ศิษย์พี่หญิงฉื่อ เป็นที่รู้จักกันดีในสำนักเอกะเทวะ ในความเป็นจริง สามารถกล่าวได้ว่าทุกคนรู้จักนาง เนื่องจากในตอนนี้ สำนักเอกะเทวะมีศิษย์สายในเพียงสองคนเท่านั้น
นอกจากศิษย์พี่หญิงฉื่อ ศิษย์สายในอีกคนก็คือบุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายซ่างกวนซิว
หลังจากที่ศิษย์พี่หญิงฉื่อให้เมิ่งฮ๋าวยืมใช้ถ้ำแห่งเซียน ทุกคนในพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสก็ได้แต่ยืนมองเมิ่งฮ่าวเดินจากไปพร้อมหินลมปราณ และยาเม็ดเพิ่มลมปราณ ด้วยความเกรงกลัวต่อศิษย์พี่หญิงฉื่อ
ชั่วเวลาธูปไหม้หมดไปสามดอก เมิ่งฮ่าวเดินโดยไม่หยุดพัก เขาไม่ได้กลับไปที่ห้องในพื้นที่ของศิษย์สำนักสายนอก แต่เดินตามแผ่นหยกขาว ที่ศิษย์พี่หญิงฉื่อให้มา ตรงไปที่ภูเขาทิศใต้ ถ้ำแห่งเซียนอยู่ตรงตีนเขา
นอกถ้ำ มีก้อนหินใหญ่สองก้อนซ้อนกันเป็นหอสูง ถัดไปเป็นทางขึ้นเขา ปากถ้ำปกคลุมด้วยต้นไม้และเถาวัลย์ มีแต่สีเขียวเต็มไปหมด ดูเหมือนจะเป็นสถานที่พิเศษ ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับบ้านสองหลังของเมิ่งฮ๋าวก่อนหน้านี้
บริเวณรอบๆ ให้ความรู้สึกสงบและเย็นฉ่ำ ไม่ไกลออกไป มีธารน้ำจากภูเขาไหลลงมา สายลมพัดพาอากาศบริสุทธิ์ และความหนาวเย็นลงมา
เมิ่งฮ่าวยืนตรงหน้าทางเข้าของถ้ำแห่งเซียน มองทุกสิ่งรอบๆ ทำให้เข้าใจได้ว่าถ้ำแห่งนี้ล้ำค่ามากเพียงใด เมื่อเทียบกับบ้านหลังอื่นๆ มิน่า ศิษย์สำนักสายนอกทุกคนถึงได้อิจฉาตาร้อนเมื่อศิษย์พี่หญิงฉื่อให้เขายืมใช้
“ที่นี่เป็นสถานที่สำหรับเซียนโดยแท้” เมิ่งฮ่าวกล่าว เขาโบกมือขวา แผ่นหยกสีขาวก็ลอยตรงไปที่หน้าประตูหินสีเขียวของถ้ำ ตบไปที่ผิวประตูหิน ก็เกิดเสียงครืนดังในอากาศ เหมือนประตูกำลังเปิดช้าๆ
ด้านในถ้ำไม่ได้ใหญ่มาก มีแค่สองห้อง ห้องหนึ่งสำหรับฝึกรวบรวมลมปราณ อีกห้องถูกปิดด้วยประตูหิน เมิ่งฮ่าวเดินเข้าไป ประตูหินสีเขียวก็เลื่อนปิดลงช้าๆ เมื่อปิดสนิทแผ่นหยกขาว ก็ลอยลงไปในมือเมิ่งฮ่าว ครั้นแล้ว แสงเรืองอ่อนก็เริ่มส่องประกายจากก้อนหินขรุขระที่อยู่บนเพดาน
ยิ่งเมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งพอใจมากขึ้นเท่านั้น ในที่สุด ก็จ้องมองไปที่ประตูหินอีกห้องที่ปิดอยู่ นำแผ่นหยกขาวไปแปะติด และแล้วประตูหินก็ค่อยๆ เลื่อนเปิดออกช้าๆ ทันใดนั้น กลิ่นเข้มข้นของพลังลมปราณก็โชยออกมา เมิ่งฮ่าวมองเข้าไปด้วยสายตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ
“ถ้ำแห่งเซียนของศิษย์พี่หญิงฉื่อ นี่..ของขวัญชิ้นนี้มีค่ามหาศาลนัก” ผ่านไปสักพักกว่าที่เขาจะตั้งสติได้ เขามองด้วยความมึนงงเข้าไปในห้อง มีบางอย่างที่คล้ายตาน้ำ แต่ที่ผุดออกมาเป็นพลังลมปราณที่เข้มข้น มีหลายสีและเรืองแสงเมื่อมันพุ่งขึ้นไปในอากาศ
ไม่มีใครรู้ว่านานเท่าไหร่ที่มันสะสมอยู่ในห้องนี้ เมื่อประตูหินเปิดออก มันก็พุ่งกระจายออกมา จนจมูกเขาสัมผัสถึงกลิ่นหอม และรู้สึกหวานที่ปลายลิ้น รับรู้ได้ถึงพลังของลมปราณตามธรรมชาติ
“มันคงเป็นน้ำพุลมปราณ” เมิ่งฮ่าวพึมพำ มันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่จากที่ได้อ่านในตำรารวบรวมลมปราณ น้ำพุในโลกนี้บางแห่งก็เป็น น้ำพุลมปราณที่ไม่มีน้ำ แต่เต็มไปด้วยพลังลมปราณที่พวยพุ่งออกมา มีไม่มากนัก และส่วนใหญ่ก็ถูกครอบครองโดยผู้ฝึกตน นึกดูแล้วช่างเป็นของวิเศษยิ่งนัก
น้ำพุลมปราณในห้องค่อนข้างเล็ก พลังลมปราณที่กระจายออกมา ก็หนาแน่นกว่าด้านนอกเล็กน้อย ไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับคนที่มี ระดับการรวบรวมลมปราณขั้นสามขึ้นไป ซึ่งต้องการพลังลมปราณมากกว่านี้ มันมีประโยชน์แค่พอประมาณ
ถึงจะเป็นเช่นนั้น สำหรับเมิ่งฮ่าวแล้ว นี่เป็นของขวัญที่ประเมินค่ามิได้ ถึงกับมากกว่ายาเม็ดลมปราณเกาะซะอีก ด้วยการค้นพบนี้ ทำให้เมิ่งฮ่าวดีใจแทบคลุ้มคลั่ง
โดยไม่ต้องเสียเวลาคิด เขานั่งขัดสมาธิ ปิดตาลงและเริ่มปรับลมหายใจ ผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม ความเข้มข้นของพลังลมปราณที่สะสมมานานก็จางหายไป เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้น สองตาเป็นประกายเรืองรอง
“แค่ไม่กี่ชั่วยามของการนั่งสมาธิที่นี่ ก็ดียิ่งกว่าการฝึกเป็นเดือนที่เบื้องนอก พลังลมปราณธรรมชาติของที่นี่ต้องใช้เวลาในการรวบรวมขึ้นมา และอาจบางทีจะไม่หนาแน่นเหมือนเดิม ยังไงก็ตามการฝึกตนในนี้ ก็ได้ผลเร็วขึ้นกว่าการฝึกด้านนอกมากนัก” เมิ่งฮ่าวถอนหายใจ มองไปรอบๆ เขาสังเกตเห็นผนังถ้ำมีรอยเครื่องหมายแปลกๆ ที่ดูแล้วไม่เข้าใจ
“น้ำพุลมปราณ สามารถรวบรวมพลังลมปราณได้มาก อาจจะเป็นเพราะเครื่องหมายพวกนี้ ศิษย์พี่หญิงฉื่อคงต้องใช้วิธีนี้ในการสร้างพลัง จากนั้นก็ใช้มันเพิ่มพลังลมปราณให้ตัวเองในเวลาสั้นๆ” เมิ่งฮ่าวคิดอีกสักพัก จากนั้นก็เริ่มมีแรงบันดาลใจ เขานั่งลงขัดสมาธิอีกครั้ง และเริ่มฝึกลมหายใจต่อไป
ราตรีผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อดวงตะวันเริ่มทอแสงในเช้าวันรุ่งขึ้น เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้น พลังลมปราณธรรมชาติในห้องศิลาบางเบาลงมาก แต่น้ำพุลมปราณยังคงอยู่ที่นั่น หลังจากเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง แน่นอนว่ามันจะสร้างพลังลมปราณได้อีกครั้ง
เมิ่งฮ่าวใช้เวลาครู่หนึ่งตรวจสอบระดับการฝึกตนของตัวเอง ดูเหมือนว่าเขามีความก้าวหน้าเกือบสองเดือนเต็ม
“ถ้าเราได้ฝึกแบบนี้อีกระยะหนึ่ง เราคงสามารถก้าวข้ามขั้นหนึ่งของการรวบรวมลมปราณ และเข้าไปสู่ขั้นสองในไม่ช้า!” เขาสูดลมหายใจแรงด้วยความตื่นเต้น เขาต้องการก้าวข้ามขั้นหนึ่งเป็นอย่างมาก เนื่องจากเมื่อถึงขั้นสองของการรวบรวมลมปราณแล้ว ก็สามารถฝึกวิชาเซียนขั้นแรกในตำรารวบรวมลมปราณได้
เมื่อคิดไปถึงวิชาเซียน เมิ่งฮ่าวก็ออกจากห้องศิลา ปิดประตูหินเขียวเหมือนกับว่ามันเป็นอัญมณีหรือสิ่งของมีค่า เขาตั้งใจที่จะใช้วิธีของศิษย์พี่หญิง ในการฝึกตนเอง ไม่ต้องนั่งเฝ้าที่น้ำพุลมปราณ เพียงแค่รอให้เวลาผ่านไป จากนั้นก็กลับมาเพื่อรวบรวมพลังลมปราณจากน้ำพุอีกครั้ง
เมิ่งฮ่าวลูบท้องตัวเอง คิดว่าผ่านไปหนึ่งวันเต็มๆ ที่เขาไม่มีอะไรลงท้องเลย ไม่ว่าเนื้อสัตว์ป่า หรือแม้แต่ผลไม้ป่า
หลังจากการกลายเป็นศิษย์สำนักสายนอก เขาก็กินไม่ได้มากเหมือนกับตอนเป็นข้ารับใช้ ตราบที่มีหินลมปราณเพียงพอ ก็สามารถนำมันไปที่ร้านขายยาของสำนัก เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นยาเม็ดอดอาหาร หรือยาเม็ดควบคุมความอยากอาหาร ซึ่งกล่าวกันว่า แค่หนึ่งเม็ดก็ป้องกันความหิวได้เป็นวัน ถ้าไม่มียาเม็ดนี้ คนเราก็ต้องเสียเวลาในการหาอาหาร
หลังจากครุ่นคิดได้สักพัก เมิ่งฮ่าวก็สัมผัสได้ถึงสายลมที่พัดผ่านเขาไปรอบๆ ราวป่า ขณะที่เดินไป เขาก็ดึงกระจกทองแดง ออกมาจากถุงเก็บสมบัติตามความเคยชิน
ในตอนนี้ เขาคิดว่าเขาคงถูกหลอกโดยบุรุษที่ดูแลหอเก็บของวิเศษเป็นแน่ กระจกบานนี้ไม่มีอะไรพิเศษทั้งสิ้น จากการศึกษาค้นคว้ามากกว่าครึ่งเดือน เขาไม่เห็นความลับอะไรที่เกี่ยวกับมันแม้แต่น้อย
“น่าเศร้าจริง ในถุงเก็บสมบัติก็มีหินลมปราณแค่ครึ่งก้อน คงต้องใช้มันเป็นสินบน ตอนนำกระจกบานนี้ไปแลกเปลี่ยน” เขาล้วงมือเข้าไปในถุง หยิบหินลมปราณออกมา รู้สึกจิตใจหดหู่
ทันใดนั้นเขาก็ยืนตัวแข็งทื่อ เงยหน้าขึ้นเมื่อสังเกตเห็นประกายแสงในป่าที่อยู่ห่างไกลออกไป มันเคลื่อนไหวไม่เร็วมากนัก เมิ่งฮ่าวตาทอประกาย จากประสบการณ์จับไก่ป่าในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขามั่นใจได้ว่าแสงนั่นคืออะไร ไก่ป่านั่นเอง
ไม่มีเวลาเก็บกระจกทองแดง และหินลมปราณกลับลงไปในถุงเก็บสมบัติ เขาซุกมันไว้ในอกเสื้อ และรีบตามไป เมื่อโคจรพลังลมปราณในร่าง เมิ่งฮ่าวก็ตระหนักว่าความเร็วได้เพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนหน้านี้มาก แม้จะยังคงมีบางส่วนที่อ่อนแอ แต่ขณะนี้เขาก็สามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้เต็มที่
โดยเฉพาะในตอนนี้ หลังจากที่ฝึกได้ขั้นแรกของการรวบรวมลมปราณ เขาใช้พลังลมปราณขับเคลื่อนให้กระโดดไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาหายใจเข้าออกสิบครั้ง เขาก็สามารถฉกฉวยเจ้าไก่ป่าที่ตื่นตระหนกไว้ได้ เขาจับปีกสองข้างของมันไว้ ทำให้มันไม่สามารถขยับตัวได้อีก
“ตอนนี้เจ้าอ้วนเพื่อนเก่ากำลังทำอะไรอยู่นะ” เขากล่าว คิดถึงเจ้าอ้วนเมื่อเขายกไก่ขึ้นมา บางทีเขาควรจะไปหามันและนั่งกินไก่ด้วยกัน เมื่อเขาหันหลังกลับ ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงบางอย่างในอกเสื้อกำลังร้อนขึ้น
หลังจากนั้น ไก่ในมือที่นิ่งเงียบอยู่ ก็เริ่มดิ้นรนอย่างรุนแรงและส่งเสียงร้องอย่างทุรนทุราย มันดิ้นด้วยกำลังทั้งหมดที่มีจนเมิ่งฮ่าวเกือบจะปล่อยให้หลุดมือไป
เจ้าไก่ป่าพยายามดิ้นรนอย่างดุเดือด พร้อมกับส่งเสียงร้องโหยหวน จากนั้น ก็มีเสียงปะทุดังขึ้นจากก้นของมัน แล้วก็ระเบิดจนโลหิตและชิ้นเนื้อ ปลิวว่อนกระจายไปทั่วทุกทิศทาง
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน จนเมิ่งฮ่าวต้องยืนอ้าปากค้าง ตั้งแต่ที่จับไก่ป่าบนภูเขาหลายตัว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ เขามองไปที่ซากไก่หลังเกิดการระเบิดด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็มองไปรอบๆ ทุกอย่างก็ยังคงเงียบเหมือนเดิม ไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหวแม้แต่เงา
“เกิดอะไรขึ้น?” เมิ่งฮ่าวรู้สึกหนาวสั่น การตายของเจ้าไก่ป่าค่อนข้างน่าอนาถใจ มันต้องพบเจอความเจ็บปวดอย่างเหลือเชื่อ เมื่อก้นมันระเบิดออก
เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจลึกๆ ระงับความรู้สึกกังวลในใจ การตายของเจ้าไก่ป่า ทั้งแปลกประหลาดและน่ากลัวมาก เขารู้สึกเหมือนกับว่าลมหนาวได้พัดมาที่ด้านหลังของตัวเขา
“มีบางสิ่งผิดปกติ” เมิ่งฮ่าวเอ่ย เขาโยนซากไก่ตายทิ้งไป จากนั้นก็ดึงกระจกทองแดงและหินลมปราณออกมา จำได้ว่าก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์แปลกๆ กับเจ้าไก่ป่า ของบางสิ่งในอกเสื้อเขาเริ่มร้อนขึ้น
“หรือว่าจะเป็นหินลมปราณ…” จากนั้นก็มองไปที่กระจกทองแดง หัวใจก็เริ่มเต้นเร็วขึ้น และสายตาก็เต็มไปด้วยแสงที่ลุกโชนขึ้น
“อย่าบอกนะว่า…” มือที่ถือกระจกเริ่มสั่น เขาไม่มีเวลาที่จะไปนั่งกินอาหารกับเจ้าอ้วนอีกแล้ว ถือกระจกในมือ แล้วก็วิ่งไปในป่าเท่าที่จะเร็วได้ พยายามมองหาสัตว์ป่าตัวอื่นๆ เขาต้องรู้ให้ได้ว่าการตายของเจ้าไก่ตัวนั้น เป็นเพราะกระจกบานนี้จริงๆ
เขาไม่ต้องวิ่งไปไกล ก็เจอกวางป่าตัวหนึ่งปรากฎอยู่ตรงหน้า มันยืนมองเขาด้วยความโง่งมและความโกรธ เมิ่งฮ่าวก็ส่งกระจกไปที่มันในทันที
กวางป่าเริ่มกระโดดที่จะหลบหนี ส่งเสียงร้องออกมา เหมือนกับเจ็บปวดในใจที่ยากจะอธิบาย ใครก็ตามที่ได้ยินก็คงจะคิดได้แต่เพียงว่าช่างน่าสงสารยิ่งนัก เมิ่งฮ่าวมองเห็นได้ชัดเจนจากด้านข้างเมื่อมันกระโดดขึ้นไปในอากาศ ก่อนที่มันจะลงสู่พื้น ก้นของมันก็มีเสียงปังและระเบิดออกมา ร่างมันกระตุกเมื่อตกลงมา
มองไปที่ซากกวาง จากนั้นก็มองกลับมาที่กระจก ใบหน้าเมิ่งฮ่าวเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่คาดไม่ถึง “ของวิเศษ! อาวุธวิเศษจริงๆ!”
“มันแปลกมาก อาวุธที่ระเบิดก้นของสัตว์ป่า…” ถึงแม้ว่าเขายังไม่เข้าใจมันอย่างแท้จริง เขาก็ยังตื่นเต้นมาก ไม่ต้องคำนึงถึงเหตุใดของวิเศษถึงทำแบบนี้ หัวใจเขาก็คันยิก ตัดสินใจที่จะไปทดลองกับสัตว์อื่นๆ อีก