“รอบสุดท้ายของการคัดเลือก” ผู้อาวุโสโอวหยางกล่าวขึ้น มองไปที่เมิ่งฮ่าวอย่างให้กำลังใจ “เมิ่งฮ่าว และ หวังเถิงเฟย ผู้ชนะจะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นศิษย์สายใน”
ทุกคนจ้องมองไปที่เมิ่งฮ่าว ขณะที่เขากระโดดขึ้นไปบนเวทีประลอง หวังเถิงเฟยลืมตาขึ้น และเดินขึ้นไปอย่างช้าๆ เสียงพูดคุยก็ดังขึ้นท่ามกลางกลุ่มของศิษย์สายนอก
“เมิ่งฮ่าวช่างกล้าซะจริงๆ ที่จะขึ้นไปบนเวทีประลอง พลังการฝึกตนของมันก็ค่อนข้างดี และมันก็ยังได้ฆ่าหานจง แต่นี่เป็นศิษย์พี่หวังเชียวนะที่มันจะต่อสู้ด้วย มันช่างไม่รู้จักประเมินตนเอาซะเลย”
“ยังคงมีก้อนหินให้เหยียบอยู่เสมอ บนเส้นทางแห่งความแข็งแกร่ง มันก็เป็นแค่ก้อนกรวดเล็กๆ ที่ศิษย์พี่หวังได้เดินเหยียบผ่านไปสู่จุดสูงสุด”
“ข้ายังจำได้ตอนที่มันได้ขโมยอาวุธเวท ซึ่งศิษย์พี่หวังได้มอบเป็นของขวัญให้ใครบางคน เมื่อศิษย์พี่หวังเอาอาวุธเวทนั้นกลับไป มันก็เหมือนกับมดตัวหนึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าศิษย์พี่หวัง”
เสียงพูดคุยดังไปทั่วในบริเวณนั้น เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย มันไม่ใช่เป็นเพราะทุกๆ คน รู้สึกเกลียดเมิ่งฮ่าวเป็นอย่างมาก แต่เป็นเพราะในจิตใจของพวกมัน ศิษย์พี่หวังคือผู้ที่ไม่มีใครไปท้าทายได้
“ถ้ามันตายใต้เงื้อมมือของหวังเถิงเฟย คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาถุงเก็บสมบัติของมันมาได้” ซ่างกวนซิวคิดอยู่ในใจ คิ้วขมวด มองไปที่เมิ่งฮ่าว
แม้ว่าทุกคนในกลุ่มศิษย์สายนอกจะเยาะเย้ยเมิ่งฮ่าว ผลักเขาให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้น เสียงร้องแหลมสูง ที่ได้ยินอย่างชัดเจน ก็ดังออกมา
“สู้ เมิ่งฮ่าว! เจ้าต้องชนะ! ศิษย์สายในคนต่อไปต้องเป็นเมิ่งฮ่าวแน่นอน!” มันคือเจ้าอ้วนนั่นเอง ส่งเสียงตะโกนออกมาจากพี้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสด้านล่าง ด้วยเสียงที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มในช่วงวัยรุ่นของมัน
เสียงที่สับสนวุ่นวายดังมาถึงหูเมิ่งฮ่าว แต่มันดูเหมือนว่าเป็นเสียงที่อยู่ห่างไกลออกไป เขายืนอยู่ที่นั่นด้วยความสงบ จ้องไปที่หวังเถิงเฟยอย่างเย็นชา เมิ่งฮ่าวรู้ดีว่าตั้งแต่วันที่เขาได้เข้ามาอยู่ในโลกของการฝึกตนจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เขายังไม่เคยได้พบเจอกับศัตรูที่มีความแข็งแกร่งเช่นนี้มาก่อน นี่จะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากที่สุดของเขา
แต่เขาก็จะไม่หดหัวหนีหาย เขาต้องสู้ เขาต้องโจมตี มีบางสิ่งในชีวิตที่ลูกผู้ชายพึงกระทำด้วยความภาคภูมิใจ
ฉากเหตุการณ์ในวันนั้นฉายออกมาในหัวของเขาอย่างต่อเนื่อง และเขาก็ลูบไปที่ถุงเก็บสมบัติอย่างเหม่อลอย
ข้างในมีเล็บนิ้วที่มีโลหิตแห้งเกรอะกรังติดอยู่สิบนิ้ว เป็นเล็บที่เขาได้ดึงออกมาจากฝ่ามือของเขา
หวังเถิงเฟยยืนอยู่ที่นั่นอย่างสงบนิ่งเยือกเย็น มองไปที่เมิ่งฮ่าวด้วยสายตาที่เรียบเฉย ราวกับว่ามันกำลังมองดูลงไปที่แมลงตัวหนึ่ง มันดูเช่นเดียวกับที่มันได้ทำเมื่อปีก่อน
มันโบกสะบัดมือขวา ราวกับว่ามันกำลังปัดแมลงให้พ้นออกไป และเบื้องหน้าของมันกระแสลมที่หมุนควงเป็นวงกลมก็ปรากฎขึ้น สูงราวๆ ตัวคน หมุนพุ่งตรงเข้าไปหาเมิ่งฮ่าว
แก้วตาเมิ่งฮ่าวหดเล็กลง เขาไม่มีอะไรจะพูดกับหวังเถิงเฟย ทุกสิ่งที่เขาต้องการพูดมีแต่ต้องใช้กระบี่และอาคมมาพูดแทนเท่านั้น และนี่จะเป็นการต่อสู้ที่อำมหิตโหดร้ายที่สุด ในรอบอายุสิบแปดปีของเขา
เขาเดินก้าวไปข้างหน้า ยกมือขวาขึ้น และส่งมีดสายลมที่แผ่กระจายรังสี และแหวกฝ่าอากาศออกมาเป็นเสียงดัง พุ่งตรงไปที่ลมหมุนที่โหดร้ายนั้น
สู้!
เขาตบไปที่ถุงเก็บสมบัติ และกระบี่บินยี่สิบเล่มก็ลอยออกมาเป็นแถวยาว บางเล่มก็ดูมีรูปร่างคดงอบิดเบี้ยว ไม่สามารถที่จะลอยไปตรงๆ ได้ แต่ก็มีรังสีกระบี่ที่มองไม่เห็นส่องประกายออกมา เขาขยับนิ้วที่มือขวาและชี้ตรงไป กระบี่บินทั้งยี่สิบเล่มก็กลายเป็นเงาลางๆ เมื่อพุ่งไปด้วยพลังอันไร้ขอบเขต ตรงไปทึ่หวังเถิงเฟย
สู้!
รังสีของกระบี่ส่องประกายคล้ายสายฝน เมื่อพวกมันรวมพลังเข้าด้วยกันพุ่งตรงไปทึ่หวังเถิงเฟย ลมหมุนได้ประทะเข้ากับกระบี่บิน เกิดเสียงระเบิดขึ้นดังกึกก้องสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณนั้น เมื่อลมหมุนได้เกิดการฉีกขาดเปิดเป็นช่องออกมา
ทันใดนั้น กระบี่บินก็ถูกดูดเข้าไปภายในลมหมุนนั้นลอยไปมาอย่างไร้ทิศทาง เมื่อมองจากที่ห่างไกล ดูเหมือนว่าลมหมุนนั้นได้กลายเป็นกระแสน้ำวนของกระบี่ แต่ลมหมุนก็เริ่มอ่อนกำลังลง และดูเหมือนว่ามันใกล้จะสลายตัวไปในไม่ช้า
สีหน้าของหวังเถิงเฟยไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย มันเดินก้าวไปข้างหน้า และพลังการฝึกตนของมัน ที่อยู่ขั้นสูงสุดของระดับหกของการรวบรวมลมปราณ ก็ระเบิดออกมา ก่อตัวเป็นแรงกดดันที่มองไม่เห็นอย่างคาดไม่ถึง นิ้วที่มือขวาของมันก็ขยับเป็นรูปแบบของการสร้างอาคม และทันใดนั้นเส้นด้ายแห่งสายน้ำ ที่เล็กละเอียดและส่องประกายแวววาว ก็พุ่งตรงไปที่เมิ่งฮ่าว
มันไม่ใช่เป็นวิชาของสำนักเอกะเทวะ แต่เป็นวิชาของตระกูลมันมากกว่า
เมื่อเห็นดังนั้น เมิ่งฮ่าวก็หยิบแกนอสูรใส่เข้าไปในปากอย่างไม่ลังเล เขาใช้มือซ้ายเรียกกระบี่บินกลับมาจากกระแสลมหมุนนั้น พวกมันก็บินส่ายไปมากลับมาหาเขา เขาใช้นิ้วที่มือขวา ขยับเคลื่อนไหวเพื่อเรียกเปลวไฟแห่งงูออกมา ด้วยความยาวประมาณสามสิบหกฉื่อหรือมากกว่านั้น พุ่งตรงไปที่เส้นด้ายแห่งสายน้ำนั้น เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังไปทั่วเมื่อเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงของเปลวไฟและสายน้ำ
“น้ำ-สายลม ทำลาย!” หวังเถิงเฟยพูดออกมา ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มองแบบดูถูกเหยียดหยาม การแสดงออกของมันก็ดูสงบนิ่งเยือกเย็นเช่นเดียวกับในวันนั้น วันที่มันเกือบจะทำลายพลังการฝึกตนของเมิ่งฮ่าวไป มีแต่ความเชื่อมั่นและเต็มไปด้วยความไม่นำพา
เมื่อคำพูดเปล่งออกมาจากปากของมัน เส้นด้ายแห่งสายน้ำก็หลอมรวมเข้ากับสายลมที่หมุนวนนั้น ก่อตัวเป็นแท่งเสาขนาดใหญ่ที่หมุนวนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตกลงมาใส่เมิ่งฮ่าว
กระบี่บินทั้งยี่สิบเล่มก็หมุนคว้างเข้าไปปะทะกับแท่งเสาที่ตกลงมา และเสียงระเบิดก็ดังกึกก้องเมื่อกระบี่บินถูกกระแทกจนลอยกระจัดกระจายออกไป บางเล่มก็แตกหักกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เมิ่งฮ่าวถูกกระแทกจนต้องถอยหลังไปจนถึงสุดขอบของเวทีประลอง เบื้องหน้าของเขายังคงมีคราบน้ำที่กว้างประมาณหนึ่งฝ่ามือ และยาวประมาณยี่สิบเจ็ดฉื่อ ความหวาดกลัวปรากฎบนสีหน้าของเขา
โลหิตไหลงลงมาเป็นเส้นยาวจากหน้าผากของเมิ่งฮ่าว ค่อยๆ ซึมลงไปตามร่องจมูก ทำให้เขาดูดุร้ายมากยิ่งขึ้น
กระบี่บินยี่สิบเล่มสามารถที่จะกำจัดหานจง แต่นี่คือหวังเถิงเฟย และมันก็ยังไม่ได้ใช้อาวุธเวทเลยแม้แต่ชิ้นเดียว มีเพียงแค่วิชาบางอย่างที่เมิ่งฮ่าวไม่เคยเห็นมาก่อน โชคดีที่เมิ่งฮ่าวสามารถหลบเลี่ยงการสังหารครั้งนี้ได้ ถ้าพลังการฝึกตนของเขายังอยู่ใน ระดับขั้นห้าของการรวบรวมลมปราณ เขาก็คงไม่สามารถหลบพ้นได้แน่นอน
“หวังเถิงเฟยมีพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่” ซ่างกวนซิวคิด “และมีประสบการณ์มากมาย ในการใช้พลังและความสามารถของการรวบรวมลมปราณ แม้แต่ใครก็ตามที่อยู่ในระดับขั้นเจ็ด ก็คงยากที่จะต่อสู้กับมันได้ เมิ่งฮ่าวต้องตายแน่นอน” มันขมวดคิ้วเป็นรอยลึกลงไปอีกเมื่อมองไปที่เมิ่งฮ่าว และประกายตาของมันก็ลุกโชนไปด้วยความต้องการสังหาร อย่างไรก็ตาม มันก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาถุงเก็บสมบัติของเมิ่งฮ่าวมาได้อย่างไร หลังจากที่เขาตายไป
หวังเถิงเฟยก็ยังคงดูสงบนิ่งเยือกเย็นเหมือนเช่นเคย เมื่อเมิ่งฮ่าวหลบการโจมตีของมันได้ ราวกับว่ามันไม่ได้ตั้งใจที่จะสังหารเมิ่งฮ่าว ถ้าช้างต้องการที่จะบดขยี้มดตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง และก้าวแรกของมันได้พลาดไป ครั้งที่สองต้องไม่มีทางพลาดอย่างเด็ดขาด มันเผยอรอยยิ้มที่สวยงาม ไม่แยแสสิ่งใดออกมา จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว ยกมือขวาขึ่นมา และโบกสะบัดนิ้วตรงไปที่เมิ่งฮ่าว
เมื่อมันโบกสะบัดนิ้ว เมิ่งฮ่าวก็ได้ยินเสียงหึ่งระงมไปทั่วจากพวกที่มุงดูอยู่รอบๆ มันได้ตอกย้ำเขาถึงวันนั้น วันที่เขายืนอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย หวังเถิงเฟยได้ใช้หนึ่งดรรชนีโจมตี ผูกมัดเขาไว้กับความอัยศอดสู หนึ่งนิ้วเพื่อทำลายจี้หยกของเขา หนึ่งนิ้วเพื่อเอาขวดน้ำเต้าหยกไป และหนึ่งนิ้วที่พยายามจะทำลายพลังการฝึกตนของเขา
วิญญาณแห่งการต่อสู้อันเข้มแข็งส่องประกายในดวงตาของเมิ่งฮ่าว เขาได้รับความอัปยศจากการโจมตีด้วยดรรชนีของหวังเถิงเฟย แต่วันนี้เขาไม่ใช่เมิ่งฮ่าวคนเดิม ถึงแม้ว่าเขาไม่คิดลงสมัครเพื่อคัดเลือกเป็นศิษย์สายใน แต่ถูกสถานการณ์บังคับให้มาสมัครก็ตาม เขาก็ได้มีการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีโดยตลอด ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาใช้เวลาส่วนใหญ่เพื่อสร้างความชำนาญในการควบคุมกระบี่บินจำนวนมากมาย
เมื่อนิ้วของหวังเถิงเฟยลดต่ำลง เมิ่งฮ่าวก็ตบไปที่ถุงเก็บสมบัติ หยิบแกนอสูรกลืนกินลงไป จากนั้นก็เริ่มขยับนิ้วเป็นรูปแบบเพื่อสร้างเวทอาคม ทันใดนั้น กระบี่บินจำนวนสิบเล่มหรือมากกว่านั้นที่ยังเหลืออยู่ ก็เริ่มขยับสั่นไปมา จากนั้นก็ลอยขึ้นมาจากพื้น และพุ่งกลับมาที่เขาจากทั่วทุกทิศทาง
กระบี่บินหมุนไปมารอบๆ ร่างของเมิ่งฮ่าว และเมื่อเขาลดมือลง จากนั้นก็ชี้ตรงไปที่หวังเถิงเฟย กระบี่บินก็พุ่งออกไปด้วยความเร็วที่น่าตกใจ แหวกฝ่าอากาศออกไปด้วยเสียงแหลมเล็กตรงไปหาหวังเถิงเฟย
ในเวลาเดียวกันนั้น กระบี่บินอีกหลายเล่มก็ปรากฎขึ้นจากภายในของถุงเก็บสมบัติ จนกระทั่งถึงขีดจำกัดของเมิ่งฮ่าวที่จะควบคุมได้ ดูเหมือนว่าเพียงพอที่จะทำลายผนังเมืองให้พังทลายลงไป
ด้วยพลังที่น่าตกใจของพวกมัน ส่องประกายแวววับลอยอยู่เต็มท้องฟ้า พุ่งตรงไปที่การโจมตีด้วยพลังดรรชนีของหวังเถิงเฟย
ตูม!
เกิดการระเบิดส่งเสียงแหลมเล็กดังไปทั่วทั้งเขตสำนักสายนอก เมื่อกระบี่บินยี่สิบเล่มปะทะกับพลังที่มองไม่เห็นซึ่งพุ่งออกมาจากนิ้วชี้ของหวังเถิงเฟย ท่ามกลางการระเบิดนั้น กระบี่บินทั้งยี่สิบเล่มก็บิดเบี้ยวคดงอ บางเล่มก็แตกละเอียดกลายเป็นชิ้นเล็กๆ แต่ก็สามารถป้องกันการโจมตีจากพลังดรรชนีไว้ได้
โลหิตไหลซึมออกมาจากปากของเมิ่งฮ่าว และเส้นเลือดก็กระจายเต็มอยู่ในดวงตา เขากินแกนอสูรอีกก้อนลงไป รังสีสังหารของเขาแผ่กระจายออกไป แต่ยังคงไม่เอ่ยปากพูดแม้แต่คำเดียว นี่เป็นบุคลิกส่วนตัวของเขา ยิ่งเขามีความต้องการสังหารใครสักคน หรือยิ่งมีความโกรธมากขึ้นเท่าไร เขาก็ยิ่งกลายเป็นบุคคลที่เงียบมากขึ้นเท่านั้น
หวังเถิงเฟย ยังคงดูนิ่งสงบเหมือนเช่นเคย ราวกับว่ามันไม่ได้สนใจอะไรเลยที่เมิ่งฮ่าวได้ยืนอยู่ตรงหน้าของมัน มีเพียงมันเท่านั้นที่สามารถจะมีความหยิ่งผยอง และไม่นำพาได้แต่เพียงผู้เดียว
มันก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกครั้งหนึ่ง โจมตีด้วยพลังดรรชนีเป็นครั้งที่สอง
นี่เคยเป็นพลังการโจมตีที่ได้ทำลายจี้หยกของเมิ่งฮ่าวจนแตกเป็นเสี่ยงๆ เมิ่งฮ่าวไม่แม้แต่จะเช็ดโลหิตที่ริมฝีปาก เขากลืนมันลงไป ขยับนิ้วเป็นรูปแบบเพื่อสร้างเวทอาคมอย่างรวดเร็ว เขาส่งกระบี่บินที่ยังคงเหลืออยู่อย่างกระจัดกระจาย พุ่งตรงไปที่หวังเถิงเฟยเพื่อโจมตีอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ตัดขาดการควบคุมที่เชื่อมต่อกับกระบี่ ปล่อยให้พวกมันพุ่งตรงไปเองอย่างน่าประหลาดใจ
เขาตบไปที่ถุงเก็บสมบัติ ทันใดนั้น รังสีของกระบี่มากมายก็ปรากฎขึ้น กระบี่อีกยี่สิบเล่มก่อตัวเป็นคลื่นลูกที่สองพุ่งตรงไปพร้อมเสียงแหวกฝ่าอากาศ นี่เป็นพิรุณกระบี่ที่ประกอบด้วยกระบี่บินทั้งหมดเกือบสี่สิบเล่ม
เมิ่งฮ่าวรู้ดีว่ากลยุทธ์นี้มีจุดอ่อนอยู่ กระบี่บินไม่ได้แคล่วคล่องว่องไว มีแต่ความเร็วและความคมเท่านั้น จึงไม่เป็นการยากที่จะหลบเลี่ยงการโจมตีเช่นนี้ แต่เมิ่งฮ่าวก็ได้เดิมพันไว้ว่าด้วยความหยิ่งยโสของหวังเถิงเฟย มันต้องไม่ยอมหลบเลี่ยงการโจมตีนี้อย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่ามันจะพยายามหลบเลี่ยง เมิ่งฮ่าวก็เตรียมพร้อมไว้แล้ว เขาได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ และเตรียมการณ์มาอย่างดี
ฉากที่ได้เห็นอยู่ตรงหน้าสามารถจะอธิบายได้แต่เพียงว่า มันเป็นตำนานของการต่อสู้ สำหรับผู้ฝึกตนที่ได้ฝึกฝนการรวบรวมลมปราณ มันเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ยากจะได้เห็น ตลอดทั้งแคว้นจ้าว ในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีการต่อสู้เช่นนี้ระหว่างบุคคลสองคนซึ่งอยู่ในระดับขั้นหกของการรวบรวมลมปราณมาก่อน!
เมิ่งฮ่าวมีกระบี่บินมากมาย หลังจากที่มีประสบการณ์บนภูเขาสีดำ เขาก็ได้ใช้ความคิดมากมายในการที่จะใช้มันเพื่อการต่อสู้ด้วยเวทอาคม ด้วยการช่วยเหลือของมีดสายลม ทำให้เขาสามารถควบคุมกระบี่บินที่มีจำนวนมากมายได้ อย่างไรก็ตาม มันต้องใช้พลังลมปราณมากมายด้วย
และเขาก็สามารถเรียกกระบี่บินออกมาได้แค่ยี่สิบเล่มในหนึ่งครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น พลังการฝึกตนของเขาก็ยอมให้ทำได้เพียงแค่การควบคุมอย่างง่ายๆ แต่ก็เพียงพอต่อการบังคับให้มันพุ่งไปข้างหน้า เขาไม่สามารถบังคับให้มันเคลื่อนที่ไปมาในอากาศได้อย่างแคล่วคล่องว่องไว หรือควบคุมให้มันเปลี่ยนทิศทางได้ เขาจึงไม่เน้นไปที่ความชำนาญในการบังคับกระบี่บินให้แคล่วคล่องว่องไว แต่เน้นไปที่ทำให้มันบินตรงไปข้างหน้าได้เท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็สามารถควบคุมมันได้แม้จะมีจำนวนมากก็ตาม ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับที่บุคคลธรรมดาทั่วไป ได้โยนวัตถุออกไปจากมือ เว้นเสียแต่ว่า เขาไม่ได้ใช้มือของเขา เขาใช้พลังลมปราณในการบังคับให้มันพุ่งไปข้างหน้า ตราบเท่าที่เขายังมีกระบี่ที่เพียงพอ และพลังลมปราณของเขายังไม่หมดลง เขาก็ใช้วิธีการนี้ได้
หวังเถิงเฟยไม่ได้ใช้วิชาของสำนักเอกะเทวะ เพราะว่ามันดูถูกเหยียดหยามสำนักนี้และวิชาของที่นี่ มันใช้วิชาของตระกูลอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรของมัน ซึ่งทำให้มันได้รับการยกย่องจากทุกคนในที่นี้