทนที่ กลิ่นเหม็นอันน่ารังเกียจ ลอยออกไปในทุกทิศทาง
เมิ่งฮ่าวรวบรวมถุงเก็บสมบัติ สูดดมกลิ่นของอากาศ จากนั้นก็มองไปที่ทะเลเหนืออย่างเงียบๆ เป็นครั้งสุดท้าย หันหลังกลับ และจากไป
“ข้าอยู่ในแคว้นจ้าวไม่ได้อีกแล้ว…ข้าต้องจากไป” เมิ่งฮ่าวรู้ว่าถ้าสำนักฉือสุ่ย (สายน้ำหมุน) มีการเตรียมตัวเช่นนี้ สองสำนักใหญ่ที่เหลือ ก็ต้องรับรู้ถึงความตายของ ผู้คุมกฎ และผู้อาวุโสของพวกมันด้วยเช่นกัน
ในไม่ช้า ทั่วทั้งเทือกเขาก็จะเต็มไปด้วยผู้ฝึกตน ขั้นรวบรวมลมปราณ ทำการค้นหาเพื่อตรวจสอบว่าพวกมันตายได้อย่างไร
เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว มองออกไปยังที่ห่างไกล ปรากฎภาพขึ้นในจิตใจ เป็นภาพแผนที่ของดินแดนด้านใต้ อีกด้านหนึ่งของเทือกเขานี้ เป็นที่ราบอันกว้างใหญ่ ซึ่งติดกับชายแดนของแคว้นจ้าว
“อีกไม่นาน ก็จะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นที่นี่ ข้าคงอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว” เมิ่งฮ่าวเปลี่ยนทิศทาง เทือกเขานี้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาเขตสำนักเอกะเทวะ เขาต้องไปจากแคว้นจ้าวโดยใช้เส้นทางอื่น
ด้วยการตัดสินใจที่แน่วแน่ เมิ่งฮ่าวพุ่งตรงไป แต่โชคร้าย ก่อนที่เขาจะไปได้ไกล ม่านตาก็หดแคบลง รีบร่อนลงไปที่พื้น เขาขมวดคิ้ว มองออกไปยังที่ห่างไกลด้วยสายตาที่เย็นชา
ไม่เกินห้าสิบหลี่ข้างหน้าเขา เกราะป้องกันเรืองแสงขนาดใหญ่มหาศาล กำลังตกลงมาจากท้องฟ้า กลายเป็นเกล็ดหิมะมากมายจนนับไม่ถ้วน ลอยไปมาปกคลุมสำนักเอกะเทวะ ตัดขาดออกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
บุรุษวัยกลางสวมใส่ชุดยาวสีดำ ลอยอยู่บนท้องฟ้าที่ห่างออกไป พลังการฝึกตนของมันอยู่ในขั้น พื้นฐานลมปราณ ในมือของมันถือชิ้นแผ่นหยกที่เย็นยะเยือก มีลำแสงหมุนรอบตัวมันอย่างช้าๆ
นี่เป็นอาวุธเวท ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของเกราะป้องกันหิมะเหิน ที่ปกคลุมรายล้อมทุกสิ่งทุกอย่าง ปิดผนึกทั้งหมดไว้ภายใน
รอบๆ บุรุษผู้นั้น มีผู้ฝึกตนขั้นรวบรวมลมปราณ เจ็ดถึงแปดคน ด้วยสีหน้าที่ดูภูมิฐานสง่างาม จากเสื้อผ้าของพวกมัน เมิ่งฮ่าวก็รู้ว่าพวกมันมาจากสำนักเฟิงหาน (สายลมยะเยือก)
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมพวกมันถึงถูกเรียกว่าสามสำนักใหญ่ ถึงแม้จะมีผู้อาวุโสขั้นพื้นฐานลมปราณมากมายตายไป แต่ก็ยังมึคนระดับนั้นปรากฎตัวมามากยิ่งขึ้น”
เมิ่งฮ่าวรู้สึกใจหาย เมื่อตระหนักว่า เกราะป้องกันนี้ได้ตัดทางหนีของเขาไปโดยสิ้นเชิง เขาไม่มีทางจากไปได้อีกแล้วในตอนนี้ ก่อนที่เขาจะมีเวลาตรวจสอบสถานการณ์ไปมากกว่านี้ เขาก็รีบพุ่งไปยังด้านหลังในทันที ทันใดนั้น เกราะป้องกันหิมะเหิน ก็เริ่มกระจายตัวออกอย่างรวดเร็ว
ขณะที่มันกระจายออกไป ก็ได้แช่แข็งพื้นดิน และต้นไม้ที่มันเคลื่อนผ่านไป ด้วยความรวดเร็ว พุ่งตรงไปข้างหน้ายังทิศทางของเมิ่งฮ่าว แน่นอนว่ามันไม่ได้มีเป้าหมายที่เมิ่งฮ่าว
นี่เป็นเพียงหน้าที่หลักของคาถาผนึก การกระจายตัวของมัน เกิดขึ้นไม่นานมากนัก เคลื่อนที่เข้าไปไม่กี่ร้อยหลี่ จากนั้นก็ค่อยๆ หยุดลง
เมิ่งฮ่าวอยู่ไม่ไกลจากมัน เมื่อเขาล่าถอย ก็ไม่มีเวลาในการปกปิดการเคลื่อนไหว ขณะที่มันเข้ามาใกล้ เขาก็กระโดดขึ้นไปบนกระบี่บิน กลายเป็นลำแสงพุ่งออกไป ทำให้ศิษย์สำนักเฟิงหานจ้องมองมา
“คนผู้นั้น…”
“มันคือเมิ่งฮ่าว! ข้าเคยเห็นรูปของมัน!”
“มันคือเมิ่งฮ่าว ที่ผู้คุมกฎ และคนอื่นๆ กำลังค้นหาอยู่ จับมันไว้! พวกเราจะได้เข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้นที่นี่!” ดวงตาของศิษย์สำนักเฟิงหาน ส่องประกายด้วยเจตนาร้าย
“พวกเจ้าทั้งหมด, ไปจับตัวมัน” ผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณสั่ง “ข้ากำลังร่ายเวทผนึก คงต้องใช้เวลาอีกชั่วครู่” มันเพิ่งจะร่ายอาคมส่งพลัง ให้เวทผนึกกระจายตัวออกไป ไม่สามารถที่จะผละออกไปได้ อย่างไรก็ตาม มันคิดว่า เมิ่งฮ่าว ไม่มีทางที่จะหนีรอดไปได้
เมื่อคำพูดหลุดออกมาจากปากของมัน ศิษย์สำนักเฟิงหาน เจ็ดถึงแปดคนก็พุ่งไล่ตามเมิ่งฮ่าวไป
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายจ้า พุ่งตรงไป ผนึกกำลังกระจายอยู่ด้านหลังของเขา ศิษย์สำนักเฟิงหาน อยู่ด้านหลังผนึก ไล่ตามมาอย่างรีบเร่ง
ขณะที่เขาพุ่งตรงไป เกราะป้องกันของสำนักเฟิงหาน ก็ใกล้เข้ามา และใกล้มามากขึ้น จนกระทั่งห่างออกไปประมาณเก้าสิบฉื่อ ในที่สุด มันก็เริ่มช้าลง และหยุดการกระจายตัวลง กลายเป็นเกราะน้ำแข็งที่หนามาก ปกคลุมทั่วทั้งเขตเทือกเขาของสำนักเอกะเทวะ
จริงๆ แล้ว ผนึกนี้ยังจับตัวกันเป็นน้ำแข็งได้ไม่สมบูรณ์พอ ถ้าเมิ่งฮ่าวอยู่แค่ระดับเก้า ขั้นรวบรวมลมปราณ เขาก็ไม่สามารถรับรู้ แต่เขาบรรลุวงจรอันยิ่งใหญ่ ของการรวบรวมลมปราณ เมื่อมองไปที่ผนึกนี้ เขาก็รู้ว่ามันจะคงอยู่ได้ในเวลาอีกไม่นานนัก
“ข้าออกไปไม่ได้ และไม่อาจเข่นฆ่าเพื่อสร้างทางหลบหนี ข้าจำเป็นต้องไปที่เทือกเขาให้เร็วที่สุด ผนึกนี้คงจะเริ่มหายไปในไม่ช้า ถึงตอนนั้น ข้าก็จะหนีจากไป”
เมิ่งฮ่าวกัดฟันแน่น แผนการหลบหนีของเขาต้องยืดออกไปอีก แต่ก็ไม่มีทางเลือก ต้องหาที่หลบซ่อนตัวสักระยะหนึ่ง แต่ต้องหาทางสลัดหลุดจากสถานการณ์ในตอนนี้ให้ได้ก่อน
ดวงตาสาดประกาย เขาหยุดการหลบหนี แต่ยืนอยู่ที่นั่นแทน มองไปยังศิษย์สำนักเฟิงหาน แปดคนที่ใกล้เข้ามาด้วยสายตาที่เย็นชา
“ทั้งหมดแปดคน สองเป็นระดับเก้าขั้นรวบรวมลมปราณ สี่อยู่ในระดับแปด และระดับเจ็ดสองคน พวกมันทั้งหมดมีอาวุธเวท ดูเหมือนว่าสามสำนักใหญ่ค่อนข้างจะร้อนใจ พวกมันส่งคนมาที่นี่อย่างรวดเร็ว”
เมิ่งฮ่าวชำเลืองมองกลับไปยังผู้ฝึกตน ขั้นพื้นฐานลมปราณ มันยังคงส่งพลังร่ายเวทผนึก และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ชั่วคราว อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ ก็ยังคงมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง มันลอยตัวอยู่ที่นั่น มองลงมาที่เมิ่งฮ่าวด้วยสายตาที่เย็นชา
เมื่อคนทั้งสองสบตากัน ผู้ฝึกตนแปดคน ก็พุ่งทะลุผ่านเข้ามาในเกราะป้องกันหิมะเหิน นี่เป็นหนึ่งในคุณสมบัติแปลกๆ โดยเฉพาะ ของเกราะป้องกันนี้ ผู้ที่อยู่ด้านนอก สามารถเข้ามาข้างในได้ แต่ผู้ที่อยู่ด้านใน ไม่สามารถออกไป
คนทั้งแปด ร่อนลงมาที่เมิ่งฮ่าว ใบหน้าของพวกมันบิดเบี้ยว ด้วยรอยยิ้มอันโหดเหี้ยม
เมิ่งฮ่าว มือขวากำหมัดจนแน่น ก้าวเท้าไปข้างหน้า ต่อยลงไปบนพื้น พลังของวงจรอันยิ่งใหญ่ ของการรวบรวมลมปราณก็ระเบิดออกมา ราวกับลมพายุอันรุนแรง กระแทกตรงไปยังแปดผู้ฝึกตนนั้น พวกมันรีบหยุดลง ความตกใจเขียนอยู่บนใบหน้า
ในเวลาเดียวกันนั้น กระบี่ไม้สองเล่มก็ปรากฎขึ้น ในมือของเมิ่งฮ่าว มันส่งเสียงแหลมเล็ก แหวกฝ่าอากาศ และศีรษะของสองศิษย์สำนักเฟิงหาน ระดับเจ็ดขั้นรวบรวมลมปราณ ก็ลอยขึ้นไปในอากาศ
“หนึ่งลมหายใจ” เมิ่งฮ่าวพูดกับตัวเอง ผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ ได้บอกไว้ว่ามันต้องการเวลาชั่วครู่ เมิ่งฮ่าวไม่แน่ใจว่ามันพูดจริงหรือไม่ ไม่ว่ายังไง เขาก็ต้องจัดการคนทั้งแปดนี้ให้ได้ ภายในชั่วระยะเวลา สูดลมหายใจเข้าออกเพียงสิบครั้ง
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องแหลมเล็กของกระบี่ไม้ ผู้ที่เหลืออยู่ทั้งหกคน รีบดึงอาวุธเวทออกมา แต่ก่อนที่มันจะทำได้ เมิ่งฮ่าวก็หมุนตัวกระแทกเข้าไปที่หนึ่งในสี่ ของผู้ฝึกตนระดับแปด เขาไม่ได้ใช้อาวุธเวท แต่ใช้หัวไหล่แทน
ตูม! เมิ่งฮ่าวกระแทกเข้าไป โลหิตพุ่งออกมาจากปากของคนผู้นั้น ร่างยุบเข้าไป ขณะที่มันลอยไปด้านหลัง เมิ่งฮ่าวก็ขยับมือขวา เปลวไฟแห่งงูขนาดใหญ่ ก็ปรากฎขึ้น ยาวร้อยแปดสิบฉื่อ แผดเสียงดังก้องกระหึ่ม พุ่งตรงไปยังผู้ฝึกตนระดับแปดอีกผู้หนึ่ง เสียงแผดร้องโหยหวนดังออกมา เมื่อเปลวไฟแห่งงูกลืนกินมันเข้าไปทั้งตัว
“สี่ลมหายใจ” ในการหายใจเข้าออกสี่ครั้ง เมิ่งฮ่าวก็สังหารไปสี่คน คนที่เหลืออยู่อีกสี่คนมองมาด้วยความตกใจ เมิ่งฮ่าวโจมตีด้วยความโหดร้าย อย่างที่พวกมันไม่เคยเห็นมาก่อน ตอนนี้เขาได้เปิดเผยพลังการฝึกตนของตัวเองออกมา สี่คนที่เหลืออยู่ ร่างกายสั่นระริก ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
จุดที่ห่างออกไป ผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ มองมาด้วยความตกใจ ก่อนหน้านี้ มันเห็นเมิ่งฮ่าวอยู่ที่ระดับเก้า ขั้นรวบรวมลมปราณ แต่ในช่วงเวลาหายใจเข้าออกไม่กี่ครั้ง พลังการฝึกตนของเขาก็ทะยานสูงขึ้นไปอย่างไม่น่าเชื่อในทันที
“หกลมหายใจ” มือของเมิ่งฮ่าวขยับเป็นรูปแบบ การสร้างเวทอาคม รังสีของกระบี่ไม้สองเล่ม ก็กระจายออกมา ผู้ฝึกตนระดับแปดสองคนที่ยังเหลืออยู่ พยายามต่อต้านด้วยอาวุธเวท ขณะที่กระบี่ไม้พุ่งตรงไป เสียงร้องอย่างน่ากลัวก็ดังออกมา เมื่อหัวใจของพวกมันถูกแทงจนทะลุเข้าไป ร่างล่วงลงไปบนพื้น
ตอนนี้ ยังเหลือแค่สองคน ซึ่งอยู่ในระดับเก้า ขั้นรวลรวมลมปราณ ใบหน้าของพวกมันซีดขาว พวกมันเริ่มถอยไปยังด้านหลัง เมื่อสายตาอันเย็นชาของเมิ่งฮ่าวจ้องไป พวกมันก็กระจายออกจากกัน ต่างคนต่างก็หนีไป คนละทิศคนละทาง
ด้วยใบหน้าอันเย็นชา เมิ่งฮ่าวยกมือขวาขึ้น ขยับเป็นรูปแบบสร้างเวทอาคม มีดสายลมขนาดใหญ่ปรากฎ ยาวประมาณสี่สิบห้าถึงหกสิบฉื่อ พุ่งออกไปพร้อมเสียงแหลมเล็ก ในเวลาเดียวกันนั้น เมิ่งฮ่าวก็ตบไปที่ถุงเก็บสมบัติ คันธนูสีดำก็ปรากฎขึ้นในมือ เขาง้างสาย และยิงลูกธนูไปยังอีกคนหนึ่ง
“แปดลมหายใจ” เมิ่งฮ่าวพูดเสียงเบาๆ เสียงระเบิดสองครั้งดังออกมา มีดสายลมกรีดผ่านผู้ฝึกตนระดับเก้า คนแรก แยกร่างของมันออกเป็นสองส่วน โลหิตและร่าง กระจายออกไปทุกที่
พร้อมกันนั้น ลูกธนูสีดำก็เจาะเข้าไปในศีรษะของผู้ฝึกตนอีกคน ทำให้เกิดการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง
แปดลมหายใจ, แปดสังหาร!
เมิ่งฮ่าว สีหน้าไร้ความรู้สึก มองทะลุผ่านเกราะป้องกันหิมะเหิน ออกไปยังผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณชั่วครู่ จากนั้นร่างก็กลายเป็นประกายลำแสง พุ่งหายลับตาไป
เขาเคลื่อนที่ต่อไป พยายามหลีกเลี่ยงผู้ฝึกตนอื่นๆ แต่พื้นที่ซึ่งถูกปกคลุมโดยเวทผนึก ไม่กว้างใหญ่มากนัก ด้วยการที่มีผู้ฝึกตนระดับแปด และเก้า ขั้นรวบรวมลมปราณอยู่มากมาย ทำให้พวกมันไม่ต้องใช้เวลานาน เพื่อค้นหาในทุกๆ ที่ และฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ ก็สามารถเหาะได้ จึงทำให้การค้นหาเร็วยิ่งขึ้น
เมิ่งฮ่าวพยายามหลบเลี่ยงการตรวจจับ จนในที่สุด เขาก็มาถึงสำนักเอกะเทวะ จากนั้นลำแสงสิบลำ ก็ปรากฎขึ้นในท้องฟ้า พุ่งทะยานตรงมาด้วยความเร็วสูงสุด ผู้นำของคนกลุ่มนี้ เป็นชายชราสีหน้าดุร้าย ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่อยู่รายรอบ มันไม่ได้เหินร่อนมา แต่เหาะมาจริงๆ
ผู้ฝึกตนขั้นรวบรวมลมปราณ ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ ต้องเป็นผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ!
“สำนักฟางเยี่ย…(ราตรีเที่ยงธรรม)” เมื่อเห็นพวกมัน เมิ่งฮ่าวถอนหายใจออกมา ในที่สุดเขาก็ยอมรับว่า ไม่สามารถหลบหนีไปได้ในวันนี้ ถึงเขาจะพยายามหลบซ่อน แต่ในที่สุดก็จะถูกพบเจออยู่ดี
“เมิ่งฮ่าว!” เมื่อมองเห็นเขา ใบหน้าของศิษย์สำนักฟางเยี่ยก็บิดเบี้ยว ชายชราขั้นพื้นฐานลมปราณ พุ่งตรงมาที่เมิ่งฮ่าว ดวงตาของมันสาดประกายเจิดจ้า
ประกายตาของเมิ่งฮ่าวมืดสลัวลง เมื่อเขาเห็นผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณใกล้เข้ามา พลังอันมากมายมหาศาล ขั้นพื้นฐานลมปราณ แผ่กระจายออกมาจากชายชราผู้นั้น พลังอันไร้ขอบเขตนี้ ทำให้ผู้ฝึกตนขั้นรวบรวมลมปราณที่อยู่รอบๆ ต้องถอยหลังออกไป พลังฝึกตนของพวกมันโอนเอนไปมา
นี่เป็นพลังอำนาจของพื้นฐานลมปราณ มันเหาะผ่านอากาศเข้ามา จนดูเหมือนว่าไม่ต้องใช้พลังอะไรเลย แลดูสง่างามเป็นอย่างยิ่ง โดยไม่ต้องพยายามทำอันใด ก็ทำให้ผู้ฝึกตนขั้นรวบรวมลมปราณตัวสั่นสะท้านได้
แต่เมิ่งฮ่าวไม่ใช่ผู้ฝึกตน ขั้นรวบรวมลมปราณธรรมดาทั่วไป เป็นผู้ฝึกตนระดับสิบสาม ของวงจรอันยิ่งใหญ่ ขั้นรวบรวมลมปราณ ซึ่งไม่เคยปรากฎขึ้นมาก่อน ตั้งแต่ครั้งโบราณกาล เขามีจิตสัมผัส ถึงแม้ว่าจะไม่แข็งแกร่งมาก แต่มันก็มีอยู่ พลังฝึกตนของเขา ไม่ได้ปั่นป่วนวุ่นวายเหมือนกับคนอื่นๆ
ร่างกายภายนอกของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นมาก เส้นลมปราณก็หนามากขึ้น แม้แต่กระดูกทั่วร่างก็แข็งแรงขึ้น ถึงแม้จะเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณอันทรงพลัง เขาก็ไม่ยอมถอยแม้แต่ครึ่งก้าว
“ผู้ที่สร้างความวุ่นวายไปทั่วทั้งแคว้นจ้าว ก็คือผู้ฝึกตน ที่เหลืออีกครึ่งทาง ก็จะไปถึงขั้นพื้นฐานลมปราณเจ้าผู้นี้” ผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณพูดเสียงเย็นชา “วันนี้ ไม่ว่าอย่างไร, ถ้าข้าบอกว่าเจ้าสมควรตาย, เจ้าก็ต้องตาย”
จากนั้น ลำแสงอื่นก็ปรากฎขึ้นที่ด้านหลังของเมิ่งฮ่าว ส่งเสียงแหวกฝ่าอากาศพุ่งตรงเข้ามา ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเป็น ผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ แห่งสำนักเฟิงหาน (สายลมยะเยือก) รังสีสังหารกระจายออกมาจากร่างของมัน
“เมื่อข้าเดินไปบนวิถีทางแห่งการฝึกตน ข้าก็ทราบกฎแห่งชีวิตและความตายเป็นอย่างดี” เมิ่งฮ่าวพูดเสียงเย็นชา
“ข้าสังหารผู้อื่น, ผู้อื่นก็สังหารข้าได้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่ข้าขอถามสักคำ พวกท่านสามสำนัก ยอมให้ซ่างกวนซิวดูดกลืนพลังชีวิตของชาวบ้านทั้งสามเมือง ทำลายอายุขัยของชาวบ้านเหล่านั้น ผู้ซึ่งไม่เคยฝึกพลังแห่งเซียน ถ้ามันทำร้ายผู้ฝึกตนก็เป็นอีกเรื่อง แต่พวกท่าน, เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว กลับยอมให้เรื่องน่ากลัวเช่นนั้นเกิดขึ้น นี่เป็นการละเมิดกฎแห่งกรรม กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นตามสนอง!” เขาต้องการกล่าวคำพูดเช่นนี้ มานานมากแล้ว
“กฎแห่งกรรม? ทั่วทั้งสวรรค์ชั้นฟ้า และพื้นปฐพี มีแต่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้น ถึงจะสร้างกฎขึ้นมาได้ และถ้ากรรมใดใครก่อ กรรมนั้นตามสนอง เจ้าก็กำลังจะได้รับผลกรรมที่เจ้าทำไว้แล้ว เจ้าจะว่าอย่างไร?”
เมิ่งฮ่าวไม่พูด แต่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า