ผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งจากตระกูลหวัง หันหน้ามาและจ้องไปยังซ่งเหล่าไกว้ เมิ่งฮ่าวเดินตรงไปยังหวังเถิงเฟยที่ถอยหนีต่อไป เขายกมือขึ้น และคว้าจับไปที่นิ้วชี้ของหวังเถิงเฟย
“นี่เป็นนิ้วที่ทำให้ข้าเกือบถูกทำลายไปในครั้งนั้น” เขาพูดเสียงราบเรียบ ดวงตาหวังเถิงเฟยแวบความเกลียดชัง และความยินดีอย่างน่าแปลกใจออกมา
มันได้พัฒนาดรรชนีโลหิตนี้ด้วยค่าตอบแทนที่มหาศาล มันสามารถสร้างนิ้วใหม่ที่ปกติธรรมดาได้ แต่มันยอมอดทนต่อความเจ็บปวดด้วยความพากเพียร เพื่อจะเพราะสร้างให้เป็นดรรชนีโลหิตขึ้น
ในความคาดคิดของมัน ดรรชนีนี้จะมีการเปลี่ยนแปลง มันได้ข้อสรุปนี้จากการรู้แจ้งที่แวบขึ้นมา มันต้องเปลี่ยนความพ่ายแพ้ของมันให้กลายเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่
ความเจ็บปวดนั้น ทำให้มันต้องทุกข์ทรมานอย่างมากมาย แต่มันก็ได้อดทนและสร้างดรรชนีพิษขึ้นมา ซึ่งคล้ายกับของวิเศษที่ล้ำค่าส่วนตัวของมันเอง
หวังเถิงเฟยรู้ว่า ผู้คนทั้งหมดต่างก็ต้องอดทนต่อความพ่ายแพ้ในชีวิตของพวกมัน แต่การเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้กลายเป็นของวิเศษ ก็ทำให้ชีวิตช่างน่ายกย่องอย่างแท้จริง
บางทีความคิดมันอาจจะถูก แต่บางครั้งโชคชะตาก็ช่างโหดร้ายนัก ที่วันนี้…มันได้พบกับเมิ่งฮ่าว
มีบางอย่างที่เมิ่งฮ่าวไม่รู้ว่าจะชอบมันดีหรือไม่ ดอกปี่อ้านสามสีไม่เพียงทำให้เขา มีภูมิคุ้มกันต่อพิษอื่นๆ ทั้งหมด มันยังทำให้ร่างของเขาเป็นพิษอย่างร้ายแรงอีกด้วย
เมื่อหวังเถิงเฟยเห็นเมิ่งฮ่าวจับดรรชนีพิษของมันขึ้นมา มันก็เริ่มหัวเราะออกมา เป็นเสียงหัวเราะที่มีทั้งความเกลียดชัง และความดีใจอย่างไร้กังวลใดๆ มันจินตนาการไปว่า ในช่วงเวลาอีกไม่นาน เมิ่งฮ่าวก็จะแห้งเหี่ยว และจากนั้นก็กลายเป็นน้ำเลือดไป
แต่ในขณะที่เสียงหัวเราะของมัน เพิ่งจะเริ่มดังออกมา ก็ต้องหยุดลงในทันที ความไม่อยากจะเชื่อปรากฎขึ้นบนใบหน้าของมัน นิ้วชี้ของมันหายไปภายในมือของเมิ่งฮ่าว และจากนั้น แค่ไม่กี่อึดใจ เสียงปะทุก็ได้ยินออกมา หมอกสีดำซึ่งดูเหมือนจะยอดเยี่ยม ก็เริ่มสั่นสะท้าน ราวกับว่ามันไม่กล้าจะเข้าไปใกล้เมิ่งฮ่าว
เมิ่งฮ่าวปล่อยมือที่จับไว้ ตลอดร่างของหวังเถิงเฟยก็สั่นสะท้าน และโลหิตก็กระจายออกมาจากปากของมัน มันเดินโซเซถอยไปด้านหลัง จ้องไปอย่างงงงันยังความว่างเปล่าที่เคยมีนิ้วชี้อยู่ ทันใดนั้น มันก็คิดกลับไปยังภาพจากเจ็ดหรือแปดปีมาแล้ว เมื่อมันได้พ่ายแพ้ไป มันคิดอยู่เสมอว่ามันเป็นผู้ถูกเลือก และศัตรูของมันก็เป็นเพียงแค่แมลงตัวเล็กๆ ความพ่ายแพ้ในตอนนั้นเป็นอุบัติเหตุ และตอนนี้มันก็บรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณ ศัตรูของมันต้องต่ำชั้นกว่ามันมากนัก
แต่วันนี้…
“เจ้าพูดถูก, เจ้ากับข้า ไม่คู่ควรเป็นศัตรูกัน” เมิ่งฮ่าวพูดอย่างเฉยชา เขามีความเขินอายเหมือนเช่นเคยเล็กน้อย ขณะที่มองไปยังหวังเถิงเฟยที่มีใบหน้าซีดขาว “คำว่าศัตรูมีความหมายเป็นอย่างยิ่ง พวกเราไม่เหมาะสำหรับความสัมพันธ์เช่นนั้น” เขาไม่ได้สนใจต้องการสังหารหวังเถิงเฟย ไม่ใช่ว่าการสังหารมันไม่มีค่าเพียงพอ แต่การสังหารมันภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อาจจะทำให้เกิดเหตุแทรกซ้อนได้
สิ่งสำคัญที่สุดในทั้งหมดนี้ก็คือ เมิ่งฮ่าวดูเหมือนจะจบลงด้วย การได้ครอบครองสิ่งของที่เคยเป็นของหวังเถิงเฟยอยู่เสมอมา ทำให้เขาเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้น ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าความต้องการสังหารมันของเขาได้ลดน้อยลงไปอย่างมาก
ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆ ตัวคนทั้งสองตกอยู่ในความเงียบ สตรีที่มองไม่เห็นกำลังมองไปยังเมิ่งฮ่าวอย่างอ่อนโยน รอยยิ้มปรากฎขึ้นบนใบหน้าของนาง และเมื่อนางเห็นเมิ่งฮ่าวทำลายดรรชนีพิษนั้นไป สายตานั้นก็เปลี่ยนเป็นการมองด้วยความรักความเอ็นดู
เมื่อได้เห็นเมิ่งฮ่าวยิ้มอย่างเขินอาย สตรีนางนั้นก็หัวเราะออกมา และส่ายหน้า ความรักความเอ็นดูนั้นยิ่งมีมากขึ้น
“เจ้าเด็กคนนี้มักจะชอบแสดงสีหน้าเช่นนั้น…” สตรีนางนั้นพูดอย่างเงียบๆ “ทำให้เด็กผู้หญิงต้องชอบมันอย่างช่วยไม่ได้” นางชำเลืองมองไปยังหานเป้ย และจากนั้นก็หลี่ชือฉี ราวกับว่านางกำลังวิเคราะห์ว่าที่บุตรีสะใภ้
“สายโลหิตตระกูลหาน…ยังไม่ได้มาตรฐานพอ ต้องไม่ใช่นาง สำหรับอีกคน…ดูเหมือนจะน่าสนใจ อย่างน้อยนางก็แข็งแกร่งเพียงพอ”
เมิ่งฮ่าวยิ้มอย่างเขินอาย กลับไปยืนยังด้านข้างเฉินฟ่าน เจ้าอ้วนวิ่งเข้ามา ขยิบตาให้กับเมิ่งฮ่าว
หวังเถิงเฟย ใบหน้าซีดขาว กลับไปหาหวังซีฟ่านอย่างไร้คำพูด มันหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา ดูเหมือนหมดกำลังใจที่จะต่อสู้ หวังซีฟ่านไม่พูดจา มองไปยังเมิ่งฮ่าว ดวงตาเปล่งรังสีสังหารออกมา
เมิ่งฮ่าวมองไป ประสานสายตากับหวังซีฟ่าน เมื่อคนทั้งสองจ้องตากัน เมิ่งฮ่าวก็คิดย้อนกลับไปในปีนั้น เมื่อเขานั่งอยู่บนภูเขาตะวันออกในสำนักเอกะเทวะ วันนี้ เขาไม่ใช่คนที่หวังซีฟ่านจะสามารถสังหารด้วยการมองเพียงแค่ครั้งเดียวอีกต่อไป
“ข้าอยากรู้นักว่า ข้าจะสามารถต่อสู้กับขั้นสร้างแกนลมปราณได้หรือไม่ หลังจากที่ข้าสร้างเสาแห่งเต๋าต้นที่เก้าได้แล้ว!?” เขาได้สงสัยเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว หลังจากที่ได้เห็นพลังอันน่าเหลือเชื่อของเสาแห่งเต๋าที่สมบูรณ์ของตัวเอง มันทำให้เขารู้สึกอยากมีแกนลมปราณที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เขายังต้องการจะรู้จริงๆ ว่า จะสามารถต่อสู้กับขั้นสร้างแกนลมปราณ ในขณะที่เขายังคงอยู่ในขั้นพื้นฐานลมปราณได้หรือไม่!
เขาไม่ค่อยมั่นใจนัก แต่ในวันนี้ หวังซีฟ่านเป็นอีกคนหนึ่ง ที่เมิ่งฮ่าวต้องการสังหารให้จงได้
เมื่อได้เห็นความเย็นเยียบในดวงตาเมิ่งฮ่าว รังสีสังหารของหวังซีฟ่านก็เพิ่มความรุนแรงมากขึ้น มันรู้สึกว่า ถ้ามันไม่สังหารเมิ่งฮ่าวในตอนนี้ มันก็คงต้องเสียโอกาสที่จะทำเช่นนั้นตลอดไป
“ความก้าวหน้าของเจ้าเมิ่งฮ่าวผู้นี้ช่างรวดเร็วนัก…” หวังซีฟ่านต้องยอมรับ เมื่อมองไปยังเมิ่งฮ่าว
ในเวลานี้เองที่เสียงระฆังได้ดังออกมา กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง ทันใดนั้น ลำแสงหลากสีก็เต็มอยู่ในท้องฟ้า ตลอดทั้งตระกูลซ่งได้เปลี่ยนจากเวลากลางคืน กลายเป็นตอนเช้า
ในโลกด้านนอก เป็นยามราตรีในตอนนี้ เมื่อการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้น พลังลมปราณที่อยู่ภายในตระกูลซ่ง ทันใดนั้น ก็เพิ่มความเข้มข้นขึ้น แต่นอกจากสมาชิกตระกูลซ่งแล้ว ไม่มีใครสามารถดูดซับมันผ่านการหายใจเข้าไปได้ ยกเว้น…เมิ่งฮ่าว ดวงตาของเขาสาดประกาย จริงๆ แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดๆ เพื่อดูดซับพลังลมปราณนั้น มันซึมเข้าไปในร่างเขาเองทีละเส้นใยลมปราณ ค่อยๆ เติมเข้าไปในเสาแห่งเต๋าต้นที่สี่ของเขาอย่างช้าๆ นอกจากนั้น ยังได้เริ่มฟื้นฟูเสาแห่งเต๋าที่ว่างเปล่าใกล้กับต้นที่สี่ ทำให้รูปร่างของเสาต้นที่ห้าเริ่มปรากฎออกมา
แน่นอนว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างเสาแห่งเต๋าต้นที่ห้าจนเสร็จสมบูรณ์ มันไม่มีทางเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้ บางที ถ้าเขาอยู่ในตระกูลซ่งไปนานๆ มันก็อาจจะเป็นไปได้
เสียงระฆังดังออกมา ดวงจันทร์ และดวงตะวัน ก็สับเปลี่ยนตำแหน่งกัน เมื่อกลางวัน และกลางคืนรวมเข้าด้วยกัน แสงหลากสีก็ปรากฎขึ้นในอากาศ ทันใดนั้น เงาร่างสามสายก็โผล่ออกมาจากแสงเรืองรองนั้น
เมื่อเกิดขึ้นเช่นนี้ สมาชิกตระกูลซ่งมากมาย ก็มองขึ้นไปยังแสงหลากสีด้วยความเลื่อมใส ทำให้ผู้ฝึกตนจากสำนักและตระกูลอื่นๆ ต้องมองขึ้นไปเช่นเดียวกัน
เงาร่างสามสายนั้น เริ่มค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนมองเห็นได้ชัดเจน หนึ่งเป็นชายชราสวมใส่ชุดขาว รอยยิ้มบนใบหน้าของมัน ไม่ได้แสดงถึงความหวาดกลัวแม้แต่น้อย เนื่องจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในตระกูลซ่งก่อนหน้านี้
ด้านข้างของชายชรา เป็นบุรุษวัยกลางคนสองคน พวกมันต่างก็หล่อเหลา และมีพลังฝึกตนที่ลึกซึ้ง
ชายชรากล่าว “ข้ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่พวกท่านทุกคนมาร่วมงานคัดเลือกบุตรเขยตระกูลซ่ง! พวกเรามาเริ่มกันเถอะ!” มันหัวเราะเสียงดังออกมา จากนั้นก็โบกสะบัดมือขวา พื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสทั้งหมดสั่นสะเทือน และโต๊ะจัดเลี้ยงนับไม่ถ้วนก็ปรากฎขึ้นในอากาศ ในเวลาเดียวกันนั้น เวลาก็ดูเหมือนจะหมุนวนไปรอบๆ คนทั้งหมด และทันใดนั้น พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในเขตพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสอีกต่อไป หรือแม้แต่อยู่ในตระกูลซ่ง แต่กำลังลอยอยู่ที่ไหนสักแห่งในท้องฟ้า
พวกเขาถูกล้อมรอบไปด้วยก้อนเมฆ และทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนแดนสวรรค์ สาวใช้ปรากฎขึ้น เป็นเงาร่างเลือนลางไม่ชัดเจน แต่ก็งดงามเป็นอย่างยิ่ง พวกสาวใช้ร่ายรำ และลอยไปมา ขณะที่นำสุรา และผลไม้ลมปราณมาวางไว้บนโต๊ะด้วยความเคารพ
เสียงสายลม น้ำไหล และนกร้อง ดังไปทั่วในอากาศ ทั้งหมดดูเหมือนจะสง่างามสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง เมิ่งฮ่าว และผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณอื่นๆ ต่างก็ไม่เคยเห็นสิ่งใดที่เป็นเช่นนี้มาก่อน บางคนก็มองไปรอบๆ บางคนก็จ้องไปยังสาวใช้
ผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง ที่เป็นผู้นำของสำนักหรือตระกูลต่างๆ มายังที่นี้ ต่างก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และคำพูดที่ยอมรับนับถือ “พลังฝึกตนของผู้อาวุโสซ่งเทียนช่างลึกล้ำยิ่งนัก การขยับเวลาของจักรวาลนี้จริงๆ แล้วก็ช่างสมบูรณ์แบบสูงส่งยิ่ง”
ชายชราผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากปรมาจารย์ซ่งเทียน แห่งตระกูลซ่ง จากข่าวลือที่บอกเล่ากันมา ท่านได้บรรลุขั้นตัดวิญญาณมานานมากแล้ว แต่ก็ไม่มีใครบอกได้อย่างแท้จริง หรือแม้แต่สืบหาเบาะแสใดๆ ได้
ซ่งเทียนหัวเราะ และจากนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิ ตามด้วยบุรุษวัยกลางคนซึ่งมาพร้อมกับท่าน
ผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งแห่งตระกูลหวัง โบกสะบัดแขนเสื้อของมัน ด้วยใบหน้าเยือกเย็น มันนั่งลงข้างซ่งเทียน จ้องเขม็งไปยังซ่งเหล่าไกว้ เห็นได้ชัดว่า มันยังคงคิดขุ่นเคือง ในตอนที่ถูกซ่งเหล่าไกว้ขวางกั้นไว้ก่อนหน้านี้
เมิ่งฮ่าวนั่งลงที่โต๊ะข้างเจ้าอ้วน เมื่อเมิ่งฮ่าวอยู่ที่นี่ในตอนนี้ เจ้าอ้วนก็ไม่ยอมนั่งกับสำนักจินซวง แต่ร้องขอมานั่งข้างเมิ่งฮ่าว มันพูดคุยอย่างขะมักเขม้น เกี่ยวกับประสบการณ์ในสำนักจินซวง ดูเหมือนมันจะเป็นเหมือนเดิมตอนที่อยู่ในสำนักเอกะเทวะ มันหยิบหินลมปราณออกมา และขบกัดจนแหลกเป็นชิ้นๆ ด้วยฟันของมันเป็นครั้งคราว
ทันใดนั้น เจ้าอ้วนก็ดึงเอามีดบินที่เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่งออกมา มันส่องแสงเจิดจ้า ขณะที่มันเริ่มใช้มีดเล่มนั้นถูไปที่ฟันของมัน
“สหายคนหนึ่งในสำนักให้มีดเล่มนี้มา เพื่อให้ข้าป้องกันตัว” มันกล่าว “แต่เมื่อข้าได้ใช้มันถูฟัน ก็รู้สึกไม่ค่อยดีมากนัก ถ้าเจ้าต้องการ มันก็เป็นของเจ้า” มันส่งมีดเล่มนั้นไปให้เมิ่งฮ่าว
มีดเล่มนั้นเพิ่งจะเต็มไปด้วยน้ำลายของเจ้าอ้วน
เมิ่งฮ่าวลังเล ด้านข้างเจ้าอ้วน, ดวงตาโจวต้าหยาเบิกกว้าง “ท่านปรมาจารย้น้อย” มันกล่าว “มีดเล่มนี้เป็นอาวุธเวทที่ตกทอดมาของสายโลหิตคนที่สิบเก้า…”
“น่ารำคาญนัก! อาวุธเวทก็คืออาวุธเวท อา, ไม่เป็นไร ข้าเดาว่า ข้าคงไม่อาจจะมอบมันให้แก่เจ้าได้ แต่ข้ายังมีสิ่งอื่นอีก” มันหยิบเอาอาวุธเวทขนาดใหญ่ชิ้นอื่นออกมา ซึ่งส่องแสงเจิดจ้าในทันที ค่อนข้างจะดึงดูดความสนใจให้กับคนอื่นๆ มิใช่น้อย
“เจ้าชอบมันหรือไม่?” เจ้าอ้วนกล่าว ดูท่าทางมีความสุข สีหน้าของมันทำให้เมิ่งฮ่าวยิ้มออกมา
เฉินฟ่านถอนหายใจ มองไปยังเจ้าอ้วนด้วยความอิจฉา มันรู้ว่าเจ้าอ้วนช่างมีความสำคัญกับสำนักจินซวงมากเพียงใด มันทำได้แต่เพียงส่ายหน้า
หานเป้ยลอยมาในชุดบุรุษของนาง ส่งยิ้มเล็กน้อยให้เจ้าอ้วน
“สหายเต๋าหลี่, ช่วยขยับออกไปได้หรือไม่? ข้าอยากจะนั่งตรงนี้”
เจ้าอ้วนจ้องไปยังหานเป้ย จากนั้นก็มองมายังเมิ่งฮ่าว มันพูดเสียงเบาๆ “เมิ่งฮ่าว, เด็กหญิงนี้มีผิวพรรณที่ผุดผ่องสวยงามยิ่ง ระหว่างนางและฉู่อวี้เยียน เจ้าคิดว่าใครดีกว่ากัน?”
เมิ่งฮ่าวยกจอกสุราไปจ่อที่ริมฝีปาก และจิบดื่มไปหนึ่งคำ จากนั้นก็กระแอมไอออกมา
เจ้าอ้วนหัวเราะเสียงดัง จากนั้นก็ขยับตัวออกไป เพื่อเปิดช่องว่างให้หานเป้ย นางนั่งลง เห็นได้ชัดว่าไม่ได้โกรธเคืองเจ้าอ้วน นางมองมายังเมิ่งฮ่าว กระพริบตา และจากนั้นก็หัวเราะออกมา
นางเลื่อนตัวเข้าไปใกล้ชิดเขา จากนั้นก็กระซิบอย่างแผ่วเบา “พี่เมิ่ง, ท่านจะขอบคุณข้าอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องของฉื่อชิง?”