เมิ่งฮ่าวก้าวเท้าเข้าไปในศาลาอย่างสงบเงียบ เขาไม่มองไปยังคนทั้งสี่ และพวกมันก็ไม่มองมาที่เขาเช่นกัน เขาเดินไปนั่งลงที่ด้านข้าง
เวลาไม่นานนัก ก่อนที่จะมีอีกสามคนมาถึง คนทั้งหมดถูกห้อมล้อมไว้ด้วยเสียงเพลง แต่ก็ไม่เห็นใครมาขับร้องร่ายรำ ทำให้เกิดเป็นบรรยากาศที่แปลกประหลาด ทันใดนั้น เสียงหัวเราะอย่างเบิกบานใจก็ดังออกมา ขณะที่ชายชราสีหน้าแดงก่ำปรากฎขึ้น และเดินตรงมาที่พวกเขา มันนั่งลงไปที่ตำแหน่งของประธาน
“สหายเต๋าทั้งหลาย การประชุมลับในวันนี้ คงไม่ต้องพูดถึงกฎกติกาทั้งหลาย ข้ามั่นใจว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทุกท่านมาร่วมเป็นแขกของการประชุมลับ ข้าขอเริ่มการประชุม ณ บัดนี้” มันโบกสะบัดแขนเสื้อ และกระถางเก้ามังกรก็ปรากฎขึ้น ในท่ามกลางของผู้เข้าร่วมทั้งหมด หมอกเริ่มกระจายออกมา และเมิ่งฮ่าวก็ชำเลืองมองไปยังชายชรา
ชายชราผู้นี้ เห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่คนเดียวกับชายชราที่เขาเคยเห็น ในการประชุมลับครั้งแรก แต่อย่างไรก็ตาม พื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าวไม่เหมือนกับเมื่อครั้งนั้น ด้วยจิตสัมผัส เขาสามารถบอกได้ว่าชายชราผู้นี้ไม่ใช่แม้แต่จะเป็นของจริง
จริงๆ แล้ว มันเป็นแค่ภาพที่ฉายออกมาเท่านั้น!
“การประชุมลับนี้ช่างลึกลับอย่างแท้จริง” เมิ่งฮ่าวคิด “ต้องมีพลังที่แข็งแกร่งคอยบงการอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ การประชุมในเขตสำนักชิงหลัวก็เหมือนกับที่นี่เป็นอย่างยิ่ง” เขาหยิบแผ่นหยกออกมา ส่งเข้าไปในกระถาง
ผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมดทำเช่นเดียวกัน และในไม่ช้า กลุ่มหมอกจากกระถางมังกรก็กระจายเต็มไปทั่วบริเวณนั้น ปกคลุมทุกคนไว้ภายใน
แสงริบหรี่เริ่มปรากฎ เมิ่งฮ่าวก็เริ่มเรียกมาดู ดวงตาเขาเริ่มส่งประกาย ข้อเสนอหลักส่วนใหญ่จะเป็นสูตรปรุงยา และพืชสมุนไพร
“ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคน มาจากแผนกเม็ดยาบูรพาในวันนี้ และต้องไม่ใช่เป็นแค่อาจารย์ปรุงยา แต่เป็นเจ้าแห่งเตา” เมื่อไม่กี่วันก่อน เมิ่งฮ่าวได้สอบถามเกี่ยวกับแผนกเม็ดยาบูรพา และตอนนี้ก็ได้รู้ข้อมูลมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น ศิษย์ของแผนกเม็ดยาบูรพา จะเริ่มต้นจากการเป็นเด็กฝึกปรุงยา จนในที่สุด ก็จะกลายเป็นอาจารย์ปรุงยา จากนั้นก็เป็นเจ้าแห่งเตา สูงกว่าเจ้าแห่งเตาก็คือ เทพกระถางม่วง ซึ่งเป็นผู้ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากภายในดินแดนด้านใต้
เทพกระถางม่วง จะเป็นศิษย์ของเจ้าโอสถจอมปีศาจโดยอัตโนมัติ และจะได้รับการถ่ายทอดความรู้โดยตรงจากท่าน อีกหนทางที่จะกลายเป็นศิษย์ของเจ้าโอสถจอมปีศาจ ก็คือ ต้องมีการสนับสนุนเป็นพิเศษ จึงจะสามารถบรรลุถึงสวรรค์ได้ในก้าวเดียว
ยกตัวอย่างเช่น ติงซิ่น จากเมื่อหลายปีมาแล้ว ได้เป็นศิษย์ของแผนกลมปราณม่วง แต่ของกำนัลของมันที่ใช้สำหรับผสมตัวยา ได้สร้างความประทับใจให้กับเจ้าโอสถจอมปีศาจ ทำให้ในที่สุด มันได้ถุกเลือกให้กลายเป็นศิษย์ในนาม แต่โชคร้าย ก่อนที่มันจะเริ่มต้นเรียนรู้จากเจ้าโอสถจอมปีศาจ มันก็ถูกส่งไปยังแคว้นจ้าว และถูกเมิ่งฮ่าวกำจัดไป
หลังจากนั้น มีเพียงคนเดียวที่เจ้าโอสถจอมปีศาจยอมรับเป็นศิษย์ในนามก็คือ ฉู่อวี้เยียน แต่ทักษะในการปรุงยาของนางจริงๆ แล้ว ก็อยู่แค่ในขั้นเจ้าแห่งเตาเท่านั้น นางยังคงค่อนข้างห่างไกลจากเทพกระถางม่วง
เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ที่นั่นอย่างครุ่นคิด มองไปยังจุดแสงแวววับต่างๆ เหล่านั้น หลังจากผ่านไปสักพัก เขาเอื้อมมือไปจับจุดเรืองแสงซึ่งมีข้อมูลของเขาอยู่ รีบจารึกรายละเอียดเพิ่มเติมเข้าไป จากนั้นก็โยนออกไป และรอคอย
ภายในเวลาไม่นานนัก ก่อนที่แนวของแสงจะปรากฎที่เบื้องหน้า
“ท่านมีสหายที่ต้องการเข้าสังกัดแผนกเม็ดยาบูรพาของสำนักจื่อยิ่น และกลายเป็นเด็กฝึกปรุงยาใช่หรือไม่? จำเป็นต้องมีคำแนะนำสำหรับเรื่องนั้น ท่านมีอะไรมาแลกเปลี่ยน?”
ดวงตาเมิ่งฮ่าวส่องประกาย นี่เป็นจุดประสงค์หลักที่เขาเลือกเข้าร่วมประชุมลับในเมืองจื่อเยี่ยแห่งนี้
จากกฎของสำนักจื่อยิ่น เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าสังกัดสำนัก โดยที่ทางสำนักไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าของคนผู้นั้น แต่สำนักใหญ่ก็มีทั้งมังกรและงูดินผสมปนเปกันไป แน่นอนว่า ต้องมีใครบางคนที่ชอบทำลายกฎ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง และปรากฎว่าในการประชุมลับครั้งนี้ ก็มีเจ้าแห่งเตาเข้ามาร่วมด้วย เนื่องจากมีงานประมูลเม็ดยาอยู่ในตอนนี้
ถ้าพืชสมุนไพรสามารถขายเพื่อสร้างกำไรได้ ทำไมถึงไม่ขายตำแหน่งเด็กฝึกปรุงยา? เนื่องจากในสำนักจื่อยิ่น มีเด็กฝึกปรุงยาไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนคน เพิ่มไปแค่หนึ่งคนก็ไม่มีผลใดๆ ทั้งสิ้น
เมิ่งฮ่าวไม่ตอบกลับในทันที เขารอจนธูปไหม้หมดไปสองดอก ไม่มีการตอบรับจากคำร้องขอจากเขาเพิ่มมาอีก ดังนั้นเขาจึงเริ่มต่อรองกับบุคคลที่เพิ่งจะส่งข้อความมาให้ พวกเขายืนยันความถูกต้องของกันและกัน เมิ่งฮ่าวคุ้นเคยกับขั้นตอนนี้อยู่แล้ว
ใช้เวลาไม่นานมากนักสำหรับคนทั้งสองเพื่อบรรลุข้อตกลง เมิ่งฮ่าวนำพืชสมุนไพรบางอย่างที่เขาได้มาจากถ้ำแห่งเซียนของปรมาจารย์เอกะเทวะ มาแลกเปลี่ยนกับตำแหน่งเด็กฝึกปรุงยา เมื่อการซื้อขายเสร็จเรียบร้อย เมิ่งฮ่าวก็มีแผ่นหยกใหม่อีกชิ้นอยู่ในมือ
มันมีสีเขียวเข้ม และมีภาพของกระถางปรุงยาแกะสลักอยู่บนพื้นผิว
ในที่สุด การประชุมลับก็มาถึงจุดสิ้นสุด หมอกจางหายไป ทีละคน ทีละคน ผู้เข้าร่วมต่างก็กลายเป็นลำแสงหายลับไป เมื่อเมิ่งฮ่าวผ่านเข้าไปในแสงทางออก ก็พบว่ากำลังอยู่ตรงมุมที่ห่างไกลของเมืองจื่อเยี่ย เขาก้มหน้าลง และหายไปในความมืดยามราตรี
สามวันหลังจากนั้น ตรงเชิงเขาของสำนักจื่อยิ่น เมิ่งฮ่าวปรากฎตัวขึ้น ยังคงดูเหมือนนักศึกษาอายุประมาณสิบหกถึงสิบเจ็ดปี มีสีหน้ากังวลใจ ขณะที่ยื่นแผ่นหยกสีเขียวเข้มให้กับ บุรุษอ้วนล่ำวัยกลางคนด้วยความเคารพ
บุรุษผู้นั้นสวมชุดนักพรต ไว้เคราบางๆ อยู่ในระดับแปดขั้นรวบรวมลมปราณ มันมองมายังเมิ่งฮ่าว จากนั้นก็มองไปยังแผ่นหยก
“เมื่อเจ้ามีแผ่นหยกแนะนำตัว เจ้าก็สังกัดสำนักจื่อยิ่นในฐานะเด็กฝึกปรุงยาได้ แต่เด็กฝึกปรุงยาทุกคนต้องเดินผ่านสะพานแห่งความจริง รวมถึงเจ้าด้วย วันนี้มีทั้งหมดสามคนที่ต้องการเข้าสำนัก ถ้าใครคนใดปกปิดความจริงไว้ ก็จะพบกับความตายบนสะพานแห่งความจริง” มันโบกสะบัดแขนเสื้อ จากนั้นก็เดินออกไป
เมิ่งฮ่าวเดินตามมันไปตามทางเท้าของภูเขา ซึ่งมีรูปร่างคล้ายกระถางปรุงยา ด้านบนขึ้นไปเป็นรูปปั้นขนาดใหญ่มหึมาของท่านจื่อตงเจินเหริน เมิ่งฮ่าวและบุรุษวัยกลางคนเดินไปสักพัก กระทั่งพวกเขาไปถึงครึ่งทางของภูเขา ข้างหน้าขึ้นไปมีสะพานโซ่ ซึ่งส่ายไปมา เมฆลอยอยู่ด้านบนและข้างล่าง ทำให้มองแทบไม่เห็นภาพของท่านจื่อตงเจินเหริน ด้านหลังของรูปปั้นยักษ์เป็นจุดสูงสุดของภูเขา ล้อมรอบไปด้วยกลุ่มเมฆและสายหมอก
ด้านล่างของสะพานเป็นหุบเหวลึก ถ้าตกลงไปก็หมายถึงต้องตายอย่างแน่นอน สำหรับคนที่ไม่อาจใช้พลังจากพื้นฐานฝึกตนได้
ไม่ไกลมากนักจากสะพานโซ่ ยืนไว้ด้วยผู้ฝึกตนอายุประมาณสามสิบปีสีหน้าว่างเปล่า ด้านหลังมันมีวัยรุ่นสองคน หนึ่งชาย หนึ่งหญิง ซึ่งกำลังมองไปด้วยท่าทางกังวลยังสะพานโซ่นั้น เห็นได้ชัดว่า พวกมันตื่นตระหนกจนหนังศีรษะด้านชา
ผู้ฝึกตนอ้วนล่ำ นำเมิ่งฮ่าวขึ้นมาถึงพวกมัน จากนั้นก็อ้าปากหาว
“พวกเจ้าทั้งสามต้องข้ามสะพานนี้ไป” มันกล่าว “ถ้าจิตใจพวกเจ้าซื่อตรง พวกเจ้าก็จะไปถึงอีกฝั่งได้อย่างปลอดภัย แล้วจะกลายเป็นเด็กฝึกปรุงยาสำนักจื่อยิ่น แต่ถ้าพวกเจ้าคิดไม่ซื่อ เจ้าก็ต้องตาย ตลอดหลายปีมานี้ มีผู้เยาว์มากมายต้องตายไปก่อนที่จะไปถึงอีกฝั่ง” เมื่อพุดจบ มันก็ไม่สนใจเมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆ อีก
ผู้ฝึกตนอีกคนที่มีสีหน้าปราศจากความรู้สึก หลับตาลง
เมิ่งฮ่าวมองไปยังสะพานโซ่ โดยไม่ลังเล เขาเดินตรงไปยังมัน ด้านหลังเขา เด็กหนุ่มกัดฟันแน่น และเดินตามมา
ทันทีที่เมิ่งฮ่าวก้าวเท้าลงไปบนสะพาน มันก็เริ่มแกว่งไปมา เขาสูดลมหายใจลึกๆ ขณะที่เดินไปจากภูเขากระถางยา เมื่อถึงครึ่งทาง สายลมอันรุนแรงก็กรรโชกมา เสียงหวีดหวิวผ่านไป ทำให้สะพานแกว่งมากยิ่งขึ้น ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงถอนหายใจอย่างแผ่วเบาก็ได้ยินมา เสียงนั้นแทงทะลุเข้าไปในหูของเมิ่งฮ่าว และทำให้จิตใจเขาหมุนเคว้งคว้าง
ความคิดที่ทำให้เสียสมาธิ ทันใดนั้น ก็เต็มอยู่ในศีรษะ เต็มไปด้วยข้อมูลเกี่ยวกับเหตุผลหลากหลายที่เขาต้องการเข้าสังกัดสำนักจื่อยิ่น พวกมันพุ่งขึ้นมาเกินกว่าที่เขาจะควบคุมมันได้ ราวกับว่าในตอนนี้ใครก็สามารถอ่านความคิดของเขาได้
ในเวลาเดียวกันนั้น กลิ่นอายพลังของความสามารถในการแปลงร่างของผีโต้ง ทันใดนั้น ก็พุ่งขึ้นมา มันสะกดความคิดเหล่านั้นให้หายไปในทันที ทันใดนั้น เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกถึงสายตาที่มองไม่เห็น จ้องลงมาที่เขาจากรูปปั้นของท่านจื่อตงเจินเหริน กำลังตรวจสอบเขา
จิตใจเขาสั่นสะท้าน ขณะที่ความคิดอื่นถูกสะกดลงไป เขาพยายามอย่างหนักเพื่อคิดเกี่ยวกับความตั้งใจมาเรียนรู้การปรุงยา รวมถึงความปรารถนาอย่างยิ่งยวดที่จะเข้าสังกัดสำนักจื่อยิ่น
สายตาที่มองไม่เห็นกวาดผ่านเมิ่งฮ่าวชั่วลมหายใจเข้าออกสิบครั้ง จากนั้น ก็เคลื่อนที่ไปยังหนุ่มสาวสองคนที่ด้านหลังเขา
เมิ่งฮ่าวเดินต่อไป ใบหน้าซีดขาว ด้านหลังเขา เสียงแผดร้องดังออกมา ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับหญิงสาวเยาว์วัย แต่สำหรับเด็กหนุ่ม มันตกดิ่งลงไปจากสะพานโซ่ในทันที
ทันใดนั้น พลังของขั้นต้นพื้นฐานลมปราณก็พุ่งออกมาจากเด็กหนุ่ม ทันทีที่เป็นเช่นนั้น ร่างของมันก็สั่นสะท้านในทันใด ความหวาดกลัวส่องประกายอยู่ในดวงตา ขณะที่พื้นฐานฝึกตนของมัน ทันใดนั้น ก็หายไป เหมือนกับมนุษย์ธรรมดา มันตกลงไปในหุบเหวลึก
เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และความหวาดกลัว เขามุ่งหน้าต่อไป ขบฟันแน่น สายตานั้นกวาดผ่านเขาไปทั้งหมดเก้าครั้ง แต่ละครั้ง ก็จ้องนิ่งอยู่ที่เขานานออกไปเรื่อยๆ ในที่สุด เขาก็เดินไปถึงรูปปั้นของท่านจื่อตงเจินเหริน ก้าวเท้าไปบนภูเขา ซึ่งเป็นประตูใหญ่ของสำนักจื่อยิ่น เขาทำได้สำเร็จ
ที่เบื้องหน้าเขาเป็นชายชราสวมชุดสีดำ กลิ่นหอมของพืชสมุนไพรเข้มข้นกระจายออกมาจากร่างของมัน
มันมองดูเมิ่งฮ่าวอย่างสงบนิ่งสักพัก จากนั้นก็พยักหน้า โดยทั่วไปแล้ว ถ้าใครมีความลับซ่อนอยู่ในใจ ก็ไม่อาจจะผ่านสะพานแห่งความจริงมาได้ สะพานโซ่ดูเหมือนปกติธรรมดา แต่นี่ก็เป็นวิธีที่แผนกเม็ดยาบูรพาได้ใช้มาหลายปีเพื่อคัดเลือกศิษย์ ถ้าใครผ่านการทดสอบนี้ได้ ก็จะสามารถเข้าสังกัดสำนัก
“แจ้งนามของเจ้ามา”
“ฟางมู่” เมิ่งฮ่าวตอบ ประสานมือด้วยความกังวล
“ข้าคือผู้ดูแลเขตสมุนไพร แผนกเม็ดยาบูรพา, ฉือเฉิน” ชายชรากล่าวเสียงราบเรียบ “และข้าก็เป็นผู้ดูแลเด็กฝึกปรุงยาใหม่ด้วย เจ้าโชคดีมากที่สามารถเข้าสังกัดแผนกเม็ดยาบูรพาสำนักจื่อยิ่น เด็กฝึกปรุงยาเป็นพื้นฐานของแผนกเม็ดยาบูรพา เจ้าแห่งเตาทุกคน ถูกเลื่อนขึ้นมาจากอาจารย์ปรุงยา ซึ่งแน่นอนว่าอาจารย์ปรุงยาทุกคน ต่างก็เริ่มต้นจากเด็กฝึกปรุงยา ในวันข้างหน้า บางทีเจ้าอาจจะกลายเป็นเจ้าแห่งเตาเป็นที่นับถือของทุกคน ซึ่งก็ขึ้นกับโชคและพรสวรรค์ของเจ้าเอง”
หญิงสาวเยาว์วัย ในที่สุด ก็เดินจากสะพานเข้ามาใกล้ นางตัวสั่นใบหน้าซีดขาว ขณะที่มายืนอยู่ข้างเมิ่งฮ่าว
“ไปกันเถอะ เมื่อมาถึงจุดนี้ พวกเจ้าก็สามารถเรียกที่นี่ว่าบ้านได้แล้วในตอนนี้” ชายชรายิ้มอย่างมีเมตตา จากนั้นก็โบกสะบัดแขนเสื้อ สายลมอันอ่อนโยนก็นำเมิ่งฮ่าว และหญิงสาวเยาว์วัย รวมถึงชายชราลอยออกไปยังสถานที่อีกแห่ง
สายลมนำพาพวกเขาลอยไปตามทางรอบๆ ภูเขาราวงูเลื้อย เมื่อมองไปรอบๆ เมิ่งฮ่าวเห็นแต่ภูเขาที่ทอดยาวเป็นลูกโซ่ไร้ที่สิ้นสุด รวมถึงหุบเขาที่เต็มไปด้วย อาคารบ้านเรือนที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ภาพทั้งหมดนี้รวมเข้าด้วยกันเหมือนอยู่ในสรวงสวรรค์
“สถานที่นี้…” เมิ่งฮ่าวคิด “ก็คือสำนักที่ฟางมู่จะอาศัยอยู่ไปอีกนาน…” ดวงตาเขาสาดประกายเจิดจ้า ขณะที่มองไปยังภาพทั้งหลายเหล่านั้น
ทันใดนั้น, ความแปลกใจก็เต็มอยู่ในดวงตา เขาเพิ่งจะสังเกตว่า ในหุบเขาหนึ่ง ตรงพื้นที่ว่างระหว่างอาคารบ้านเรือน มีหอกเหล็กปักอยู่ที่ด้านข้างของภูเขา
หอกเหล็กนั้นดูคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง…