ริมฝีปากของซ่างกวนซิวบิดเบี้ยวด้วยรอยยิ้มที่ดูเคร่งเครียด ยืนอยู่ที่เขตเพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสใต้เวทีประลอง มันไม่ได้สนใจเท่าไรนักว่าเมิ่งฮ่าวจะมีชีวิตอยู่หรือตายไป มันเพียงต้องการของวิเศษในถุงเก็บสมบัติของเมิ่งฮ่าวเท่านั้น
หลังจากที่เมิ่งฮ่าวได้ลงสมัครเพื่อคัดเลือกเป็นศิษย์สายใน มันก็ได้ไปหาโจวข่าย และหยิ่นเทียนหลงเพื่อสอบถามถึงเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในภูเขาสีดำ ทั้งสองบอกให้มันรู้ว่าเมิ่งฮ่าวได้กระตุ้นสัตว์อสูรจำนวนมากมายด้วยสิ่งที่อาจจะเป็นเวทอสูร
ซ่างกวนซิวได้บอกทั้งสองว่ามันไม่ใช่เวทอสูร แต่เป็นอาวุธเวทมากกว่า
เมิ่งฮ่าวหรี่ตาลง มองไปที่วิญญาณแห่งสายหมอกสองสีที่กำลังใกล้เข้ามา จากนั้นก็ตบไปที่ถุงเก็บสมบัติ และโบกสะบัดชายแขนเสื้อ กระแสรังสีของกระบี่บินก็พุ่งออกมาจากถุงเก็บสมบัติ
เพียงแค่กะพริบตา กระบี่บินยี่สิบเล่มก็ปรากฎขึ้น ลอยอยู่เต็มกลางอากาศ ดูน่าตกใจมิใช่น้อย จากนั้นก็พุ่งตรงไปที่วิญญาณแห่งสายหมอกสองสี
รูปลักษณ์ภายนอกของกระบี่บินส่วนใหญ่อยู่ในสภาพที่แย่ หรือไม่ก็มีสีสันลายพร้อย
เมื่อได้เห็นเช่นนี้ ศิษย์สายนอกที่มุงดูอยู่รอบๆ ก็อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ แต่ก่อนที่พวกมันจะได้เริ่มสนทนาเรื่องนี้ด้วยกัน มีดสายลมก็พุ่งไปถึงวิญญาณแห่งสายหมอก และเสียงระเบิดก็ดังกึกก้อง
วิญญาณแห่งสายหมอกสั่นไปมา จากนั้นกระบี่บินก็พุ่งมาถึง และเสียงร้องที่น่าอนาถใจสองเสียงก็ดังขึ้น วิญญาณแห่งสายหมอกสองสีเป็นอาวุธเวทที่พิเศษก็จริง แต่กระบี่บินก็มีมากมายยิ่งนัก
วิญญาณแห่งสายหมอกถูกกรีดขาดกลายเป็นชิ้นๆ และกระบี่บินก็ยังคงพุ่งไปพร้อมกันที่แผ่นป้ายห้าสี เกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง และแผ่นป้ายก็แตกหักพร้อมไปกับกระบี่บินจำนวนครึ่งหนึ่ง หานจงมองดูด้วยความงงงัน เมิ่งฮ่าวตบไปที่ถุงเก็บสมบัติอีกครั้ง หยิบแกนอสูรออกมากลืนลงไป พร้อมกับกระบี่บินอีกสิบเล่มปรากฎขึ้นพุ่งตรงไป
หานจงไม่เคยคิดมาก่อนว่าเมิ่งฮ่าวจะมีกระบี่บินมากมายเพียงนี้ มันถอยไปด้านหลัง โบกสะบัดแขนขวา แสงสว่างวาบขึ้น เกราะป้องกันสองชั้นก็ปรากฎอยู่รายรอบตัวมัน แต่มันก็ยังคงมีความกังวลใจ ขนทั่วร่างของมันลุกชี้ชัน และรู้สึกผิวหนังชาด้าน
มันรู้ดีว่าเป็นหรือตายขึ้นอยู่กับเสี้ยวเวลานี้ มันขยับแขนขวาขึ้นอีกครั้ง และจี้หยกก็ปรากฎขึ้นมาอยู่ตรงหน้าของมัน เพิ่มเกราะป้องกันอีกหนึ่งขั้นอยู่รอบตัวมัน เมื่อมีเกราะป้องกันสามชั้น มันก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
จากนั้น พิรุณกระบี่ก็ตกลงมา รังสีของกระบี่บินสาดประกายเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุด กระแทกเข้าไปที่เกราะป้องกันชั้นแรกครั้งแล้วครั้งเล่า และเกราะป้องกันชั้นแรกก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ เกือบจะในทันที แวบเดียวหลังจากนั้น เกราะป้องกันชั้นที่สองก็แหลกสลายกลายเป็นชิ้นๆ ไม่สามารถที่จะต้านทานพิรุณกระบี่ไว้ได้
“มันมีกระบี่บินมากมายปานนั้นได้อย่างไร!?” แก้วตาหานจงหดเล็กลง และมันเริ่มขวัญหนีดีฝ่อ กระโดดถอยออกไปไกล
เพียงกะพริบตาแค่หนึ่ง เกราะป้องกันชั้นที่สามก็หายไป และจี้หยกก็แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่สามารถที่จะต้านทานฝูงของกระบี่บินได้ และจากนั้นพิรุณกระบี่ก็ตกลงใส่หานจง จนมันต้องแผดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด กระบี่เล่มแล้วเล่มเล่าแทงเข้าไปในตัวมัน
ฝูงกระบี่ยกร่างของมันขึ้นไปในท้องฟ้า จากนั้นก็ปล่อยลงมาให้กระแทกไปบนพื้นของเวทีประลอง ร่างของหานจงกระตุกเล็กน้อย จากนั้นก็ปล่อยลมหายใจเฮือกสุดท้ายออกมา กระบี่ติดอยู่บนร่างของมันเต็มไปหมดจนดูคล้ายตัวเม่น ทุกคนที่อยู่รอบๆ เวที อยู่ในอาการปากอ้าตาค้าง สีหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดใจ
“มัน…มัน…มันมีกระบี่บินมากมายขนาดนั้นได้ยังไง!?”
“กระบี่บินมากมายยิ่งนัก ไม่ประหลาดใจเลยที่มันเป็นเจ้าของร้าน ไม่กี่วันก่อนข้าเห็นมันขายกระบี่ไปอย่างน้อยก็สิบเล่ม มันไม่ได้ขายเพียงแค่เม็ดยาเท่านั้น เร็วๆ นี้ มันยังได้ขายอาวุธเวทอีกด้วย”
“เมิ่งฮ่าวคงมีบุญวาสนาที่ดีไม่น้อย พลังการฝึกตนของมัน ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ บางทีมันอาจจะไปเจอของวิเศษ ในตอนที่ไปผจญภัยอยู่ในป่าก็เป็นได้” เสียงพูดจาดังกระหึ่มไปในอากาศ เมื่อซ่างกวนซิวได้ยิน คิ้วก็ขมวดเป็นรอยลึกและใบหน้าของมันก็หมองคล้ำลง
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่บนเวทีประลองด้วยสีหน้าซีดขาว เขายังคงมีพลังลมปราณหลงเหลืออยู่บางส่วน การโจมตีของเขา โดยเฉพาะช่วงท้ายสุดที่ใช้กระบี่บินไปยี่สิบเล่ม ทำให้เขาต้องสูญเสียพลังลมปราณหมดไปอย่างรวดเร็ว เขาอยู่แค่ระดับขั้นหกของการรวบรวมลมปราณ
โชคยังดีที่เขาได้กินแกนอสูรลงไประหว่างการต่อสู้ ช่วยให้เขาสร้างพลังลมปราณขึ้นมาใหม่ได้ในเวลาอันสั้น ทำให้การโจมตีของเขามีผลดีมากยิ่งขึ้น เมิ่งฮ่าวได้คิดสร้างวิธีการต่อสู้ด้วยตัวของเขาเอง และมีความคุ้นเคยกับวิธีการนี้เป็นอย่างดีจากการที่ได้ฝึกฝนอยู่เป็นประจำ
เขาโบกมือขวา กระบี่ทั้งหมดก็ลอยออกมาจากซากศพของหานจงและพุ่งกลับมาที่เขา โลหิตหยดลงพื้นเวทีประลองตลอดทาง ฝูงกระบี่หมุนวนไปรอบร่างของเมิ่งฮ่าวก่อนที่จะกลับเข้าไปในถุงเก็บสมบัติ
เขาลงมาจากเวทีประลองและไปนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกายเจ้าอ้วน เขาหยิบแกนอสูรใส่เข้าไปในปาก และรับรู้ถึงการละลายของมัน เขาไม่สนใจถ้ามีใครเห็นเขากินมันเข้าไปมากมาย ตราบเท่าที่พวกมันได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนภูเขาสีดำ เขาควรสามารถที่จะมีแกนอสูรได้มากมาย
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีการต่อสู้อื่นที่ต้องกังวลอีก ความอัปยศที่เขาได้กล้ำกลืนไว้ ภายใต้การโจมตีจากสี่ดรรชนีของหวังเถิงเฟย ต้องได้รับการตอบแทนในวันนี้อย่างสาสม เขาได้เฝ้ารอคอยสำหรับวันนี้มาเป็นเวลานาน
ผู้อาวุโสโอวหยางมองไปที่เมิ่งฮ่าว สายตาเต็มไปด้วยความนิยมชมชอบอย่างเห็นได้ชัด การยอมรับในตัวเมิ่งฮ่าวของท่านนั้น ได้เริ่มมาจากวันแจกเม็ดยาของสำนักนั่นเอง เมื่อเห็นว่าเมิ่งฮ่าวกำลังก้าวหน้าขึ้น สีหน้าของท่านก็ส่องประกายแห่งความพึงพอใจออกมา
ผู้อาวุโสโอวหยางไม่สนใจว่าอะไรที่ทำให้เมิ่งฮ่าวมีบุญวาสนาที่ดี ด้วยการเป็นผู้ฝึกตน บุญวาสนาที่ดีมาจากการกำหนดของโชคชะตาเท่านั้น ท่านรู้สึกชอบบุคคลที่มีบุญวาสนาที่ดีโดยเฉพาะ รอยยิ้มของท่านเต็มไปด้วยความเมตตา แต่ลึกๆ ในใจของท่านให้รู้สึกเสียใจและกังวลใจ
“โดยการไม่คำนึงถึงว่าใครจะเป็นหรือตาย ในการต่อสู้ของการคัดเลือกศิษย์สายใน พรสวรรค์ของหวังเถิงเฟย เป็นสิ่งที่ยากจะพบเห็นในรอบร้อยปีมานี้ พลังการฝึกตนของมันก็ไม่ธรรมดาในระดับอายุเท่านี้ ถ้ามันก้าวไปถึงระดับพื้นฐานลมปราณที่สมบูรณ์ มันก็จะเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อันหาได้ยาก แม้จะอยู่ในช่วงวันเวลาแห่งความรุ่งเรืองของสำนักก็ตาม เมิ่งฮ่าวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันอย่างแน่นอน…”
ซ่างกวนซิวยืนอยู่ที่นั่นท่ามกลางฝูงชนด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดมากยิ่งขึ้น มันหรี่ดวงตาลง
มันคิดไม่ถึงว่าเมิ่งฮ่าวจะสามารถกำจัดหานจงได้ โดยเฉพาะตั้งแต่ที่มันให้อาวุธเวทที่ทรงพลังแก่หานจง ความแข็งแกร่งของวิญญาณแห่งสายหมอก ที่ถูกเรียกออกมาจากแผ่นป้ายห้าสี ควรที่จะมีความสามารถทำลายเมิ่งฮ่าวได้อย่างไม่มีปัญหา
และเมื่อกระบี่บินสิบสองเล่มของเมิ่งฮ่าว ได้กรีดวิญญาณแห่งสายหมอกออกเป็นชิ้นๆ แม้แต่ซ่างกวนซิวก็ยังตกใจที่ได้เห็นกระบี่บินมากมายขนาดนั้น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นกระบี่บินที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับต่ำ แต่มันยังคงมีความคม แม้แต่เหล็กก็คงกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หากเจอกับกระบี่บินที่มีจำนวนมากมาย ซึ่งสร้างความตกใจและประหลาดใจให้แก่ผู้ที่พบเห็นได้ทุกคน
ในเวลาเดียวกันนั้น ไกลออกไปบนภูเขาทิศตะวันออก ยืนไว้ด้วยบุรุษวัยกลางคน อายุประมาณสี่สิบปี สวมใส่ชุดยาวสีดำ และมองดูเหมือนนักศึกษา เมื่อมันได้เห็นการต่อสู้ในพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสเขตสำนักสายนอก สายตาของมันก็เต็มไปด้วยประกายของความแปลกใจ และเริ่มที่จะมุ่งความสนใจไปที่เมิ่งฮ่าว
“เด็กผู้นี้…ไม่ควรค่าแก่การเฝ้าดูมาก่อน พรสวรรค์ของมันก็ไม่มีอะไรที่พิเศษ แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีบุญวาสนาที่ดีอย่างเหลือเชื่อ” บุรุษผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากผู้ที่มีพลังอันแข็งแกร่งอย่างน่ามหัศจรรย์ เจ้าสำนัก เฮ่อหลัวฮว่า ผู้ซึ่งมีระดับการฝึกตนอยู่ที่ขั้นการสร้างแกนลมปราณ
“ถ้ามันไม่ได้สู้กับหวังเถิงเฟย เด็กผู้นี้ก็อาจจะได้เข้าร่วมกับสำนักสายใน แต่เมื่อเป็นหวังเถิงเฟย…มันเป็นเรื่องที่ยากมาก”
เฮ่อหลัวฮว่า มองดูเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาแห่งความเมตตา สำหรับการเป็นผู้ฝึกตนในระดับการสร้างแกนลมปราณ และเจ้าสำนักเอกะเทวะ เขาไม่ได้สนใจไปที่ความบิดเบี้ยวของโชคชะตา และบุญวาสนา ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางศิษย์ ผู้ซึ่งยังคงฝึกอยู่ในระดับการรวบรวมลมปราณมากนัก ทุกสิ่งจะดำเนินไปตามธรรมชาติของมันเอง
ถ้าศิษย์ผู้นี้โชคดี เขาก็ยินดีด้วย แต่ด้วยการแสดงออกของหวังเถิงเฟย เฮ่อหลัวฮว่า ไม่คิดว่าเมิ่งฮ่าวจะมีโอกาสชนะมากสักเท่าไหร่
“เสียดายที่ตอนนี้มีกุญแจหยกเพียงแค่สามชิ้น…ตำแหน่งศิษย์สายในของหวังเถิงเฟย ได้ถูกกำหนดเป็นที่แน่นอนเมื่อนานมาแล้ว มิเช่นนั้น…” เฮ่อหลัวฮว่าส่ายศีรษะ พยายามตัดสินใจที่จะไม่ยื่นมือเข้าไปแทรกแซง ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะตายไปก็ตาม เขาถอนหายใจออกมายาว
เวลาเลื่อนผ่านไป ผู้อาวุโสโอวหยางมองจนมั่นใจได้ว่า พลังลมปราณของเมิ่งฮ่าวได้ฟี้นฟูกลับคืนมาอย่างช้าๆ แล้ว ท่านได้แสดงถึงความลำเอียงไปทางเมิ่งฮ่าวออกมาอย่างชัดเจน แต่ในกลุ่มคนที่มามุงดูไม่มีใครจะกล้าพูดอะไรออกไปแม้สักคนเดียว
สำหรับหวังเถิงเฟย มันไม่ได้สนใจใคร ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะมีความก้าวหน้าในพลังการฝึกตนอย่างน่าประหลาดใจ หวังเถิงเฟยก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มากนัก เนื่องจากการก้าวก่ายของอาวุโสโอวหยางในครั้งนั้น ในส่วนลึกของจิตใจหวังเถิงเฟย มันไม่ได้คิดหรือแม้แต่จะพิจารณาว่า เมิ่งฮ่าวอาจจะเป็นบุคคลที่เอาของวิเศษของมันไป มันมึความมั่นใจว่าผู้ที่เอาไป ต้องเป็นแสงสลัวเลือนลางที่มันเห็นเป็นจุดสุดท้าย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หัวใจของหวังเถิงเฟยก็เต้นด้วยความเจ็บปวด และมันก็เกือบจะร้องไห้จนน้ำตากลายเป็นสายเลือด ณ ขณะนี้ ทายาทมังกรก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับมันอีก มันไม่สามารถรู้สึกได้แม้แต่สายใยบางๆ มันเป็นคนนอกที่อยู่ห่างไกล ถึงแม้ว่าบุคคลที่แย่งชิงไปผู้นั้น ได้มายืนอยู่ตรงหน้ามัน มันก็ไม่มีทางรับรู้ได้
“ทายาทมังกรไม่ได้เป็นของข้าอีกต่อไป แต่ของวิเศษชิ้นนั้น…” หวังเถิงเฟยกำหมัดแน่น มันเพียงแค่ได้เห็นกระบี่เล่มนั้นจากที่ห่างไกลเพียงแค่แวบเดียว นอกเหนือจากนั้น มันเพียงแค่เคยอ่านเกี่ยวกับกระบี่เล่มนั้นจากในสมุดบันทึกโบราณเท่านั้น
มันไม่ทราบแม้แต่ว่ากระบี่เล่มนั้นทำอะไรได้บ้าง มันรู้แต่เพียงว่าบันทึกโบราณได้เน้นย้ำอย่างชัดเจนว่า กระบี่เล่มนั้นเป็นหนึ่งในอาวุธเวท ที่มีพลังวิญญาณที่สามารถล้มล้างได้ทุกสิ่งทั้งบนสวรรค์และพื้นดิน
มันได้วางแผนที่จะศึกษาค้นคว้า อย่างละเอียดถี่ถ้วนหลังจากที่ได้กระบี่เล่มนั้นมา แต่ตอนนี้…ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ความเพ้อฝัน
หวังเถิงเฟยปิดตาลง และสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ดูอ่อนโยนและสุภาพเหมือนเช่นเคย ราวกับว่ามันไม่ได้สนใจต่อสิ่งใดๆ ในโลกนี้
“ข้าคือหวังเถิงเฟย ถึงแม้ว่าทายาทมังกรและของวิเศษจะถูกขโมยไป ตำแหน่งศิษย์สายในของสำนักเอกะเทวะก็ยังคงเป็นของข้า มันเป็นเป้าหมายหลักอันที่สองของข้า แม้ว่าจะไม่มีทั้งของวิเศษและทายาทมังกร ข้าก็จะเป็นศิษย์สายในของสำนักเอกะเทวะที่น่าชิงชังอย่างแน่นอน นี่เป็นโชคชะตาของข้า!”
“พ่ายแพ้แค่ครั้งเดียว จะเป็นอะไรไป! ข้าคือหวังเถิงเฟย!” ดูจากภายนอก มันดูสงบและเยือกเย็น ดังนั้นมันจึงได้บังคับตัวเอง ให้มีความเยือกเย็นอยู่ภายในจิตใจของมันด้วย เพื่อที่จะกลบเกลื่อนความพ่ายแพ้ที่อยู่ลึกๆ ข้างใน
มันหยิ่งผยอง เพราะมันคือหวังเถิงเฟย ผู้ไร้ที่ติ, ผู้ที่ได้รับการประสาทพรจากทวยเทพ และผู้ถูกเลือก
มันไม่แยแสสนใจ เพราะมันรู้ว่าการคัดเลือกศิษย์สายในครั้งนี้ จัดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับมันโดยเฉพาะ และเป็นแค่การแสดงเท่านั้น เป็นการดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับกฎของสำนักเท่านั้น ตั้งแต่วันที่มันได้เข้ามาในสำนักเอกะเทวะแห่งนี้ มันคือผู้แตกต่าง มันได้เป็นศิษย์สายนอกจนนานพอพร้อมที่จะกลายเป็นศิษย์สายใน
มันเยือกเย็น เพราะมันไม่สนใจแม้แต่น้อยเกี่ยวกับสำนักเอกะเทวะ สำนักเล็กๆ เช่นนี้ ไร้ความหมายสำหรับมัน แม้เพียงคนในตระกูลของมันแค่คนเดียว ก็สามารถทำความเสียหายได้ทั้งสำนักนี้ ถ้ำไม่ใช่เพราะความยืนกรานของมัน ที่จะมาที่แคว้นจ้าวเล็กๆ แห่งนี้ มันไม่มีทางที่จะมาเหยียบที่นี่อย่างแน่นอน โดยไม่คำนึงถึงสถานะของมันในตระกูล มันก็สามารถกระเทือนสวรรค์ และสั่นพื้นดินได้ด้วยตัวเอง
ดังนั้นมันจึงหยิ่งผยอง ไม่แยแส และเยือกเย็น มันปล่อยให้เวลาผ่านไป ยินยอมให้บุคคลผู้นี้ ผู้ซึ่งมันจำชื่อไม่ได้ ฟื้นฟูพลังลมปราณต่อไป
เวลาผ่านไปชั่วธูปไหม้หมดไปหนึ่งดอก และทันใดนั้น เมิ่งฮ่าวก็ลืมตาขึ้น ส่องประกายด้วยความปรารถนาที่จะต่อสู้ เขาได้สังหารบุรุษร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในระดับขั้นห้าของการรวบรวมลมปราณ เขาได้ฆ่าหานจง เขาไม่เคยฆ่าคนมากมายภายในวันเดียวมาก่อน
แต่จิตใจของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความมุ่งหวัง เขาต้องจัดการให้หวังเถิงเฟยนอนแน่นิ่งอยู่แทบเท้า และจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาสม ที่ทำให้เขาต้องกล้ำกลืนความอัปยศในวันนั้น
โดยไร้ซึ่งคำพูด เมิ่งฮ่าวลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ