เวลาผ่านไปไม่นาน ดูเหมือนว่าทั่วทั้งภูเขาสีดำได้เดือดพล่าน เสียงร้องคำรามของสัตว์อสูรสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งภูเขา ตัวหนึ่งร้องดังขึ้น และอีกตัวก็เบาลง สลับกันไปเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นก็มักจะมีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างน่าอนาถใจ สอดแทรกมาเป็นระยะ
ผู้ฝึกตนสิบคนหรือมากกว่านั้น ผู้ซึ่งไม่กล้าที่จะไล่ตามเข้าไปในส่วนลึกของภูเขา มีสีหน้าซีดขาว จิตใจเต็มไปด้วยความกลัว และตอนนี้พวกมันก็มีความต้องการที่จะเข้าไปในภูเขาน้อยกว่าก่อนหน้านี้อีก
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมสัตว์อสูรทั้งหมดในภูเขาลูกนี้ถึงดูเหมือนว่ากำลังโกรธมาก?”
“ศิษย์พี่หยิ่นเทียนหลง และศิษย์พี่โจวข่าย ทั้งสองก็อยู่ในระดับห้าของการรวบรวมลมปราณ แต่พวกเขาก็ยังต้องวุ่นวายด้วยการไปเพิ่มความโกรธให้กับสัตว์อสูรทั้งภูเขา พวกเขากำลังใช้วิธีการบางอย่างที่พิเศษเฉพาะหรือไม่?”
คนกลุ่มเล็กๆ ที่บริเวณเชิงเขาเริ่มคาดเดาไปต่างๆ นาๆ เมื่อได้ยินเสียงแผดร้องดังอึกทึกไปทั่ว
ในขณะที่หยิ่นเทียนหลง และโจวข่าย ได้ถูกทรมานจนใกล้เสียสติด้วยกลอุบายของเมิ่งฮ่าว พวกมันต้องมองดูอย่างหมดหนทาง เมื่อเมิ่งฮ่าววิ่งขึ้นไปข้างหน้าไกลออกไป พร้อมด้วยสัตว์อสูรจำนวนมากมาย ด้วยความเกลียดชังในดวงตาของพวกมัน ถ้าการมองสามารถฆ่าคนได้ เมิ่งฮ่าวคงถูกฆ่าตายไปแล้วหลายครั้ง
ด้วยความเกลียดชังแต่เหน็ดเหนื่อยจนทำอะไรไม่ได้ ซึ่งมีแต่หยิ่นเทียนหลง และโจวข่ายเท่านั้นที่จะเข้าใจได้อย่างแท้จริง ทุกครั้งที่พวกมันเริ่มจะไล่ตามเมิ่งฮ่าวไปอีกครั้ง
ก็มักจะเห็นเขาใช้วิธีการบางอย่าง ซึ่งอาจจะเป็นเวทอสูร มากระตุ้นพวกสัตว์อสูรทั้งหมดให้โกรธ ด้วยเพียงการสะบัดชายแขนเสื้อ ก็ทำให้ร่างกายบางส่วนของสัตว์อสูรระเบิดออก กลิ่นคาวโลหิตฟุ้งกระจายไปทั่ว จึงทำให้สัตว์อสูรพวกนี้บ้าคลั่งขึ้นไปเรื่อยๆ
ยิ่งได้เห็นสัตว์อสูรจำนวนมากมาย ก็ยิ่งทำให้พวกมันสมองมึนงงไปหมด สัตว์อสูรพวกนี้ไม่เพียงแต่จะไล่ตามเมิ่งฮ่าวไปเท่านั้น เมื่อสัตว์พวกนี้มองเห็นพวกมันทั้งสอง ก็เริ่มที่จะไล่ตามพวกมันไปด้วย แล้วก็ห่างออกไป เมิ่งฮ่าวก็หลบลี้หนีหายเหมือนปลาที่รอดจากร่างแห
“บัดซบ! ข้าขอสาปให้เจ้าตายในท้องของพวกสัตว์ป่า!!!” โจวข่ายคำรามก้อง ข้างกายมัน หยิ่นเทียนหลงถอนหายใจยาวออกมา ดูเหมือนว่ามันกำลังเหนื่อยจนหมดแรง
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ และช่วงเวลาหนึ่งชั่วยามใหม่ก็มาถึง ในความมืดมิดของยามราตรี แสงของเม็ดยาก็ส่องประกายแพรวพราว แสดงให้เห็นจุดที่เมิ่งฮ่าวอยู่ โจวข่ายและหยิ่นเทียนหลง กัดฟันไล่ติดตามต่อไป เหมือนเช่นเคย เมิ่งฮ่าวใช้เวทอสูรไปตอแยพวกสัตว์อสูรให้โกรธเกรี้ยวมากขึ้น และนำพวกมันไปที่โจวข่ายและหยิ่นเทียนหลง จากนั้นเขาก็มองทั้งสองคนหายไปท่ามกลางกลุ่มของสัตว์อสูรที่กำลังเกรี้ยดกราด
“ทำไมมันถึงไม่ถูกสัตว์อสูรพวกนี้กินไปซะที!?” โจวข่ายและหยิ่นเทียนหลงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าไปถึงกระดูก ในขณะที่เมิ่งฮ่าวซึ่งเต็มไปด้วยพละกำลัง กระโดดข้ามพวกมันไป เมื่อเห็นเช่นนี้ ความเกลียดชังก็คุกรุ่นในตัวพวกมันจนลึกลงไปถึงไขกระดูก และพวกมันก็ต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียดชัง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ในความเป็นจริง เมิ่งฮ่าวก็เหนื่อยมากเช่นเดียวกัน ทุกครั้งที่เม็ดยาส่องประกาย เขาก็ถูกคุกคามจากสัตว์อสูรซึ่งถูกแสงของเม็ดยาดึงดูดความสนใจ ที่อยู่ในรอบๆ บริเวณนั้น แน่นอนที่กระจกทองแดงก็ได้ช่วยให้เขาหยุดสัตว์อสูรตัวที่เร็วที่สุดไว้ได้ ทำให้เขามีเวลาที่จะหลบหนี ถ้าไม่ใช่เช่นนั้น เขาก็คงลงไปกองกับพื้นด้วยความเหน็ดเหนื่อยไปนานแล้ว
ทันใดนั้น เขาก็ตระหนักได้ว่าเขาได้มาถึงยอดสูงสุดของภูเขาลูกนี้แล้ว พื้นดินบริเวณนี้เต็มไปด้วยรอยแยกเต็มไปหมด บางแห่งก็ใหญ่จนร่างคนเข้าไปอยู่ได้อย่างง่ายดาย ด้วยความเหนื่อยหอบ เมิ่งฮ่าวจึงนั่งลงด้านหลังก้อนหินเพื่อพักผ่อน มองลงไปยังกระจกทองแดงในมือของเขา มันได้เผาไหม้จนร้อน ราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้กระจกบานนี้มีความตื่นเต้นอย่างมากมาย เมิ่งฮ่าวยิ้มด้วยความขมขื่น จากนั้นก็มองไปรอบๆ และสังเกตเห็นรอยแยกขนาดใหญ่ตรงขึ้นไปด้านหน้า มีหมอกสีดำลอยซึมออกมาช้าๆ
ทันใดนั้น ก็มีเสียงร้องคำรามอันน่ากลัวดังออกมาจากรอยแยกขนาดใหญ่นั้น เป็นเสียงร้องคำรามเสียงเดียวกับที่ได้ปรามพวกสัตว์อสูรที่ดุร้ายบนภูเขาแห่งนี้ เสียงคำรามนี้ราวกับจะทำให้โลกแห่งนี้สั่นสะเทือน เสียงของมันเหมือนกับเสียงของฟ้าผ่า อึดใจนั้นเอง ทั่วทั้งบริเวณนี้ก็ไม่มีสัตว์อสูรเหลืออยู่เลย ราวกับว่าภูเขาทั้งลูกนี้มีเพียงแต่เสียงคำรามนี้เท่านั้น
เสียงคำรามดูเหมือนจะทำให้ใจของเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้านไปด้วย ราวกับว่าพลังลมปราณทั่วร่างของเขาได้สลายกระจัดกระจายออกไปพร้อมกับเสียงคำรามนี้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป นี่เป็นเสียงคำรามที่เขาคุ้นเคย ในครั้งก่อนที่เขาได้เข้ามาในพื้นที่ใกล้ๆ กับภูเขาสีดำลูกนี้ เขาเคยได้ยินมัน มันเป็นเสียงที่น่าตกใจจนทำให้โลหิตต้องแข็งตัว และลมปราณแตกกระจาย เป็นเสียงที่ประทับอยู่ในความทรงจำอย่างลึกซึ้งของใครก็ตามที่ได้ยินมัน
เมื่อเสียงคำรามดังออกมา เมิ่งฮ่าวพยายามเบิกตาโพลง และมองไปที่หมอกสีดำที่ลอยออกมาจากรอยแยกนั้น เมื่อหมอกเริ่มหายไป เมิ่งฮ่าวก็มองเห็นงูเหลือมสีดำขนาดใหญ่โตมโหฬาร ลำตัวหนามากกว่าสิบแปดฉื่อ ดูดุร้ายน่ากลัวเป็นอย่างมาก ตรงจุดกึ่งกลางของความยาวของมัน ปรากฎเป็นของสิ่งหนึ่งปักอยู่
มันดูเหมือนเจ็บปวดมาก และเสียงคำรามที่ดุร้ายของมันก็สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งฟากฟ้าและผืนดิน เมิ่งฮ่าวกระอักโลหิตออกมา เขากระโดดออกมาจากด้านหลังของก้อนหิน และเหินลงไปจากยอดเขา ไม่กล้าที่จะอยู่ที่นั่นต่อไป แต่ไม่ช้าเขาก็หยุดลง มีความอยากรู้มากกว่าความกลัว เมื่อเขากลับไปเพื่อมองดูเป็นครั้งที่สอง เขาก็สังเกตเห็นบางสิ่งที่น่าสนใจ
ลำตัวของงูเหลือมยักษ์นั่น ครึ่งหนึ่งของมันยื่นออกมาจากรอยแยกอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่ามันมีผิวหนังสองชั้นซ้อนทับกันอยู่ และมันกำลังพยายามจะขยับตัวให้หลุดออกจากผิวหนังชั้นนอกอยู่
“มันกำลังลอกคราบ?” เมื่อได้สังเกตเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เมิ่งฮ่าวต้องสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เขารู้ว่างูเหลือมจะอ่อนแอมาก ในช่วงเวลาที่มันลอกคราบ มันต้องใช้เวลาพอสมควรในการทำเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับงูเหลือมที่เป็นสัตว์อสูร ด้วยลำตัวที่ใหญ่โตเช่นตัวนี้ บางทีมันอาจจะต้องใช้เวลานานมาก นานเป็นเวลาหลายปีเลยทีเดียว
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมถึงได้ยินเสียงคำรามของมันตลอดเวลา มันต้องอยู่ในภาวะการลอกคราบมาหลายปีแล้ว” สายตาเขามองเลื่อนไป ก็สังเกตเห็นบางสิ่งนอกเหนือไปจากงูเหลือมอสูร
เมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิด เขาก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ มันเป็นกระบี่ที่ดูมีรูปร่างแบบสมัยโบราณเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีลักษณะพิเศษอันใด แต่มันก็ปักเข้าไปในลำตัวของงูเหลือม ดูเหมือนว่ามันปักอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานมากทีเดียว อาจบางทีก็หลายปีมาแล้ว
พื้นที่บริเวณลำตัวของงูเหลือมอสูรซึ่งมีกระบี่ปักอยู่แห้งและลีบ แสดงให้เห็นถึงพลังของกระบี่เล่มนี้ได้เป็นอย่างดี
“งูเหลือมอสูร มีพลังการฝึกตนอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในขั้นเจ็ดของการรวบรวมลมปราณ อาจจะถึงขั้นแปดด้วยซ้ำ หรืออาจจะเป็นขั้นเก้า…” เขารู้สึกลำคอแห้งผาก เขาเพียงแค่คิดว่าผิวหนังของงูเหลือมอสูรจะหนาสักเพียงใด ก็สามารถที่จะบอกได้ว่า พลังของกระบี่โบราณจะน่าตื่นตกใจถึงเพียงไหน
“กระบี่ที่สามารถแทงทะลุเข้าไปในลำตัวของสัตว์อสูรเช่นนี้ ต้องเป็นของวิเศษแน่นอน” เมิ่งฮ่าวใจสั่นระรัวด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความหดหู่ ด้วยพลังการฝึกตนขั้นสี่ของการรวบรวมลมปราณเช่นเขา โอกาสที่จะได้ครอบครองกระบี่เล่มนี้ช่างน้อยนิดยิ่งกว่าความฝัน ถึงแม้เขาจะอยู่ในระดับห้า มันก็เป็นไปไม่ได้เช่นเดียวกัน
เขาส่ายหน้า เดินตรงไปยังทางลงจากยอดเขา สายตาทอประกาย ยังคงมีบางอย่างที่สำคัญกว่าการบรรลุถึงเป้าหมาย กระจกทองแดงในแขนเสื้อของเขายังคงเดือดพล่าน และในไม่ช้า ก็มีสัตว์อสูรมากมายไล่ตามเขามา ส่งเสียงร้องคำรามดังไปทั่วภูเขา
เวลาผ่านไปและรุ่งอรุณก็มาเยือน ช่วงเวลาหนึ่งชั่วยามสุดท้ายกำลังจะหมดลงไปในไม่ช้า โจวข่ายและหยิ่นเทียนหลง ได้ล้มเลิกความหวังทั้งหมดของพวกมันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกมันมองขึ้นไปที่เมิ่งฮ่าว ซึ่งได้นั่งขัดสมาธิห่างไกลออกไปบนภูเขา
แค่พวกมันทั้งสองเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ก็จะกระตุ้นให้สัตว์อสูรทั้งกลุ่มไล่ตามมา และพวกมันไม่เพียงแต่จะไม่ประสบความสำเร็จในเป้าหมาย พวกมันก็มีโอกาสที่จะได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างมาก ด้วยความเหนื่อยยากแสนสาหัสของพวกมัน มีเพียงสิ่งเดียวที่พวกมันจะทำได้ ก็คือ อ้าปากหายใจด้วยความหอบ และจ้องอย่างเอาเป็นเอาตายไปที่เมิ่งฮ่าว
“บัดซบ เมิ่งฮ่าว เจ้าอย่าคิดว่าจะหนีรอดจากเงื้อมมือข้า!?” โจวข่าย หอบหายใจจากนั้นก็แผดเสียงออกมาอย่างหมดหนทาง เมิ่งฮ่าวช่างเหมือนปลาที่แหวกว่ายไปมาเหมือนเงาภูติอยู่ภายในป่า
“เจ้าไม่กล้าต่อสู้ด้วยตัวเอง?” หยิ่นเทียนหลงกล่าว อยู่ไม่ไกลออกไป แต่ไม่สามารถที่จะสังหาร หรือไล่ตามเมิ่งฮ่าวได้ มันเริ่มใกล้เสียสติ และคำพูดของมันก็ดูเหมือนไร้เหตุผล “เจ้าไม่เอาแต่หนี ได้หรือไม่? ไม่มีความจำเป็นที่จะใช้เวทอสูรอันชั่วร้าย ส่งสัตว์อสูรให้มาไล่ตามพวกข้า ทำไมเราไม่ต่อสู้กันอย่างยุติธรรม?”
“พลังการฝึกตนของข้าไม่สูงเท่าพวกเจ้า ข้าจะสู้ได้ยังไง?” เมิ่งฮ่าวกล่าว หอบหายใจไปด้วย “ถ้าเจ้ายังไล่ตามข้าอีก ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่น” เขากลืนเม็ดยาลงไป
ในชีวิตก่อนหน้านี้ของโจวข่ายและหยิ่นเทียนหลง พวกมันไม่เคยเจอใครที่ไร้เหตุผลเช่นเมิ่งฮ่าวมาก่อน พวกมันทั้งสองรู้สึกเสียใจอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ถ้าพวกมันรู้ว่าเหตุการณ์จะออกมาเป็นเช่นนี้ พวกมันก็จะไม่ยอมไล่ตามเขาเพื่อที่จะแย่งชิงเม็ดยาอย่างแน่นอน
เวลาผ่านไป และเมื่อครบกำหนดอาคมที่ผนึกบนเม็ดยาก็หายไป หยิ่นเทียนหลงถอนหายใจยาวออกมา มันส่ายหน้าด้วยเสียงหัวเราะอย่างขมขื่น ไม่มีอะไรเหลือให้ทำอีกแล้ว มันไล่ตามก็ไม่ได้ โจมตีก็ไม่มีโอกาส ถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับสัตว์อสูร เม็ดยาก็ใช้ไปจนหมด และมันก็สูญเสียกระบี่บินไปสองเล่ม มันยังจะฝืนไปแย่งชิงเม็ดยาได้อย่างไร…?
แน่นอนว่า นี่ยังไม่ได้เอ่ยถึงกลอุบายของคู่ต่อสู้มัน เล่ห์เหลี่ยมที่แพรวพราว ความคิดที่ชั่วร้ายของเมิ่งฮ่าวดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุด แม้เลินเล่อด้วยความประมาทเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้ต้องบาดเจ็บสาหัสได้
มันถอนหายใจด้วยความอับอาย มองไปที่เมิ่งฮ่าวเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็หันหลังเดินลงไปจากภูเขา ท้ายที่สุดมันก็ถูกทรมานจนต้องยอมจำนน
เมื่อมันจากไป โจวข่ายก็รู้สึกทรมานและไม่แน่ใจ รุ่งอรุณมาเยือน เหมือนจะย้ำเตือนว่าช่วงเวลาสิบสองชั่วยามได้จบลงไปแล้ว และด้วยเหตุนี้ เม็ดยาในถุงเก็บสมบัติของเมิ่งฮ่าวก็จะถูกยกเลิกการปิดผนึก โจวข่ายกระทืบเท้าด้วยความเกลียดชัง จากนั้นก็หันหลังจากไปโดยไม่พูดจา มันเชื่อว่าเมิ่งฮ่าวเป็นคนที่ยากที่จะเกี่ยวข้องด้วย ในความเป็นจริง ความกลัวได้เกิดขึ่นในจิตใจของมัน ถ้ามันไม่จากไปตอนนี้ บางทีมันอาจจะไปไม่ได้ตลอดกาล
เมิ่งฮ่าวมองดูคนทั้งสองจากไป มุ่งตรงลงไปยังเชิงเขาด้านล่าง ถึงกับต้องถอนหายใจยาวออกมาอย่างโล่งอก ความรู้สึกอ่อนล้าเหมือนอุทกภัยที่ท่วมไปทั่วร่าง เขากัดลิ้นตัวเองเพื่อให้ร่างกายตื่นตัว จากนั้นก็รีบจากไปในที่ห่างไกลออกไป เขาไม่ได้ออกจากภูเขาสีดำ แต่กลับขึ้นไปยังยอดเขา มีงูเหลือมอสูรอยู่ที่นั่น แต่ก็บอกได้เลยว่ามันปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง งูเหลือมอสูรต้องการเวลาในการเปลี่ยนร่างอย่างสมบูรณ์ และเสียงคำรามของมันก็ทำให้สัตว์อสูรตัวอื่นๆ ไม่กล้าเข้าใกล้
เมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิ ที่รอยแยกในก้อนหิน จ้องมองลงไปที่ถุงเก็บสมบัติ ทันใดนั้นก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นภายในใจ
“ข้าสูญเสียเม็ดยาไปเป็นจำนวนมาก แต่ละเม็ดก็คือหินลมปราณหนึ่งก้อน คำนวนดู…รวมทั้งกระบี่บินสามสิบเจ็ดเล่ม และแกนสัตว์อสูรอีกมากกว่าสี่สิบก้อน รวมเป็น…หนึ่งร้อยเก้าสิบแปดหินลมปราณ หนึ่งร้อยเก้าสิบแปด” ร่างของเขาสั่นสะท้าน และรู้สึกอารมณ์เสียเล็กน้อย
“ขอบคุณสำหรับสิบสองชั่วยามที่ได้จบลงไปแล้ว” เขากล่าว พยายามที่จะปลอบใจตัวเอง “และเม็ดยาลมปราณเกราะก็ตกเป็นของข้า” เพื่อผลักดันตัวเองไม่ให้รู้สึกผิดหวัง เขาบังคับจิตใจให้ปลอดโปล่ง จากนั้นก็มองไปรอบๆ เมื่อให้มั่นใจว่าบริเวณนี้ปลอดภัยดี เขาหยิบเอากระจกทองแดงออกมา และเริ่มที่จะผลิตเม็ดยาลมปราณเกราะจากเม็ดต้นแบบ
เที่ยงวันมาถึง และเมิ่งฮ่าวก็มองลงไปที่เม็ดยาในมือของเขา เม็ดยาลมปราณเกราะสิบเม็ด เขายิ้มออกมา แต่ความผิดหวังยังคงเห็นได้บนใบหน้าของเขา มันต้องใช้หินลมปราณเป็นจำนวนมากเพื่อที่จะผลิตเม็ดยาลมปราณเกราะ มากยิ่งกว่าตอนที่ใช้ผลิตแกนสัตว์อสูร ตอนนี้เขาก็เข้าใจถึงอัตราการแลกเปลี่ยนที่กระจกทองแดงต้องการ
เขาขบฟันจากนั้นก็หยิบเม็ดยาลมปราณเกราะหนึ่งเม็ดใส่เข้าปากไป
“ขั้นห้าของการรวบรวมลมปราณ! ข้าต้องบรรลุระดับขั้นห้า!” สายตาของเขาปรากฎเส้นเลือดขึ้นมา ความรู้สึกเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเหมือนเช่นเคย เขานั่งทำสมาธิ และเริ่มโคจรลมปราณ เสียงกึกก้องดังไปทั่วร่างกาย เมื่อพลังลมปราณที่ไร้ขอบเขตพุ่งออกมาจากเม็ดยาลมปราณเกราะ เป็นเหตุให้พลังลมปราณในร่างของเมิ่งฮ่าว เริ่มหมุนปั่นเหมือนกระแสน้ำวนพุ่งออกไปทุกทิศทาง
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ และกลางวันก็ผ่านไป ขณะที่เมิ่งฮ่าวนั่งหลับตา กำลังจะก้าวไปถึงระดับห้าของการรวบรวมลมปราณ ภูเขาสีดำก็เต็มไปด้วยเสียงคำรามของงูเหลือมอสูรที่กำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนร่าง เช่นเดียวกับเมิ่งฮ่าว ที่ดูเหมือนกำลังก้าวมาถึงจุดเชื่อมต่อที่สำคัญ