“สหายเต๋าหาน, ท่านหมายถึงอะไรกันแน่?” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบ ด้วยสีหน้าราบเรียบเหมือนเช่นเคย ถึงแม้ภายนอกเขาจะเยือกเย็น แต่จิตใจก็สั่นสะท้าน เขาหันไปมองหานเป้ย และสายตาของคนทั้งสองก็ประสานกัน เห็นได้ชัดว่านางกำลังจับตาดูเขาอย่างละเอียด เพื่อดูปฏิกิริยาของเขา
ถ้าสีหน้าของเมิ่งฮ่าวเปลี่ยนไปแม้แต่น้อยนิด หานเป้ยก็จะสังเกตเห็นได้ในทันที แน่นอนว่า นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไม นางถึงได้มานั่งใกล้ชิดกับเขาถึงเพียงนี้
หานเป้ยเป็นคนเจ้าอุบาย ซึ่งเมิ่งฮ่าวได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ตั้งแต่อยู่ในดินแดนสงบสุขของสำนักชิงหลัว จริงๆ แล้ว เขาไม่เคยพบเห็นใครที่สามารถเทียบได้กับนาง ในแง่ของอุบายการวางแผนได้เลย
“พี่เมิ่ง” นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ “ไม่จำเป็นต้องถามคำถาม ที่ท่านก็รู้คำตอบอยู่แล้ว ศิษย์น้องฉื่อเป็นศิษย์ของสำนักเอกะเทวะในแคว้นจ้าว และท่านก็เช่นกัน” ควบคู่กับการอยู่ในชุดบุรุษของนาง น้ำเสียงที่อ่อนหวานทำให้นางงดงามมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
“โอ?” เมิ่งฮ่าวตอบ มองดูนางพร้อมรอยยิ้มที่คลุมเครือ
สีหน้าของเขาทำให้นางเริ่มใจเสียเล็กน้อย จากนั้นนางก็ขมวดคิ้ว และทันใดนั้น นางก็เริ่มรู้สึกกังวลขึ้นภายในใจ
“พี่เมิ่ง, เป็นเพราะท่าน ข้าถึงได้ช่วยศิษย์น้องฉื่อไว้หลายครั้ง ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะการสอดแทรกของข้า นางก็คงจะตกตายไปภายใต้ข้อสงสัยมากมาย โชคดี ที่ข้าพอจะมีอิทธิพลในสำนักอยู่บ้าง ดังนั้นนางจึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ท่านได้นำสุดยอดน่ารำคาญจากไป” นางยิ้ม “ดังนั้น ท่านคิดว่าจะตอบแทนข้าอย่างไรดี?”
รอยยิ้มของนางงดงาม แต่ดวงตาสาดประกายความเจ้าเล่ห์ออกมา ถึงแม้เสน่ห์ของนางจะปรากฎขึ้น แต่เมิ่งฮ่าวก็รู้อย่างลึกซึ้งถึงความเจ้าเล่ห์ของนาง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกจากสีหน้าท่าทางของนาง เขาไม่เคยลืม ตอนที่นางพูดคำว่า “เซี่ยหลาง” ซ้ำๆ ในวันนั้น ซึ่งจากนั้นก็ได้สังหารเซี่ยเจี๋ยไปในทันที ภาพเหตุการณ์นั้นฉายออกมาในจิตใจเมิ่งฮ่าว
นางเอนตัวเข้าไปใกล้ชิดกับเมิ่งฮ่าวอีกเล็กน้อย จากมุมมองของใครก็ตามที่มองมา เหมือนกับคนทั้งสองจะคุ้นเคยสนิทสนมกันอย่างลึกซึ้ง
“สหายเต๋าหาน” เขากล่าวเสียงราบเรียบ “ท่านไม่กังวลจะถูกมองว่าใกล้ชิดกับข้ามากเกินไป? เกิดอะไรขึ้นถ้าสำนักชิงหลัวเริ่มสงสัย? ข้าคิดว่าพวกมันกำลังตามหาตัวข้าอยู่ในตอนนี้ หลังจากวันนี้ พวกมันต้องส่งคนมาไล่ตามข้าอย่างแน่นอน” คำพูดของเขาดูเหมือนจะปกติธรรมดา แต่จริงๆ แล้วเขาก็อยากจะรู้ว่านางคิดอย่างไร
“พี่เมิ่ง, ท่านเพียงแค่ถามข้าในสิ่งที่ท่านต้องการจะรู้ ไม่จำเป็นต้องพยายามอยากรู้ว่าข้าคิดอย่างไร” นางหัวเราะเบาๆ มองดูเขา นางหายใจออกมาช้าๆ และลมหายใจของนางก็กระจายไปยังเขา พร้อมกลิ่นหอมของกล้วยไม้ เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว และถอยห่างออกไปจากนางเล็กน้อย
เมื่อได้เห็นเขาขยับตัวออกไป หานเป้ยก็ยิ้มอย่างครุ่นคิด นางขยับเข้าไปใกล้เขามากกว่าเดิมอีกครั้ง กลิ่นหอมอ่อนๆ กระจายออกมาจากตัวนาง
เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว และถอยห่างออกไปมากกว่าเดิม หานเป้ยส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ซึ่งมีความรู้สึกดูถูกอยู่เล็กน้อย
“สำนักชิงหลัวจริงๆ แล้วก็กำลังตามหาท่านอยู่ แต่ไม่ต้องกังวล สำนักอื่นๆ ไม่รู้เรื่องนี้ การค้นหาท่านถูกกระทำอย่างลับๆ ท่านจำเป็นต้องระมัดระวังตัวให้มากไว้…” นางยิ้ม และในที่สุด ก็ดูเหมือนนางจะคิดว่า นางใกล้ชิดกับเมิ่งฮ่าวมากเกินไปแล้ว นางจึงขยับตัวออกไปเล็กน้อย ทันใดนั้น มือของเมิ่งฮ่าวก็ยื่นออกมา และสอดไปรอบๆ เอวที่อ่อนนุ่มของนาง ดึงนางมาชิดกับเขา
“ท่านต้องการให้ข้าขอบคุณท่านอย่างไร?” เขากล่าว “บอกข้ามา” เขาใกล้ชิดกับนาง จนนางสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขา คนทั้งสองมองตาซึ่งกันและกัน และถึงแม้สีหน้าของทั้งคู่จะดูเหมือนอบอุ่น แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังต่อสู้กันด้วยกลอุบายอยู่
หานเป้ย ทันใดนั้น ก็ดูเหมือนจะตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อย นางไม่เคยคาดคิดว่า เมิ่งฮ่าวจะทำเช่นนี้มาก่อน นางรวบรวมสติได้อย่างรวดเร็ว แต่จากนั้น ดวงตาของนางก็ส่องประกายด้วยความดื้อรั้นอย่างงดงามออกมา
“มันง่ายมาก” นางกล่าวอย่างอ่อนโยน “นำแผ่นหยกที่ท่านได้จากด้านในของกระถางสี่เหลี่ยมมาให้ข้า สิ่งที่ข้าต้องการทั้งหมด มีเพียงแค่นั้น” ร่างของนาง ทันใดนั้น ก็บิดไปเล็กน้อย และนางก็ถอยออกไปจากเมิ่งฮ่าว และลุกขึ้นยืน
“พี่เมิ่ง, โปรดคิดให้รอบคอบ” นางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
เมิ่งฮ่าวมองกลับไปยังนางพร้อมรอยยิ้มที่คลุมเครือ เขาไม่พูดอะไรออกมา แต่หลังจากนั้น ก็ยกมือไปที่ถุงสมบัติ หยิบแผ่นหยกออกมา เขาโยนมันตรงไปที่นาง
นางขมวดคิ้ว นี่เป็นแค่แผ่นหยกธรรมดา ไม่ใช่แผ่นหยกที่นางต่องการ แต่นางก็รู้ว่า เมิ่งฮ่าวมีทักษะในการวางแผนได้ลึกล้ำเช่นเดียวกัน และไม่ใช่คนที่นางจะต่อกรได้อย่างง่ายดาย นางรับแผ่นหยกนั้นไว้ ส่งจิตสัมผัสเข้าไปอ่านดู สีหน้าแปลกๆ ก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นปกติ นางมองเมิ่งฮ่าวอย่างลึกซึ้ง และจากนั้นก็ยิ้มกว้างออกมาอีกครั้ง นางพยักหน้า หมุนตัวมุ่งหน้ากลับไปยังที่นั่งของสำนักชิงหลัว
เมิ่งฮ่าวยกจอกสุรา และจิบลงไปหนึ่งคำ สิ่งที่อยู่บนแผ่นหยกนั้นก็คือ ภาพที่นางกำลังสังหารเซี่ยเจี๋ย ซึ่งเมิ่งฮ่าวได้แอบบันทึกไว้ในวันนั้น
อันที่จริง แม้ว่าหานเป้ยจะไม่มาหาเขา เขาก็จะต้องคิดหาวิธีในการติดต่อกับนาง เขาได้จัดเตรียมแผ่นหยกนี้ไว้เพื่อสืบหาข้อมูล และเป็นหลักประกันเล็กน้อย
เจ้าอ้วนมองดูหานเป้ยจากไป จากนั้นก็เริ่มเตรียมตัวจะตั้งคำถามเมิ่งฮ่าว เฉินฟ่านมองดูเมิ่งฮ่าวด้วยความยอมรับ ทันใดนั้น มันก็ตระหนักได้ถึงทักษะของศิษย์น้องผู้นี้ ไม่มีความจำเป็นที่มันจะต้องจัดเตรียมหาคู่ให้เขา
เวลาผ่านไป หลังนั้นไม่นาน เสียงของระฆังก็ดังออกมา และสำแสงหลากสีก็ปรากฎขึ้นอีกครั้ง มีอยู่สองคนภายในแสงเลือนลางนั้น หนึ่งเป็นบุรุษ อีกหนึ่งเป็นสตรี บุรุษมีหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงและหุ่นดี พร้อมดวงตาที่เจิดจ้าราวสายฟ้า มันสวมใส่ชุดยาวสีขาว และมีเส้นผมสีดำที่ยาวลงมา ทำให้มันดูงดงามราวปีศาจ มันส่งยิ้ม และประสานมือคารวะให้ทุกคน
“นั่นคือเต้าจื่อตระกูลซ่ง, ซ่งหยุนซู!!”
“ซ่งหยุนซู มีพื้นฐานฝึกตนที่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ด้วยการเป็นเต้าจื่อตระกูลซ่ง มันมีรูปลักษณ์ที่สง่างามเป็นอันดับหนึ่ง ท่ามกลางกลุ่มผู้เชี่ยวชาญพื้นฐานลมปราณทั้งหลาย…”
“หญิงสาวด้านข้างมันก็คือ ซ่งเจี๋ย นางเป็นหญิงสาวที่ตระกูลซ่งกำลังคัดเลือกสามีให้”
เมิ่งฮ่าวมองขึ้นไป มองกวาดไปที่บุรุษและสตรี ขณะที่พวกมันเดินออกมาจากแสงหลากสี ซ่งเจี๋ย ตัวเล็กน่ารักและอ้อนแอ้นบอบบาง นางมีผมที่ยาวเงางาม ผิวกายขาวผ่อง ดูท่าทางเป็นหญิงสาวที่อ่อนโยน และงดงาม ดวงตาสดใสกระจ่าง ดวงตาของนางส่องประกาย ไม่เจ้าเล่ห์เช่นหานเป้ย, ไม่ตำหนิติเตียนเช่นหลี่ชือฉี หรือ เย็นชาเช่นฉื่อชิง แต่ส่องประกายด้วยความอ่อนโยนออกมา
ใครก็ตามที่มองไปยังซ่งเจี๋ย ก็จะสัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา และความอ่อนโยนของนาง ดูเหมือนนางจะเป็นหญิงสาวที่ไม่เคยโกรธเคืองผู้ใดเลย
นางมองไปยังฝูงชน ทันทีที่เมิ่งฮ่าวมองไปที่นาง ดวงตาของคนทั้งสองก็สบประสานกันชั่วครู่
ซ่งเทียน ซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้า หัวเราะและส่งเสียงขึ้นมา “ถึงเวลาแล้ว! จากรุ่นสู่รุ่น ตระกูลซ่งได้ฝึกฝนวิถีเซียนโดยไม่มีพิธีรีตองมากมายนัก พวกเราชอบความเรียบง่าย วีรบุรุษผู้มากความสามารถของแต่ละสำนักและตระกูล ขอต้อนรับสู่ตระกูลซ่ง ยกเว้นสำหรับผู้ที่มายังที่นี่เพื่อสังเกตการณ์ พวกท่านทุกคนต่างก็มาที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกัน ข้าจะไม่เสียเวลาเพื่ออธิบายต่อไป” ขณะที่เสียงของมันดังก้องออกมา มันโบกมือขวา และกลุ่มเมฆที่อยู่ด้านบนศีรษะก็เริ่มม้วนตัวไปมา เพียงชั่วพริบตา กระแสน้ำวนขนาดใหญ่ก็ปรากฎขึ้น มองเห็นโลกแปลกๆ อยู่ด้านใน
ภายในโลกแห่งนั้นเป็นทะเลที่กว้างใหญ่ ที่ตรงกลางมีต้นไม้ขนาดใหญ่มโหฬาร พุ่งสูงขึ้นไปในท้องฟ้า ต้นไม้นี้สูงกว่าภูเขาใดๆ
เถาวัลย์เส้นใหญ่พันไปรอบๆ ลำต้นของมัน เลื้อยตรงขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นฟ้า
ลำต้นของมันกว้างใหญ่มหึมา ที่ด้านบน มีกิ่งก้านยื่นออกไป ก่อตัวเป็นรูปร่างที่มีลักษณะคล้ายดอกเห็ด เถาวัลย์ห้อยลงมา บางส่วนก็ยื่นลงไปในทะเล สายลมรุนแรงพัดผ่านทะเล ทำให้เกิดระลอกคลื่นพุ่งพล่านปั่นป่วน
ด้านบนขึ้นไปในท้องฟ้า เมฆสีดำม้วนตัวเป็นระลอกคลื่น และเกิดเป็นสายฟ้าฟาดลงมา เสียงของฟ้าผ่าดังก้องไปทั่ว
งานเลี้ยงของตระกูลซ่ง จริงๆ แล้ว ก็จัดเลี้ยงอยู่ในก้อนเมฆที่อยู่เหนือโลกแห่งนี้
พร้อมเสียงหัวเราะ ซ่งเทียนกล่าว “ที่ด้านบนของต้นไม้นี้คือ ไข่มุกสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ ใครก็ตามที่มาถึงเป็นคนแรก ก็จะได้ครอบครองไข่มุกนี้ และจะเป็นบุตรเขยคนใหม่ของคนรุ่นนี้ แห่งตระกูลซ่ง!” มันมองออกไปทั่วฝูงชน และจากนั้นก็มองไปยังซ่งเจี๋ย ดวงตาของมันสาดประกายด้วยความรักของผู้อาวุโสที่มีต่อผู้เยาว์รุ่นหลัง จากนั้น มันก็มองไปยังเมิ่งฮ่าว และรีบมองไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว
ซ่งเหล่าไกว้ไม่พูดอะไรเลย ในช่วงเวลาทั้งหมดนี้ ยากที่จะบอกได้ว่า มันกำลังคิดอะไรอยู่
หานเป้ยไม่ขยับเคลื่อนไหว แต่ศิษย์สำนักชิงหลัว ซึ่งอยู่รอบๆ ตัวนางดูเหมือนต้องการจะออกไป พวกมันมายังตระกูลซ่งด้วยความต้องการจะชนะ ได้เป็นบุตรเขยของตระกูลซ่ง ถ้าทำสำเร็จก็หมายถึงได้รับผลประโยชน์ในทันที ไม่ใช่เพื่อสำนัก แต่เพื่อพวกมันเอง
ยากที่จะบอกได้ว่าใครไปเป็นคนแรก เงาร่างมากมายพุ่งทะยาน บินตรงไปยังกลุ่มเมฆกระแสน้ำวน และทะเลที่อยู่ด้านล่าง
หลี่เต้าอีไม่ได้ขยับตัว มันเป็นเต้าจื่อ มาเพื่อสังเกตการณ์เพียงเท่านั้น มันไม่อาจแต่งงานเข้ามาอยู่ในตระกูลซ่งได้ แต่บุรุษที่เหลือของตระกูลหลี่คิดแตกต่างกัน พวกมันบินตรงไปยังกระแสน้ำวนนั้นทีละคน ทีละคน
หวังเถิงเฟย นั่งอยู่ที่นั่นจมอยู่ในห้วงความคิดและความลังเล หวังซีฟ่านพยายามให้คำแนะนำมัน แต่มันก็ตัดสินใจอยู่นาน ก่อนที่มันจะก้าวเท้าตรงไป และจากนั้น ก็กลายเป็นลำแสงหลากสี พุ่งตรงไปยังกระแสน้ำวนนั้น
การเข้าร่วมของมันแตกต่างจากคนอื่นๆ สร้างความประหลาดใจให้กับศิษย์สำนักจื่อยิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งของสำนัก ดวงตาของมันสาดประกาย ด้านข้างมัน ผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งของตระกูลหวังก็ขมวดคิ้ว
เจ้าอ้วนส่งเสียงไอแห้งๆ ออกมา และมองไปยังเมิ่งฮ่าว จากนั้น มันก็ลอยขึ้นไปในอากาศ พลังฝึกตนของมันยังไม่ได้อยู่ในขั้นพื้นฐานลมปราณ แต่มันมีอาวุธเวทช่วย ศิษย์สำนักจินซวงที่เหลือ ต่างก็บินขึ้นไปพร้อมกับมัน พุ่งตรงไปยังกระแสน้ำวนด้วยกัน
สำหรับเฉินฟ่าน และคนอื่นๆ จากสำนักกูตู๋เจี้ยน พวกมันบินขึ้นไปทีละคน เช่นเดียวกับศิษย์สำนักเซี่ยเยา รวมถึงหวังโหย่วฉาย หลี่ชือฉีนั่งอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เมิ่งฮ่าวมองเข้าไปในกลุ่มเมฆกระแสน้ำวน ยังทะเลที่กว้างใหญ่ และต้นไม้ยักษ์นั่น ดวงตาเขาหดเล็กลง และเขาก็นั่งครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน และบินตรงไปที่กระแสน้ำวนนั้น
สตรีที่ล่องหนหายตัวก็ยังคงอยู่ที่นั่น นางมองเมิ่งฮ่าวหายลับเข้าไปในกระแสน้ำวน ความรักอันอ่อนโยนในดวงตาของนางเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ในที่สุด นางก็ถอนหายใจออกมา
“เจ้าต้องเดินไปบนเส้นทางของเจ้าโดยลำพัง บางทีสักวันหนึ่ง เจ้าคงจะค้นพบเส้นทางที่ตรงมาหาพวกเรา และจากนั้น เจ้าก็จะเข้าใจทุกอย่าง…ถ้าเจ้าทำไม่ได้ มารดาก็จะรอเจ้าไปเกิดใหม่ในขุมนรก” เสียงของนางอ่อนโยน ขณะที่มองไปยังเมิ่งฮ่าว นางหลับตาลง หมุนตัว และจากนั้นก็หายไป ราวกับว่านางไม่เคยอยู่ที่นั่นมาก่อนตั้งแต่ต้น
คลื่นลูกใหญ่มหึมา ม้วนตัวไปทั่วทั้งพื้นผิวของทะเล จากแรงของลมที่ส่งเสียงร้องหวีดหวิว เหมือนมันกำลังส่งเสียงขู่ว่า จะพัดผู้ฝึกตนทั้งหมดที่เข้าไปใกล้ให้ลอยหายไป ทำให้เป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญที่จะเข้าไปยังต้นไม้ยักษ์นั่น
เมื่อเปรียบเทียบกับต้นไม้นั่นแล้ว ทุกคนต่างก็เหมือนกับจิ้งหรีดหรือมด ช่างเล็กกระจ้อยร่อยเป็นอย่างยิ่ง
เมิ่งฮ่าวมองลงไปในน้ำทะเล และดวงตาก็หรี่เล็กลง ด้านล่างของคลื่นลูกใหญ่นั้น มองเห็นเงาร่างสีดำกำลังว่ายไปมา ความรู้สึกถึงอันตราย ผุดขึ้นมาภายในใจของเขา
“การคัดเลือกบุตรเขยของตระกูลซ่ง เป็นการทดสอบความสามารถ” ปรมาจารย์ตระกูลซ่งกล่าว “พวกเราไม่ต้องการเห็นการนองเลือด ถ้าใครรู้สึกว่าอันตรายเกินไป ก็สามารถยกเลิกด้วยการพูดออกมา และจะถูกเคลื่อนย้ายมายังพวกเราในทันที” คำพูดของมันดังก้องไปทั่วในทะเลแถบนั้น ในเสียงพูดของมัน สายลม ทันใดนั้น ก็ลดความรุนแรลง ราวกับว่ามันไม่กล้าจะเข้าไปสอดแทรก