ในที่สุดชายชราก็นำเมิ่งฮ่าว และหญิงสาวเยาว์วัยไปยังจุดหมายของพวกเขา มันเป็นหุบเขาที่กว้างใหญ่ เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างต่างๆ มากมาย ที่ห่างไกลออกไปเป็นพื้นที่ สำหรับใช้เพาะปลูกพืชสมุนไพร ทันทีที่พวกเขามาถึง เมิ่งฮ่าวก็ได้กลิ่นหอมลอยมาตามลม
มีผู้คนอายุเยาว์มากมายในหุบเขา ทุกคนสวมใส่เสื้อแขนสั้นสีเหลืองอ่อน บางคนก็กำลังเก็บสมุนไพร และบางคนก็กำลังครุ่นคิดขณะที่ศึกษาข้อมูลบนแผ่นหยก บางคนก็นั่งอยู่ใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น มองไปยังต้นสมุนไพรที่ถืออยู่ในมือ ต้นสมุนไพรนั้นแกว่งไหวไปมาดูแปลกประหลาดตาเป็นอย่างมาก
หลังจากร่อนลงพื้น ชายชราก็โบกสะบัดแขนเสื้อ และตะโกนว่า “ไป๋หยุนหลาย!” กลุ่มคนเยาว์วัยที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมดต่างก็มองขึ้นมา เมื่อมองเห็นชายชรา ใบหน้าพวกมันก็เต็มไปด้วยความนับถือ และพวกมันก็คารวะด้วยการประสานมือ
บุรุษรูปร่างมาตรฐานทั่วไป วิ่งออกมาจากหนึ่งในกลุ่มบ้านบริเวณนั้น และเข้ามาใกล้พวกเขา มันมีอายุประมาณสามสิบปี
“ท่านอาจารย์ฉือ, ข้าอยู่นี่” มันกล่าวด้วยน้ำเสียงประจบ “ท่านมีคำสั่งอันใด? ข้าจะช่วยท่านทำทุกอย่าง”
ชายชราจ้องไปที่มัน “นี่คือเด็กฝึกปรุงยาใหม่สองคน เพิ่งจะเข้าสังกัดสำนัก อธิบายสิ่งต่างๆ ให้กับพวกมัน และนำพวกมันไปรับเหรียญกษาปณ์” เมื่อพูดจบชายชราก็หันกลับมามองเมิ่งฮ่าว และหญิงสาวเยาว์วัย มันพยักหน้าให้กำลังใจ จากนั้นก็กลายเป็นลำแสง พุ่งหายลับตาไป
เมื่อชายชราจากไป กลุ่มคนเยาว์วัยเหล่านั้นก็ไม่สนใจเมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆ พวกมันต่างก็ทำงานของตัวเองต่อไป ดูไม่ออกว่าพวกมันมีความรู้สึกดี หรือเลวต่อเมิ่งฮ่าว สีหน้าของพวกมันเรียบเฉยกันทุกคน
เมิ่งฮ่าวคุ้นเคยกับการแสดงออกในสำนักเช่นนี้ ชีวิตในสำนักเอกะเทวะก็ไม่แตกต่างไปจากนี้มากนัก นี่เป็นสำนักแห่งที่สองซึ่งเขาเข้าสังกัดในตอนนี้ เขาแอบถอนหายใจอยู่ภายในลึกๆ
หญิงสาวเยาว์วัยด้านข้างเขา ประสานมือให้กับไป๋หยุนหลาย และกล่าวว่า “ขอคารวะ, ศิษย์พี่ไป๋”
“เฮ, ไม่มีผู้อาวุโสในที่นี้ ไม่จำเป็นต้องคารวะ” ไป๋หยุนหลายหัวเราะเสียงดัง มองกลับไปกลับมาระหว่างเมิ่งฮ่าว และหญิงสาวเยาว์วัย “พวกเจ้าทั้งสองเพิ่งจะมาถึง เด็กฝึกปรุงยาในสำนักส่วนมากจะยุ่งอยู่กับงานประมูลเม็ดยา จึงเหลือคนอยู่ไม่มากนัก แต่พวกเจ้าไม่ต้องกังวล เมื่อมีเหล่าไป๋ (ผู้ชราแซ่ไป๋) อยู่ที่นี้ พวกเจ้าก็จะคุ้นเคยกับที่นีอย่างรวดเร็ว มา มา พวกเราไปเดินเล่นกันเล็กน้อย ข้าจะแนะนำสถานที่แห่งนี้ให้กับพวกเจ้า” หลังจากสอบถามชื่อเสียงเรียงนามของคนทั้งสอง ไป๋หยุนหลาย ก็นำพวกเขาเดินไปรอบๆ บริเวณนั้น
“ถ้าพวกเจ้าต้องการให้พูดถึงแผนกเม็ดยาบูรพาของสำนักจื่อยิ่น อืม, นั่นเป็นหัวข้อที่ใหญ่มาก มีหุบเขาไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยที่เหมือนกับที่นี่ แต่ละหุบเขาก็เป็นบ้านของเด็กฝึกปรุงยาเกือบหนึ่งพันคน เวลาส่วนใหญ่ของพวกเราก็ใช้ในการปลูกต้นสมุนไพร จดจำชื่อของเม็ดยาต่างๆ และเก็บเกี่ยวสมุนไพรเป็นครั้งคราว พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า ใครในดินแดนด้านใต้ที่เหนือยยากมากที่สุด? พวกเราเอง เด็กฝึกปรุงยาสำนักจื่อยิ่น!”
“เด็กฝึกปรุงยาหนึ่งแสนคน แต่ละคนก็มีงานของตัวเองที่ต้องทำ จริงๆ แล้ว พวกเราต้องเข้าร่วมกิจกรรมมากมายที่แตกต่างกันทั้งหมด พวกเราจำเป็นต้องจดจำชื่อของสมุนไพรมากกว่าหนึ่งแสนต้น ต้องดูแลสมุนไพรให้เติบโตเป็นอย่างดี รวมถึงต้องหาเวลาในการฝึกวิถีเซียน ถ้าพวกเราไม่ทำเช่นนั้น พวกเราก็ไม่อาจจะเร่งปฏิกิริยาให้ต้นสมุนไพรเติบโตขึ้นมาได้ สำหรับพวกเจ้าทั้งสอง อืม ก็คงจะเรียนรู้ทั้งหมดนี้ได้ในไม่ช้า”
“พวกเราเด็กฝึกปรุงยาเป็นผู้รับใช้อย่างแท้จริง แต่ถ้าพวกเจ้าโดดเด่นเหมือนกับสว่านที่แทงทะลุกระสอบออกมา และมีความแตกต่างจากคนอื่นๆ ก็จะมีโอกาสกลายเป็นอาจารย์ปรุงยา และได้เรียนรู้การปรุงยาที่แท้จริง จากนั้นศิษย์สายในก็จะมาขอให้เจ้าช่วยปรุงยาให้ ตามกฎของสำนัก พวกมันต้องจ่ายค่าตอบแทนให้ เมื่อพวกเราปรุงเม็ดยาให้กับพวกมัน ถ้าเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น มันก็จะเป็นวันที่ดีตลอดไปของพวกเจ้า”
“โชคร้ายที่มีเด็กฝึกปรุงยาถึงหนึ่งแสนคน เจ้าคิดว่าจะกลายเป็นอาจารย์ปรุงยาได้สักกี่คน? ทั่วทั้งสำนักมีเพียงหนึ่งพันคนเท่านั้น! มันช่างยากเย็นยิ่งยัก!”
ไป๋หยุนหลาย พูดอย่างรวดเร็ว ขณะที่นำเมิ่งฮ่าว และหญิงสาวเยาว์วัยเดินผ่านหุบเขาต่างๆ
“เห็นนี่หรือไม่? นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ ซึ่งมีเพียงอาจารย์ปรุงยาเท่านั้น ถึงจะเข้าไปได้ พวกเราไม่อาจเข้าไป…” พวกเขาเดินต่อไป “บริเวณนี้เป็นของแผนกลมปราณม่วง แต่ไม่ได้เป็นเขตของสำนักสายใน เป็นเพียงเขตของสำนักสายนอก” ไป๋หยุนหลายนำคนทั้งสองไปยังหุบเขาหนึ่ง ตรงด้านหน้าของสำนัก ที่แห่งนี้มีผู้ฝึกตนของแผนกลมปราณม่วงอยู่หลายคน เมื่อพวกมันมองเห็นไป๋หยุนหลาย ท่าทางมีมารยาทก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้า ดูเหมือนไป๋หยุนหลายจะค่อนข้างเป็นผู้มีอิทธิพลในสำนัก
เมิ่งฮ่าวกระแอมไอ จากนั้นก็กล่าวประจบต่อไป๋หยุนหลาย ซึ่งดูมีความสุขเป็นอย่างมากในทันที “เจ้ารู้หรือไม่ ข้ารู้เรื่องราวเกือบทั้งหมดในสำนัก และมีเรื่องน้อยมากที่ข้าไม่อาจจัดการได้ ศิษย์น้องฟาง ถ้าเจ้ามีปัญหาใดๆ ในวันข้างหน้า แค่เจ้ามาหาข้า ข้าก็จะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเจ้าเอง”
ทันใดนั้น ไป๋หยุนหลายหยุดลง ชี้มือตรงไปยังจุดศูนย์กลางของหุบเขา ที่ซึ่งมีหอกเหล็กปักอยู่ที่ด้านข้างของภูเขา หอกนั้นโค้งงอ และเมื่อตากลมตากฝนอยู่ตลอดเวลา ทำให้หอกนั้นเต็มไปด้วยสนิม
ไป๋หยุนหลายมองไปรอบๆ จากน้นก็พูดเสียงแผ่วเบา “พวกเจ้าเห็นหอกเหล็กนั้นหรือไม่? มีเรื่องราวอยู่เบื้องหลังมัน”
สีหน้าแปลกๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้าเมิ่งฮ่าว เขาสังเกตเห็นหุบเขานี้ เมื่อลอยผ่านไปก่อนหน้านี้ เขามองไปยังหอกเล่มนั้น ส่งเสียงไอออกมาเบาๆ และแสร้งทำท่าสนใจอย่างมากมาย
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนนำหอกมาปักไว้ที่นั่น? มันก็คือ อู๋ติงชิวผู้อาวุโส กล่าวกันว่า เมื่อสิบปีที่แล้ว ในคืนเดือนมืดและลมฝนโหมกระหน่ำ ผู้อาวุโสอู๋กลับมายังสำนักด้วยโทสะอันน่ากลัว พร้อมกับมีหอกอยู่ในมือ ท่านขว้างมันออกไปด้วยพลังทั้งหมด และมันก็ปักอยู่ที่นั่น!”
“จากข่าวลือในปีนั้น ท่านต้องการให้ศิษย์สายนอกทั้งหมด จดจำความอัปยศที่เกิดจากหอกเล่มนั้น ท่านกล่าวว่า ‘พวกเจ้าโง่เขลาจนน่าตาย! ถ้าพวกเจ้ายังคงโง่เง่าอยู่เช่นนี้ ก็คงได้ตายจริงๆ ในสักวันหนึ่ง!’” เสียงของไป๋หยุนหลายเบามากขณะที่พูดออกมา และดูร่างเริงเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาของหญิงสาวเยาว์วัยเบิกกว้างขณะที่นางรับฟัง
เมิ่งฮ่าวส่งเสียงไอออกมาเบาๆ อีกครั้ง
“หอกเล่มนั้นมาจากไหน?” หญิงสาวเยาว์วัยถาม
“มันมาจากไหน? ฮิ ฮิ เจ้าคงไม่อยากจะเชื่อ จากตำนานที่เล่าต่อกันมาเมื่อสิบปีก่อน กลุ่มศิษย์สายนอกได้ไปเข้าร่วมการทดสอบเพื่อเลื่อนขั้นเป็นศิษยสายใน ซึ่งถูกจัดขึ้นในสถานที่ ที่อันตรายเป็นอย่างมาก เป็นที่ซึ่งพวกมันได้พบกับบุรุษผู้ชั่วร้ายเลวทราม สุดท้ายบุรุษผู้นั้นได้ขายหอกเหล็กให้กับศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดสองคนไป!”
“ราคาที่พวกมันจ่าย ทำให้พวกมันต้องล้มละลายยากจนลง พวกมันยังได้ยืมหินลมปราณจากศิษย์คนอื่นๆ เพื่อซื้อหอกเล่มนั้น พวกมันคิดว่ามันเป็นของวิเศษอันล้ำค่า นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมพวกมันถึงได้ซื้อมา อ้าย, แต่มันก็ไม่ใช่ จนกระทั่งไม่กีปีมานี้ พวกมันถึงได้จ่ายหินลมปราณคืนให้กับคนอื่นๆ ได้หมด แต่เมื่ออู๋ติงชิวทราบเรื่อง ท่านก็รู้สึกว่ามันเป็นความอัปยศอย่างสูงสุด และท่านก็เป็นผู้นำของคนกลุ่มนั้น! พวกเจ้าสองคนคิดว่าอย่างไร บุรุษผู้นั้นน่ารังเกียจหรือไม่?”
หญิงสาววัยเยาว์รับฟังไป ปากก็อ้าตาก็ค้างไปด้วย นางมองไปยังหอกเหล็กเล่มนั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไรมันก็ดูเหมือนหอกเหล็กธรรมดาอยู่ดี นางไม่เข้าใจว่าทำไมศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดสองคน ถึงได้ยอมเสียเงินมากมายเพื่อซื้อมัน
เมิ่งฮ่าวรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย จากนั้นเขาก็สังเกตว่า ไป๋หยุนหลายกำลังมองมาที่เขา ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “คนผู้นั้นช่างน่ารังเกียจเป็นอย่างยิ่ง เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนโกรธเคืองเป็นฟืนเป็นไฟอย่างแท้จริง!” อันที่จริง หลังจากที่ได้พบกับเชียนสุ่ยเหิน และหลู่ซ่งอีกครั้งในตระกูลซ่ง เขาก็เดาได้ว่าเรื่องราวในปีนั้น ได้ทำให้คนทั้งสองพบเจอกับสถานการณ์ที่เลวร้ายในสำนัก ซึ่งมีผลต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ จริงๆ แล้ว มันมีผลทั่วทั้งสำนักจื่อยิ่น ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกผิดกับเชียนสุ่ยเหิน และหลู่ซ่ง และตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไม พวกมันถึงได้กัดฟันอย่างมีโทสะ เมื่อเจอกันในตระกูลซ่ง
ไป๋หยุนหลายถอนหายใจ และส่ายหน้า “หอกอยู่ที่นี่เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้กับศิษยสายนอกสำนักจื่อยิ่นทั้งหมด ทำให้พวกมันไม่เคยลืมเรื่องราวในครั้งนั้น…”
“ใครเป็นคนขายหอกนี้ให้กับพวกมัน?” หญิงสาวเยาว์วัยถาม ด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น
“นามของมันก็คือ เมิ่งฮ่าว” ไป๋หยุนหลายกล่าวเสียงแผ่วเบา “พวกเจ้าเคยได้ยินนามนี้หรือไม่? เมื่อเร็วๆ นี้ ทุกคนในดินแดนด้านใต้ได้พุดคุยเกี่ยวกับเรื่องของมัน เมื่อตระกูลซ่งคัดเลือกบุตรเขย มันได้แสดงตัวว่าเป็นผู้สืบทอดคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ มันเป็นบุคคลเดียวกันกับผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องราวอันอื้อฉาวของฉู่อวี้เยียน”
“เมิ่งฮ่าว?” หญิงสาวเยาว์วัยกล่าว อ้าปากค้าง
“เงียบ!” ไป่หยุนหลายรีบพูด “นั่นเป็นนามต้องห้ามในสำนักจื่อยิ่น! ไม่มีใครกล้าพูดออกมาเสียงดัง…”
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ด้านข้าง ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก เขากระแอมไออย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้น ก็รู้สึกว่าการมายังสำนักจื่อยิ่นนี้ อาจจะไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีที่สุด
เวลานี้เองที่ใบหน้าของเขา ทันใดนั้น ก็เปลี่ยนไป เขาเพิ่งจะมองเห็นลำแสงพุ่งเข้ามาจากที่ห่างไกล กลายมาเป็นบุรุษหนุ่มสีหน้าน่ากลัว จ้องไปยังไป๋หยุนหลายอย่างดุร้าย นี่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก…เชียนสุ่ยเหิน
“ไป๋หยุนหลาย เจ้ามาทำอะไรแถวนี้?! ทำไมยังไม่รีบจากไปอีก!?”
ไป๋หยุนหลาย ทันใดนั้น ก็ตัวสั่น และสีหน้าประจบก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้า
“ศิษย์พี่เชียน, ข้าแค่พาเด็กฝึกปรุงยาสองคนนี้มาดูรอบๆ สำนัก พวกเรากำลังจะไปแล้ว กำลังไป” จากนั้น มันก็คว้าเมิ่งฮ่าวและหญิงสาววัยย์เยา เร่งรีบนำพวกเขาจากไป
“เห็นหรือไม่? นั่นคือหนึ่งในสองของผู้ที่นำหอกมาในปีนั้น ในวันข้างหน้า ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม พวกเจ้าต้องไม่เอ่ยนาม เมิ่งฮ่าว ต่อหน้ามัน ถ้าพวกเจ้าพูดออกมา มันก็จะบินมาด้วยโทสะอันรุนแรง” มันยังคงตักเตือนอย่างจริงจังต่อไป “ยิ่งกว่านั้น ถ้าพวกเจ้าทั้งสองออกจากสำนักเพื่อไปฝึกหาประสบการณ์ในอนาคต พวกเจ้าต้องระวังตัวให้มากไว้ ถ้าได้ไปพบเจอกับเมิ่งฮ่าว เล่ห์เหลี่ยมของมันเป็นที่รู้กันว่าลึกล้ำจนไร้ที่สิ้นสุด!”
หญิงสาวเยาว์วัยดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ แต่นางก็รีบพยักหน้า เห็นได้ชัดว่า นางได้จดจำคำเตือนนี้ไว้ในส่วนลึกของจิตใจ แต่ภายในใจเมิ่งฮ่าว ต้องหัวเราะด้วยความขมขื่นออกมา ตอนนี้เขารู้แล้วว่า ทำไมพวกมันถึงได้ดูท่าทางระมัดระวังตัว ตอนอยู่ในตระกูลซ่ง เมื่อพวกมันได้ยินชื่อของเขา ถึงแม้เขาจะไม่รู้จักพวกมันก็ตามที
“จำไว้” ไป๋หยุนหลายย้ำ “เมิ่งฮ่าว เป็นคำต้องห้ามในสำนักพวกเรา อย่าได้ลืม! อืม ตอนนี้พวกเราต้องไปรับเหรียญกษาปณ์แสดงตัวตน และจัดเตรียมที่พักอาศัยของพวกเจ้า” ในตอนนี้เองก็เห็นได้ชัดว่า เด็กหญิงมองมายังเมิ่งฮ่าวเหมือนกับเขาเป็นพยัคฆ์ที่ดุร้ายดูน่ากลัว เมิ่งฮ่าวได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่นอยู่ภายใน ขณะที่ไป๋หยุนหลายนำพวกเขาจากไป
ในที่สุด คนทั้งสามก็มาถึงหุบเขาที่ค่อนข้างกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยฝูงชน
“ก่อนที่พวกเจ้าจะมาเข้าสังกัดสำนักจื่อยิ่น พวกเจ้าคงมาจากตระกูลผู้ฝึกตนท้องถิ่น พวกเจ้าคงจะรู้ว่า พวกเราทั้งหมดมีข้อจำกัดของพื้นฐานฝึกตน เมื่อเป็นเด็กฝึกปรุงยา พวกเจ้าต้องฝึกอย่างตั้งใจสำหรับวิชาแรกของการปรุงยา”
“วิชานี้เรียกว่า วิญญาณเมฆาม่วง ด้วยวิชานี้ พวกเจ้าจะสามารถปลูกสมุนไพรด้วยพลังลมปราณ และเร่งปฏิกิริยามันอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับอายุของสมุนไพรต้นนั้นๆ ขึ้นกับทักษะ และธรรมชาติพื้นฐานฝึกตนของพวกเจ้า การเร่งปฏิกิริยาที่แตกต่างกัน ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ต่างกันออกไป”
มีอยู่หลายร้อยคนในที่นี้ ทั้งหมดนั่งขัดสมาธิ กำลังมองดูต้นสมุนไพรที่ส่ายไปมาอยู่ในมือของพวกมัน ตรงด้านหน้าเป็นบุรุษวัยกลางคนใบหน้าเคร่งขรึม กำลังบรรยายวิชาปรุงยาบางอย่างอยู่ มันยกมือขึ้น ในมือเป็นต้นสมุนไพรที่กำลังเติบโต เพียงชั่วพริบตา ต้นสมุนไพรนั้นก็โตขึ้นสองฉื่อ (1 ฉื่อ ประมาณ 23 เซนติเมตร)
เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ เพ่งความสนใจเป็นพิเศษไปที่ต้นสมุนไพรในมือของบุรุษวัยกลางคน ดวงตาของเขาส่องประกายด้วยแสงแปลกๆ ออกมา ไป๋หยุนหลายนำพวกเขาไปยังจุดศูนย์กลางของหุบเขา ที่ซึ่งมีชายชราในชุดสีเทานั่งหลับตา ดูเหมือนมันกำลังหลับอยู่ ยากที่จะบอกว่าพื้นฐานฝึกตนของมันอยู่ระดับใด ดูเหมือนไป๋หยุนหลายจะทำอยู่เป็นประจำ มันเดินตรงไปที่ชายชรา หยิบเหรียญกษาปณ์มาสองเหรียญ และหยิบเอาถุงสมบัติมาจากด้านข้างของชายชรา จากนั้นก็หยิบแผ่นหยกสีม่วงมาสองแผ่น ยื่นส่งให้กับเมิ่งฮ่าว และหญิงสาวเยาว์วัย
“ลองดู” มันพูดเสียงเคร่งขรึม ขณะที่คนทั้งสองมองดูแผ่นหยกนั้น “วิชานี้ง่ายมาก พวกเจ้าน่าจะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว จากนั้น ก็จะมีโอกาสลองเร่งปฏิกิริยาได้เป็นครั้งแรก นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก มันจะแสดงถึงความสามารถต่อการปรุงยาของพวกเจ้า และพวกเราต้องบันทึกผลลัพธ์นั้นไว้”