ขณะที่โลกรอบๆ ตัวเขาเริ่มสลายไป เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกถึงคลื่นขนาดใหญ่ของลมปราณม้วนกวาดออกมา รายล้อมอยู่รอบตัวเขาและลูกสุนัข เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ โคจรพื้นฐานการฝึกตนในทันที และดูดซับลมปราณจำนวนมากมายนั้นเข้าไป
ลมปราณในที่นี้หนาแน่นมาก มากยิ่งกว่าด่านแรก ทำให้เขารู้สึกว่าถ้าฝึกฝนตัวเองในที่นี้สักพัก เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้เม็ดยาใดๆ เพื่อที่จะสร้างเสาแห่งเต๋าเสาที่สองขึ้นมา
โชคร้ายที่หลังจากการดูดซับลมปราณเข้าไป บางส่วนก็ซึมออกมาจากรอยร้าวในเสาแห่งเต๋า ถ้ามันไม่ซึมออกมา เมิ่งฮ่าวก็มั่นใจว่าในช่วงเวลาสั้นๆ เขาต้องสามารถควบรวมมัน ให้กลายเป็นเสาแห่งเต๋าเสาที่สองได้อย่างแน่นอน
“พื้นฐานสมบูรณ์…” ประกายความมุ่งหวังปรากฎขึ้นในดวงตา
เขาไม่ได้ตื่นเต้นเพียงคนเดียว ลูกสุนัขก็เริ่มดูดซับลมปราณด้วยความรวดเร็ว ร่างของมันค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ลมปราณของมันเข้มแข็งขึ้น ถึงแม้จะมีบางส่วนกระจายออกไป คล้ายกับของเมิ่งฮ่าว
โชคร้ายที่เวลาผ่านไปไม่นานนัก หลังจากผ่านไปเพียงสามวัน ลมปราณในพื้นที่บริเวณนั้นก็ถูกดูดจนเหือดแห้งไป เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้น เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนที่ราบขนาดใหญ่ มีอีกสี่เงาร่างนั่งอยู่ในทิศทางที่แตกต่างกันด้วย ทั้งหมดนั่งขัดสมาธิเข้าฌาณ
เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับที่เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้น พวกมันก็เช่นกัน พวกมันทั้งหมดรวมถึงโลหิตศักดิ์สิทธิ์ ต่างก็มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างกัน
ในแง่การเปลี่ยนแปลง ลูกสุนัขของเมิ่งฮ่าว มีการเปลี่ยนไปเกือบทั้งหมด ตอนนี้มันมีขนาดยาวครึ่งแขน ขนเป็นสีโลหิต มีเขี้ยวที่แหลมคม และกรงเล็บที่เปล่งประกาย ตอนนี้มันมีรูปร่างค่อนข้างจะดุร้ายมากขึ้น
ดวงตาของมันไม่ได้ใสแจ๋วเหมือนก่อนหน้านี้ แสงสีแดงมองเห็นได้ดวงตาคู่นั้น ราวกับว่ามันได้กลายร่าง หลังจากพบเจอเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับความเป็นความตายมาก่อนหน้านี้ ใครก็ตามที่มองดูมันในตอนนี้ ก็จะสัมผัสได้ถึงความดุร้ายของมัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลมปราณของมัน ตอนนี้มันมีความแข็งแกร่งขั้นพื้นฐานลมปราณ!
สำหรับผู้ฝึกตน การบรรลุพื้นฐานลมปราณเป็นเรื่องที่ยากมากๆ แต่สำหรับโลหิตศักดิ์สิทธิ์ เขตขุมทรัพย์เป็นสถานที่พิเศษ ที่นี่ พวกมันเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และพวกมันก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตน แต่เป็นโลหิตศักดิ์สิทธิ์
“โลหิตศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ เพิ่มระดับขั้นอย่างรวดเร็วนัก บางทีอาจเป็นเพราะความสามารถพิเศษที่พวกมันมี หรือบางทีพวกมันเคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต แล้วก็ตายลง และนี่ก็เป็นวิญญาณของพวกมัน”
เมิ่งฮ่าวครุ่นคิดอย่างเคลิบเคลิ้มอยู่สักพัก เวลาผ่านไป และเขาก็มองผ่านหัวไหล่ไปยังด่านที่สอง ไม่มีใครอยู่ด้านใน ตรงขึ้นไปด้านหน้าในด่านที่สาม มีเงาร่างที่ไม่ชัดอยู่สามร่าง ไกลออกไปข้างหน้าในด่านที่สี่ ไม่มีใครอยู่เลย
บุคคลทั้งสามนั้น เห็นได้ชัดว่าออกจากด่านที่สองอย่างรวดเร็ว แทนที่จะใช้เวลาในการดูดซับลมปราณ พวกมันกลับเข้าไปยังด่านที่สามแทน
เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ ดวงตาส่องประกายขณะที่เขาเดินตรงไปยังด่านที่สาม
ในเวลาเดียวกันนั้น ในโลกด้านนอกของเขตขุมทรัพย์เซียนโลหิต ผู้ฝึกตนเกือบหมืนคนได้รวมตัวกันรอบๆ บริเวณนั้น เพื่อมองไปที่ภาพซึ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่บนจอภาพสีโลหิต เสียงพูดคุยดังกระจายไปทั่ว
“ข่าวได้กระจายออกมาแล้ว ตัวตนของบุคคลด้านในเกือบทั้งหมดได้ถูกค้นพบแล้ว ใครจะไปนึกว่าบุคคลอันดับแรกก็คือ หลี่เต้าอี เต้าจื่อของตระกูลหลี่!? คงยากที่จะบอกว่า มันจะได้ครอบครองขุมทรัพย์ในตอนท้ายสุด แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะมีโอกาสดีที่สุดจริงๆ”
“น่าชังนัก! สำนักใหญ่ และตระกูลดัง มักจะเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั้งหมด พวกมันไม่เคยให้โอกาสใครแม้แต่น้อย! ถ้าข้าเป็นคนที่ค้นพบแท่นบูชาที่แปดของเซียนโลหิตนี้ ถึงแม้จะได้สมบัติมาเล็กน้อย แต่ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งชิงด้วยอย่างแน่นอน”
“มันจะมีประโยชน์อะไรที่คิดเช่นนั้น? ทุกคนที่เข้าไปต่างก็เป็นผู้ถูกเลือกจากสำนัก และตระกูลต่างๆ ถึงแม้เจ้าจะไม่ต้องแย่งชิง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ถูกเลือกเหล่านั้น เจ้าก็ช่างอ่อนแอนัก ดูนั่น คนผู้นั้นน่าจะเป็นคนที่เปิดแท่นบูชาที่แปดของเซียนโลหิต ดูว่ามันใช้เวลาไปนานเท่าไหร่ ในด่านที่สอง ดูแล้วมันคงไม่มีทางจะผ่านด่านที่สามได้อย่างแน่นอน”
การพูดคุยที่กระจายไปทั่วพื้นที่รอบๆ เขตขุมทรัพย์เซียนโลหิต ส่วนใหญ่ก็พูดคล้ายกันเช่นนี้
ภายในด่านที่สี่ก็คือ หลี่เต้าอี ดูท่าทางห้าวหาญ และหล่อเหลาในชุดยาวสีเหลือง มันมองออกไปยังที่ห่างไกลด้วยท่าทางเยือกเย็น ทะเลทรายแผ่กว้างกระจายออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา
“นานมาแล้ว ท่านปรมาจารย์ทิ้งประกาศิต และคำพยากรณ์ไว้ เซียนโลหิตอาจจะมาจากตระกูลหลี่ ขุมทรัพย์นี้ต้องเป็นของข้า สำหรับคนอื่นๆ…อืม, ชีวิตของพวกมันจะอยู่ใต้การควบคุมของข้าในด่านที่หก” ใบหน้าของมันสงบเยือกเย็น ก้าวเท้าตรงไปข้างหน้า
กลับไปยังด่านที่สาม เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้วเล็กน้อย สุนัขที่อยู่ด้านข้าง ส่งเสียงเห่าออกมา ขณะที่มันจ้องไปยังต้นไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งปรากฎอยู่ตรงหน้า
ด้านล่างต้นไม้เป็นกระดานโกะ ด้านบนมีเม็ดโกะมากมายนับไม่ถ้วน กระจายออกไปราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า เห็นได้ชัดว่าหมากสีดำกำลังจะพ่ายแพ้ มีหมากสีขาวอยู่หนึ่งเม็ดวางไว้ด้านข้างของกระดาน ราวกับว่ามันกำลังรอให้ใครบางคนมาหยิบ และเล่นมัน
รอบๆ กระดานโกะเป็นต้นไม้หลายร้อยต้น แต่ละต้นสูงขนาดร่างคน ทั่วบริเวณนี้ดูเหมือนจะวิเวกวังเวง การมีต้นไม้ขนาดใหญ่ปรากฎอยู่ ก็ทำให้ดูแปลกประหลาดมากยิ่งขึ้น
เสียงคร่ำครึโบราณดังอยู่ในอากาศ “ในการแข่งขันล่าขุมทรัพย์เซียนโลหิต ตัวอักษร ‘โลหิต’ เน้นการสังหาร ถ้าเจ้าต้องการจะครอบครองขุมทรัพย์ แต่มีความต้องการสังหารไม่เพียงพอ มันก็อาจจะยากสำหรับเจ้า ด่านนี้เน้นการสังหาร แต่อย่างไรก็ตาม ใครก็ตามที่สังหารได้ ต้องมีจิตใจที่เย็นชา และวิญญาณที่เยือกเย็น วางหมากสีขาวลงบนกระดาน และเจ้าจะชนะการละเล่นแห่งความตาย!”
“เจ้ามีโอกาสเพียงครั้งเดียว ถ้าเจ้าแพ้ เจ้าต้องสูญเสียอายุอันยาวนานหนึ่งร้อยปี และเสียโอกาสที่จะได้ครอบครองขุมทรัพย์” ทันทีที่เสียงนั้นหายไป หนึ่งในต้นไม้ตรงเบื้องหน้าก็ระเบิดออกเป็นชิ้นๆ ในทันใด ก่อตัวขึ้นเป็นปีศาจที่มีลมปราณขั้นพื้นฐาน เช่นเดียวกับพลังฝึกตนของเมิ่งฮ่าว
ปีศาจนั้นดูเลือนลาง ยกเว้นดวงตาสีโลหิตทั้งคู่ ที่ส่องประกายรังสีสังหารอันดุร้ายออกมา มันพุ่งตรงเข้าหาเมิ่งฮ่าวในทันที
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายแหลมคม ลูกสุนัขด้านข้าง ส่งเสียงเห่าอันดุร้ายออกมา ขณะที่มันพุ่งโจมตีไปข้างหน้าพร้อมกับเขา
เสียงระเบิดดังออกมา สักพักต่อมา เมิ่งฮ่าวมองไป ขณะที่ปีศาจขั้นพื้นฐานลมปราณหายไป กลายเป็นเส้นใยของลมปราณ ซึ่งจากนั้นก็พุ่งตรงมาที่เมิ่งฮ่าว เมื่อมันเกิดขึ้นเช่นนี้ เสียงประทุก็ดังออกมา ขณะที่ต้นไม้อื่นๆ เริ่มแยกออกจากกัน
หลังจากเวลาผ่านไปชั่วธูปไหม้หมดหนึ่งดอก โลหิตก็ไหลซึมออกมาจากมุมปากของเมิ่งฮ่าว ลูกสุนัขก็บาดเจ็บ และอ่อนแรงลง ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของมันยังดูดุร้าย ขณะที่มันมองไปรอบๆ ปีศาจขั้นพื้นฐานลมปราณห้าตนปรากฎขึ้น
เวลาผ่านไปอีก ยากที่บอกว่าให้แน่ชัดว่านานเท่าไหร่ เมิ่งฮ่าวกระอักโลหิตออกมาอีก เขาได้ต่อสู้เช่นนี้ จนต้นไม้เหล่านั้นอยู่ห่างจากกระดานโกะ และต้นไม่ใหญ่ไม่เกินสองพันจ้าง ดวงตาของเขาแดงก่ำ ขณะที่พุ่งผ่านโลกของด่านที่สาม ตอนนี้เขาถูกล้อมไว้ด้วยปีศาจขั้นพื้นฐานลมปราณสิบสองตน แต่ละตนก็ส่องประกายความต้องการสังหารสูงขึ้นไปในท้องฟ้า
ลูกสุนัขเห่าอยู่ข้างกาย จากนั้นลำแสงสีโลหิตก็แวบขึ้น ฟันอันแหลมคมของมัน กัดลงไปที่ลำคอของหนึ่งในปีศาจขั้นพื้นฐานลมปราณ ทั้งสองช่วยกันสังหารสร้างเป็นเส้นทางตรงไปข้างหน้า ตอนนี้ลูกสุนัขได้บรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณระดับกลางไปแล้ว และเติบใหญ่ต่อไป ความดุร้ายของมันในตอนนี้ยิ่งเห็นได้ชัดมากขึ้น
หลายชั่วยามหลังจากนั้น เมิ่งฮ่าวเดินโซเซไปตามทาง กระอักโลหิตออกมาเพิ่ม ตรงขึ้นไปด้านหน้า ปีศาจขั้นพื้นฐานลมปราณยืนอยู่ด้วยอาการเหนื่อยหอบ ดูเหมือนมันจะใช้พลังทั้งหมดเท่าที่เป็นไปได้พุ่งตรงมาข้างหน้า เมื่อมันทำเช่นนั้น ความต้องการสังหารของเมิ่งฮ่าวก็พุ่งกระจายออกมา
มือขวาของเขากำเป็นหมัด ไม่สนใจรังสีกระบี่ที่พุ่งเข้ามา กระแทกหมัดตรงเข้าไปในหน้าอกของปีศาจตนนั้น หมัดของเขาทันใดนั้นก็เปิดออก และดาบสายลมก็พุ่งออกมาตามด้วยเสียงระเบิด เมิ่งฮ่าวกระอักโลหิตออกมาอีก ในเวลาเดียวกันนั้น ปีศาจขั้นพื้นฐานลมปราณก็ตัวสั่น และจากนั้นก็ระเบิดออก
ห่างออกไปไม่ไกลนัก เมื่อแสงสีโลหิตของลูกสุนัขผ่านพ้นไป กรงเล็บอันแหลมคม และฟันของมันก็ฉีกกระชาก ปีศาจขั้นพื้นฐานลมปราณหลายตนออกเป็นชิ้นๆ จากนั้น มันก็ดูดซับลมปราณของพวกปีศาจอย่างรวดเร็ว และกลับไปที่ข้างกายเมิ่งฮ่าว
ร่างของมันปกคลุมไปด้วยบาดแผล ซึ่งมีโลหิตไหลซึมออกมา ลมปราณของมันอ่อนแอ แต่ความดุร้ายยังคงรุนแรงเช่นเคย ดูเหมือนมันกำลังชำระบาปด้วยโลหิต
เมิ่งฮ่าวกลืนเม็ดยาลงไป และจากนั้นก็โยนบางส่วนลงไปให้ลูกสุนัข เสื้อผ้าของเขาฉีกขาด แต่ดวงตาส่องประกาย เงยหน้าขึ้น มองเห็นในที่ห่างไกลระหว่างเขา และต้นมันใหญ่ ในตอนนี้ห่างกันน้อยกว่าสองพันจ้าง
ในตอนนั้นเอง เสียงแผดร้องก็ดังกระจายไปทั่วอากาศ ปีศาจขั้นพื้นฐานลมปราณยี่สิบตนปรากฎขึ้น วิ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าวด้วยความเร็วสูงสุด
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าปกคลุมไปทั่วใบหน้า แต่ดวงตาของเขาสาดประกายเจิดจ้า ยกมือขึ้น และหมอกสายฟ้าก็ปรากฎ ประจุไฟฟ้ากระพริบอยู่รอบๆ ตัว ขณะที่พุ่งตรงไปต่อสู้กับปีศาจเหล่านั้น
บาดแผลแล้ว บาดแผลเล่า, ต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า สองชั่วยามผ่านไป ใบหน้าเมิ่งฮ่าวก็ซีดขาว ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากต้นไม้ใหญ่สองร้อยจ้าง วิ่งไปด้านหลังพร้อมกับลูกสุนัข ห่างออกมาจากปีศาจขั้นพื้นฐานลมปราณ พวกมันหยุดนิ่งไปทีละตน กลายร่างกลับไปเป็นต้นไม้เหมือนเดิม
ห่างออกไปไกลจากพวกมัน เมิ่งฮ่าวนั่งลงขัดสมาธิ และกลืนเม็ดยาลงไปเพื่อช่วยรักษาบาดแผล ลูกสุนัขที่อยู่ด้านข้างก็กลืนเม็ดยาไปด้วยเช่นกัน และเริ่มฟื้นฟูร่างกายอย่างรวดเร็ว สี่วันผ่านไป ก่อนที่เมิ่งฮ่าวจะลืมตาขึ้นมาในทันที ลูกสนัขดูท่าทางดุร้ายมากขึ้น ขณะที่ทั้งสองพุ่งเข้าไปต่อสู้อีกครั้ง
ครั้งนี้ พวกเขาต่อสู้ห่างจากต้นไม้ใหญ่ห้าร้อยจ้าง จนกระทั่งพวกเขาไปต่ออีกไม่ได้ ก็จะถอยหลังกลับ
ในวันต่อมา เมิ่งฮ่าว และลูกสุนัขยังคงต่อสู้ และหยุดพักต่อไป ดวงตาของเมิ่งฮ่าวมีความโหดเหี้ยมขึ้นเรื่อยๆ การโจมตีของเขาก็ยิ่งเด็ดขาดมากขึ้น ในตอนนี้ เขาได้ใช้พลังฝึกตนไปเพียงเจ็ดในสิบส่วน อีกสามส่วนเขาใช้จิตสัมผัสเข้ามาช่วย
สำหรับลูกสุนัข ตอนนี้ร่างของมันยาวเท่าแขน ท่าทางดุร้ายมากขึ้น กรงเล็บของมันยืดออกมาเต็มที่ เช่นเดียวกับฟันแลเขี้ยวอันแหลมคมของมัน ดูเหมือนว่ามันสามารถจะฉีกกระชากทุกสิ่งทุกอย่างออกเป็นชิ้นๆ ดวงตาของมันเป็นประกายสีแดงจ้า ทำให้มันดูอำมหิตโหดร้ายมากยิ่งขึ้น
ห้าร้อยจ้าง, สามร้อยจ้าง, หนึ่งร้อยจ้าง…เมิ่งฮ่าวถูกกักอยู่ในด่านนี้มากกว่าหนึ่งเดือน ในไม่ช้า เขาก็ไปถึงระยะยี่สิบจ้างจากต้นไม้ใหญ่ ลูกสุนัขไม่ส่งเสียงเห่าอีกต่อไป มันกัดลงไปบนมุมชายเสื้อของเมิ่งฮ่าว ลากเขาตรงไป เมิ่งฮ่าวไม่ใส่ใจมากเท่าไหร่ ปล่อยให้มันลากเขาไป และทั้งสองก็พุ่งตรงไป ทะลวงผ่านปีศาจขั้นพื้นฐานลมปราณที่ต่อต้านอยู่ ทะลุไปถึงระยะยี่สิบจ้าง
ขณะที่พวกเขาเข้าไปใกล้ต้นไม้ใหญ่ ลูกสุนัขก็อ้าปากขึ้น จากนั้นก็หมุนควงพุ่งตรงไปโจมตีปีศาจขั้นพื้นฐานลมปราณ เมิ่งฮ่าวไม่ลังเล เขาหยิบหมากสีขาวขึ้นมา กวาดตามองไปทั่วทั้งกระดานโกะ จากนั้นก็วางมันลงไป
ทันทีที่เม็ดหมากแตะพื้นกระดาน ทั่วทั้งโลกแห่งนี้ก็เงียบสงัด ทุกสิ่งทุกอย่างเบื้องหน้าของเมิ่งฮ่าว ดูเหมือนกระจกที่กำลังแตกกระจายออกเป็นชิ้นๆ ลมปราณอันไร้ขอบเขตประดังเข้ามาในตัวเขา
เขารู้ว่า เขาได้ผ่านด่านที่สามแล้ว
เมื่อมันเกิดขึ้น ผู้ฝึกตนที่ด้านนอกของเขตขุมทรัพย์เซียนโลหิต รอบๆ ดินแดนด้านใต้ก็ตกอยู่ในความวุ่นวายโกลาหล
“เต้าจื่อตระกูลหลี่, หลี่เต้าอี ทะลวงผ่านด่านที่สี่ มันต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน…”
“นั่นคือ หวังอู๋เต๋อ แห่งสำนักเซี่ยเยา (อสูรโลหิต) มันอยู่ด้านหลังหลี่เต้าอี มันเป็นอันดับสองของผู้ที่เข้าสู่ด่านที่สี่ ทุกคนต่างก็ติดอยู่ในด่านที่สาม ใครจะเป็นคนที่สามที่จะ…”
“มันน่าจะเป็นหวังลี่ไห่ มันก็เป็นเต้าจื่อด้วย จริงๆ แล้ว ตระกูลหวังก็ทุ่มจนสุดตัว พวกมันส่งเต้าจื่อ…อา??”
“มีสามคนเพิ่งออกมาในเวลาเดียวกัน! นั่นคือ หวังลี่ไห่ และซ่งเจีย และอีกคนก็คือ…วาว, มันนั่นเอง?!”