เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่ด้านหน้าของชั้นสองข้างหน้าต่าง ดวงจันทร์แขวนอยู่ในท้องฟ้า ไกลออกไป เขามองเห็นภูเขาที่ปกคลุมด้วยเวทอาคม กระฉอกเป็นระลอกคลื่นดูคล้ายตาข่ายที่เล็กละเอียด
เสียงร้องอย่างน่าสังเวชนี้ ดังออกมาจากภูเขาลูกนั้น ในตอนนี้ ก็เห็นเงาร่างมากมายบินขึ้นไปจากภูเขาต่างๆ ที่อยู่รายรอบ เพื่อดูว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น
ในไม่ช้า ลำแสงมากมายก็พุ่งตรงไปยังภูเขาลูกนั้น หลังจากนั้นไม่นาน ระลอกคลื่นของเวทอาคมก็จางหายไป และทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนก่อนหน้านี้ เงียบสงบเช่นเดิม
เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว และดวงตาก็สาดประกาย เขาจำได้ว่าภูเขาที่มีเสียงกรีดร้องออกมานี้ เป็นภูเขาเดียวกับที่บุรุษใบหน้าซีดเหลืองได้ไปก่อนหน้านี้เมื่อตอนกลางวัน เมื่อได้เห็นเงาร่างมากมายบินตรงไปยังภูเขาลูกนั้น เมื่อเมิ่งฮ่าวกำลังจะไปตรวจสอบ ทันใดนั้นเขาก็ต้องหยุดชะงักลง
ใบหน้าของเขาส่งประกาย ขณะที่มองลงไปยังถุงแห่งจักรวาล เขาตบมัน และแผ่นหยกผนึกอสูรก็ลอยออกมา เขาก็คว้าจับไว้
มันเรืองแสงอย่างลี้ลับออกมา ความรู้สึกแปลกๆ เป็นอย่างมาก พุ่งขึ้นมาจากจิตใจของเมิ่งฮ่าว เขาไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร แต่ก็ดูเหมือนว่ามีปราณที่มองไม่เห็นกำลังเสียดแทงขึ้นมาในจิตใจ
อย่างครุ่นคิด เขาหยิบเอาแผ่นหยกที่ได้มาจากผู้ผนึกอสรูรุ่นแปดออกมา และวางมันไว้บนฝ่ามือ
เสียงโบราณของผู้ผนึกอสรูรุ่นแปดก็ดังออกมาในจิตใจ “บางวิญญาณในวงจรของการกำเนิดใหม่ พยายามหลีกเลี่ยงการถูกกลบฝัง ปราณของพวกมันจะเหมือนของพวกปีศาจ ซึ่งอยู่เหนือสิ่งมีชีวิตทั่วไป แต่ก็แปดเปื้อนด้วยโลกของมนุษย์ธรรมดาที่แตกต่างกันทั้งหนึ่งหมื่นแห่ง ปราณเหล่านี้เยือกเย็น ถูกดูดซับโดยกระดูกและวิญญาณ พวกมันสามารถนำไปสู่เส้นทางแห่งวิถี ถ้าเจ้าเผชิญหน้ากับปราณเช่นนี้ เจ้าต้องผนึกมัน!”
เมิ่งฮ่าวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ และในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะไม่ออกไป เขายืนอยู่ข้างหน้าต่าง ส่งจิตสัมผัสออกไปยังทิศทางของเสียงกรีดร้องที่น่ากลัวนั้น สิ่งแรกที่ได้ยินก็คือเสียงพูดจาทะเลาะกัน
“นี่เป็นสหายเต๋าคนที่หกแล้วที่ตายไป ถ้าสำนักชิงหลัวไม่ยอมอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่างในตอนนี้ พวกเราก็จะจากไป!”
มีผู้ฝึกตนประมาณสิบคนที่อยู่ใกล้ๆ ภูเขาลูกนั้น จ้องอย่างเย็นชาไปยังศิษย์สำนักชิงหลัว ซึ่งป้องกันไม่ให้พวกมันเข้าไปตรวจสอบสาเหตุแห่งความตายนั้น
ในที่ห่างไกล มีผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยได้บินออกจากเขตภูเขาที่พวกมันพักอยู่ และกำลังมองมาจากที่ห่างไกล โดยไม่พูดจา พวกมันทั้งหมดต่างก็ปลดปล่อยพลังของพื้นฐานฝึกตนออกมา แรงกดดันอันมหาศาลก็พุ่งขึ้น กลายเป็นการประท้วงที่ไร้เสียงขึ้นในทันที
ใบหน้าของศิษย์สำนักชิงหลัวทั้งหมดเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด ในตอนนี้เอง ที่เสียงอันเคร่งขรึมทันใดนั้นก็ดังออกมา
“ทางสำนักจะมีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ภายในสามวัน” ขณะที่เสียงนี้ดังออกมา ชายชราที่สวมใส่ชุดยาวที่หลวมกว้างของนักพรตก็ปรากฎขึ้น แรงกดดันกระจายออกมาจากร่างของมัน ทำให้สีหน้าของผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นเปลี่ยนไป
ศิษย์สำนักชิงหลัวทั้งหมด โค้งตัวลงอย่างนอบน้อม
“ขอคารวะ, ผู้อาวุโสเฉิน”
ชายชราเดินตรงไปด้านหน้า มันยืนอยู่ที่ด้านล่างของกลุ่มผู้ฝึกตนเหล่านั้นตรงเชิงเขา และเหล่าผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ ที่ลอยอยู่ในอากาศด้านบนของมันทั้งหมดต่างก็ไร้คำพูด พวกมันหลายคนโค้งตัวคารวะด้วยความเคารพ เห็นได้ชัดว่าพวกมันรู้ว่าชายชราผู้นี้เป็นใคร
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ด้วยสีหน้าราบเรียบเช่นเดิม แต่เขาก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างช้าๆ ชายชราเป็นผู้อาวุโสของสำนักชิงหลัว และพลังฝึกตนของมันก็ไม่ใช่ขั้นพื้นฐานลมปราณ แต่เป็นขั้นสร้างแกนลมปราณ
ชายชรากวาดมองไปที่ผู้ฝึกตนกลุ่มนั้น เมื่อมันพูดขึ้น เสียงของมันก็ไม่ได้ดังมากนัก แต่ก็เต็มอยู่ในจิตใจของทุกคนในพื้นที่บริเวณนั้น
“ข้ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่พวกท่านทั้งหมดมายังสำนักชิงหลัว เรื่องฆาตกรรมที่เกิดขึ้นนี้ ข้าก็มีโทสะด้วยเช่นเดียวกัน ภายในสามวัน ข้าจะสังหารเจ้าฆาตกรนี้ด้วยมือของข้าเอง”
“ด้วยการแสดงตัวของผู้อาวุโสเฉิน พวกเราก็รู้สึกสบายใจขึ้นเป็นอย่างมาก ขอบคุณท่านผู้อาวุโส ที่มาช่วยจัดการเรื่องนี้ด้วยความเที่ยงธรรม”
ผู้ฝึกตนพื้นฐานลมปราณโค้งคารวะทีละคน จากนั้นก็กลับไปยังภูเขาของพวกมัน เมื่อผู้อาวุโสของสำนักชิงหลัวปรากฎขึ้น ถึงแม้มันจะไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆ แต่พวกมันจะโต้เถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างไร?
ในไม่ช้า ทุกสิ่งทุกอย่างก็เงียบสงบลงอีกครั้ง ผู้อาวุโสเฉินจากไป เช่นเดียวกับศิษย์สำนักชิงหลัวเกือบทั้งหมด ภูเขาที่มีเสียงกรีดร้องออกมานั้นก็เงียบสงบเช่นเดียวกัน ไม่มีใครต้องการจะไปตรวจสอบมากกว่านี้
ด้วยท่าทางเหม่อลอย เมิ่งฮ่าวกลับไปนั่งขัดสมาธิ และเริ่มเข้าฌาณ ภายในจิตใจดังก้องไปด้วยคำพูดของผู้ผนึกอสูรรุ่นแปด
“มีบางอย่างที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นในสำนักชิงหลัว…” ดวงตาเมิ่งฮ่าวเปิดขึ้นมา เต็มไปด้วยประกายอันเข้มข้น ปราณอันแหลมคมที่เขารู้สึกได้ ดูเหมือนจะเพิ่มความหนาแน่นขึ้น
เขาก้มหน้าครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็หยิบเอาหน้ากากเซียนโลหิตออกมา ส่งจิตสัมผัสเข้าไปด้านใน มองเห็นปรมาจารย์ตระกูลหลี่ ถูกห่อหุ้มอยู่ในหมอกโลหิตของเมิ่งฮ่าว ดูเหมือนมันจะเริ่มอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ ไม่ได้ร้องออกมาเหมือนก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะไม่มีความแข็งแกร่งใดๆ เหลืออยู่
“เจ้ารู้เรื่องอะไรบ้างเกี่ยวกับสำนักชิงหลัว?” เมิ่งฮ่าวถามผ่านจิตสัมผัส เขามักจะพบว่าตัวตนวิญญาณโลหิตของชายชราผู้นี้ค่อนข้างจะแปลก ความรู้สึกนี้ก็ยังรุนแรงมากขึ้น เมื่อเขาคิดไปถึงหลี่เต้าอี
“ข้ารู้แต่เรื่องผายลม, เจ้าสารเลวน้อย” ปรมาจารย์ตระกูลหลี่พูด เสียงแหบแห้งของมันเต็มไปด้วยคำหยาบคาย “ถ้าเจ้ามีความสามารถ, เจ้า…”
ก่อนที่มันจะพูดจบ เมิ่งฮ่าวก็สร้างบาดแผลที่นิ้วขึ้นอย่างใจเย็น และใช้หยดโลหิตไปล้อมรอบชายชราด้วยกลุ่มหมอกโลหิตที่มากขึ้นกว่าเดิม เสียงร้องอย่างน่าสังเวชก็ดังออกมา จากนั้นเมิ่งฮ่าวก็ดึงจิตสัมผัสกลับมา เขาไม่ถามอะไรอีก แต่เก็บหน้ากากกลับไป
ในเวลาเดียวกันนั้น ภายใต้หมื่นภูเขาของสำนักชิงหลัว มีถ้ำหินปูนที่เชื่อมต่อกันอย่างมากมายมหาศาล ราวกับเขาวงกตยักษ์ ลึกลงไปในซอกหลืบของถ้ำเหล่านั้น มีพื้นสูงที่ประดับไว้ด้วยคบไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่ เปลวเพลิงที่เต้นไปมาของคบไฟนั้น ทำให้ภายในถ้ำเต็มไปด้วยเงาอันเลือนลาง
ด้านบนของพื้นสูงนั้นมีผู้ฝึกตนชราสามคนนั่งขัดสมาธิอยู่ ร่างของพวกมันแห้งลีบ และขณะที่พวกมันนั่งอยู่ที่นั่น ก็ดูเหมือนจะตายไปแล้ว ปราณแห่งความตายอันเข้มข้นวนไปมารอบๆ พวกมัน แต่เมื่อดวงตาของพวกมันเปิดออก ก็ส่องแสงอันโบราณเหมือนอยู่ในขุมนรกออกมา
เงาร่างของพวกมันดูเหมือนจะหงิกงอบิดเบี้ยว ขณะที่พวกมันคงอยู่ในที่ไหนสักแห่ง ระหว่างในโลกแห่งจินตนาการและร่างกายที่แท้จริง และดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในโลกนี้ทั้งหมด
ที่อยู่กึ่งกลางของพวกมันเป็นหนังสัตว์ ซึ่งทำมาจากผิวหนังของสัตว์ป่าบางชนิด ขอบของมันขาดรุ่งริ่งและบนพื้นผิวของมันก็เป็นแผนที่บางอย่าง
แผนที่หนังสัตว์นั้นเริ่มบิดตัวไปมาอย่างช้าๆ ปรากฎเป็นภาพของภูติผีบุรุษยืนขึ้นมาด้านบนของแผนที่นั้น ซึ่งได้ส่งเสียงกรีดร้องโดยไร้เสียงออกมา ดูเหมือนจะเป็นผีของบุรุษวัยกลางคนที่มีใบหน้าซีดเหลือง นี่เป็นหนึ่งในห้าคนที่มาถึงพร้อมกับเมิ่งฮ่าว
ร่างของมันเริ่มเลือนลางลง และในไม่ช้าก็หายไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ชายขอบของหนังสัตว์ผืนนั้นก็ค่อยๆ ขยายออกไปเล็กน้อย และหนังสัตว์นั้นก็เริ่มเงาวับขึ้นอีกเล็กน้อย มันเป็นภาพที่ใครก็ตามถ้าได้เห็นแล้ว ก็ต้องรู้สึกแปลกประหลาดใจอย่างน่าเหลือเชื่อ
เวลาผ่านไป จากนั้นหนึ่งในคนชรา ก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงแหบแห้งราวโลหะขูดกัน “ภายใต้แสงจันทราของวันพรุ่งนี้ มันจะกลืนคนอื่นอีก พวกเราก็สามารถจะเริ่มได้”
“ครั้งนี้ พวกเราต้องทำให้สำเร็จให้จงได้ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ต้องสำเร็จ…! พวกเราต้องได้ครอบครองสิ่งของในตำนาน ไม่เพียงเพื่อพวกเราเอง แต่เพื่อท่านปรมาจารย์ จากนั้นพวกเราทั้งหมดก็จะตื่นขึ้นมา พวกเราไม่ต้องหลบซ่อนอยู่ในความมืดมิดเช่นนี้อีกแล้ว สถานที่ว่างเปล่าแห่งนี้ไม่มีพื้นดินให้เหยียบลงไปเลย”
“ยังคงมีพวกพื้นฐานลมปราณไม่เพียงพอที่ด้านนอกนั่น พวกเราแพร่กระจายข่าวไปไกลและเป็นวงกว้าง แต่พวกสำนักและตระกูลต่างๆ ก็ไม่ได้โง่เขลาจนตกหลุมพรางนี้อย่างง่ายดาย ฮึ่ม”
“มันก็ช่วยไม่ได้ พวกพื้นฐานลมปราณกลุ่มนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของทั้งหมด ด้วยสิ่งทั้งหมดที่พวกเราได้จัดเตรียมไว้ พวกเราต้องทำได้สำเร็จในครั้งนี้อย่างแน่นอน” เสียงของพวกมันค่อยๆ จางหายไป ในไม่ช้า มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังขยับอยู่ ก็คือหนังสัตว์ที่กำลังบิดตัวไปมาผืนนั้น การที่วางไว้ระหว่างพวกมัน ก็เหมือนกับพิธีสักการะบูชาบางอย่าง
ราตรีเลื่อนผ่านไปตามปกติ และในไม่ช้ารุ่งอรุณก็เบิกฟ้า เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้นจากการเข้าฌาณ ด้านนอกของที่พัก เขาเห็นลำแสงหลากสีพุ่งเข้ามาใกล้ กลายเป็นหญิงสาวที่สวมใส่ชุดคลุมยาวสีดำ นางมีรูปร่างสูงสมส่วน ด้วยผิวที่ขาวนวลเนียน และผมนุ่มสลวยเป็นเงางามแผ่กระจายไปทั่วไหล่ นางลดความเร็วลงเมื่อใกล้มาถึง มาหยุดอยู่ด้านนอกที่พักของเมิ่งฮ่าว
“ศิษย์หานเป้ย จากภูเขาเม็ดยาแห่งสำนักชิงหลัว ถูกส่งให้นำเม็ดยาหลัวตี้มามอบแก่ท่าน” นางกล่าว “สหายเต๋า, โปรดออกมาได้หรือไม่?”
เสียงของนางฟังดูฉลาด และมีรอยยิ้มที่งดงามราวบุปผากำลังเบ่งบาน การแสดงตัวขึ้นมาของนางเหมือนจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสว่างเจิดจ้า ดวงตาของนางมีเสน่หฺดึงดูดใจ นางยิ้มอย่างบริสุทธิ์และน่ารัก สวมใส่ชุดยาวสีเขียวมรกต ริมขอบมีลายปักสีม่วง ทั้งหมดนี้ ทำให้นางมีความงดงามเหมือนอยู่ในโลกแห่งอื่น
เมิ่งฮ่าวปรากฎตัวออกมา และพวกเขาก็มานั่งที่โต๊ะด้วยกัน
นางมองมายังเมิ่งฮ่าว ด้วยรอยยิ้มที่ไม่เปลี่ยนไป เมื่อทำเช่นนี้ ดวงตาของนางก็ดูเหมือนจะส่องประกายเจิดจ้ามากขึ้น โดยไม่อาจทราบว่าเกิดจากความจงใจ หรือความไม่ตั้งใจของนางเอง
“สหายเต๋า, ข้าขอสอบถามนามอันสูงส่งของท่านได้หรือไม่?” นางถามพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ เสียงของนางฟังดูสบายๆ ราวกับกำลังเรียกร้องความสนุกสนาน การได้ยินเสียงเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นความเพลิดเพลินได้อย่างหนึ่ง
“เมิ่งฮ่าว” เขากล่าวตอบด้วยเสียงราบเรียบ ไม่พยายามที่จะปิดบังตัวตน มองไปยังหญิงสาวที่เบื้องหน้า เขาบอกได้ว่าพลังฝึกตนของนางไม่ธรรมดา ดูเหมือนจะอยู่ในขั้นต้นของพื้นฐานลมปราณ
“เมิ่ง…” หานเป้ยมองมายังเขาด้วยความตกใจชั่วครู่ นางศึกษาใบหน้าเขาจากนั้นก็หัวเราะออกมา
“งั้นท่านก็เป็นสหายเต๋าเมิ่ง นี่เป็นข้อตกลง โปรดประทับลายนิ้วมือด้วยได้หรือไม่? จากนั้นข้าก็จะมอบเม็ดยาหลัวตี้ให้แก่ท่าน ถ้าท่านปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของสำนักทั้งหมด ท่านก็จะได้เม็ดที่สองต่อไป”
นางยกมืออันละเอียดอ่อนขึ้นมา รอบๆ ข้อมือเป็นกำไลสีเขียวมรกต ส่องประกายออกมา และในมือของนางก็มีม้วนกระดาษ นางส่งมันให้แก่เมิ่งฮ่าว
สีหน้าของเขาเรียบสงบเหมือนเช่นเคย มองไปที่กำไลของนางนานสักพัก จากนั้นก็รับม้วนกระดาษมา เขามองไปที่มัน จากนั้นก็ยกนิ้วหัวแม่มือด้านขวาขึ้นมาประทับลงไปบนกระดาษ
หานเป้ยจ้องไปที่เขาตลอดเวลา หลังจากที่เขาประทับลายนิ้วมือไปบนกระดาษ นางหยิบกล่องหยกที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ และวางมันลงที่ด้านข้าง
“นี่เป็นเม็ดยาหลัวตี้ของท่าน โปรดจำไว้ว่า เม็ดยานี้ไม่อาจกลืนลงไปในช่วงเวลากลางวัน จริงๆ แล้ว ชื่อเต็มของมันก็คือ หลัวเยี่ยต้าตี้ตาน (เม็ดยาตะกร้าปฐพีจันทรา) เมื่อท่านกลืนมันลงไป มันจะถูกดูดซับในแสงจันทร์” นางเผยอยิ้ม จากนั้นก็ก้าวเท้าเตรียมจากไป
ก่อนที่นางจะออกไป ทันใดนั้น เมิ่งฮ่าวก็พูดขึ้น “พวกเราเคยได้พบกันมาก่อนหรือไม่?”
คำพูดของเขา ทำให้นางจ้องมองมาด้วยความตกใจ
“ข้านึกไม่ออกว่าเคยเห็นท่านมาก่อน, สหายเต๋าเมิ่ง”
“ข้าจำผิดเอง” เขากล่าว “ข้าคิดว่าท่านเป็นอีกคนหนึ่ง” เขาขมวดคิ้ว ราวกับว่าเขากำลังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง หานเป้ยหัวเราะ พร้อมกับการพยักหน้าเป็นครั้งสุดท้าย นางกลายเป็นลำแสงและจากไป ขณะที่นางพุ่งออกไป รอยยิ้มของนางก็เปลี่ยนเป็นท่าทางครุ่นคิด
เมิ่งฮ่าวหยิบกล่องหยกที่มีเม็ดยาหลัวตี้ขึ้นมา หลังจากมุ่งหน้ากลับไปข้างในที่พัก เขาเปิดมันออก ด้านในเป็นเม็ดยาสีขาวที่มีขนาดเท่ามือเด็กทารก และห่อหุ้มไว้ด้วยขี้ผึ้ง ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น กลิ่นหอมของยาก็ยังกระจายออกมา เช่นเดียวกับระลอกคลื่นของลมปราณ
“จริงๆ แล้ว แค่หนึ่งเม็ดก็เพียงพอสำหรับข้า แต่ข้าคงไม่อาจกลืนมันลงไปอย่างลวกๆ ได้ ข้าต้องทดสอบว่ามันเป็นของจริงหรือของปลอม” เขาเก็บกล่องหยกไว้ จากนั้นก็ปิดตาลงและเริ่มเข้าฌาณ
เวลาเลื่อนผ่านไป และในไม่ช้าก็เป็นเวลาดึกยามราตรี จันทร์สกาวแขวนอยู่บนท้องฟ้า และทุกสิ่งทุกอย่างก็เงียบสงบ ด้านนอกของภูเขาที่เมิ่งฮ่าวพักอยู่ ปรากฎเป็นเงาร่างสีดำขึ้นอย่างเงียบๆ มันดูท่าทางแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ราวกับเป็นระลอกคลื่นของแผ่นหนังสัตว์ เมื่อมองดูโดยละเอียดก็จะเห็นว่า เป็นร่างของบุคคล ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกจากบุรุษวัยกลางคน ใบหน้าซีดเหลืองซึ่งได้ตายไปแล้ว
ดวงตาของมันส่องประกาย มันมองไปรอบๆ ยังภูเขาที่รายล้อมอยู่ในบริเวณนั้น จากนั้นก็เลือกภูเขาของเมิ่งฮ่าว ร่างของมันแวบขึ้น และลอยตรงขึ้นไปยังห้องพักของเมิ่งฮ่าว
ขณะที่มันเข้าไปใกล้ที่พักซึ่งอยู่ที่จุดบนสุดของภูเขา เมิ่งฮ่าวซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิเข้าฌาณอยู่ ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาสาดประกายเจิดจ้า