“มีเกราะเวทอยู่ด้านบน ทำให้ไม่สามารถออกไปได้” เขากล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ข้าไม่สามารถทำลายมัน แต่หลังจากสังเกตมาหนึ่งเดือน ก็พบว่าสายฟ้าสามารถโยกคลอนมันได้”
ดวงตาของฉู่อวี้เยียนไม่เต็มไปด้วยความสับสนอีกต่อไป แต่ส่องประกายด้วยแสงแห่งชีวิต และมีเสน่ห์อยู่เล็กน้อยขึ้นแทนที่
เมิ่งฮ่าวยกมือขึ้นไปในอากาศ และทำท่าคว้าจับ อสรพิษก็ส่งเสียงร้องลอยตรงมา เขาจับมันไว้อย่างช่ำชองชำนาญ กดนิ้วลงไปยังจุดที่อ่อนแอบนศีรษะของมัน
จับอสรพิษถือไว้ในมือ เขามองไปที่ฉู่อวี้เย็นด้วยสีหน้าเรียบเฉย โดยไม่มีการอธิบายใดๆ เขาเดินตรงไป และโอบไปรอบๆ เอวที่อ่อนนุ่ม ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ และเนื่องจากเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น ทำให้มือของเมิ่งฮ่าววางไปบนผิวกายของนางโดยตรง
ร่างของเขาแวบขี้นขณะที่กระบี่บินอยู่ใต้เท้าพุ่งขึ้นไป พาฉู่อวี้เยียนไปด้วย พวกเขาพุ่งขึ้นไป ทะลุกลุ่มหมอกออกไป และในที่สุด ก็มาถึงเกราะเวท เมิ่งฮ่าวโยนอสรพิษไปที่มัน ฉู่อวี้เยียนไม่หลบสายตา มองไปขณะที่ร่างของอสรพิษกลายเป็นหมอกควันของโลหิต และจากนั้นกระดูกสีขาวโพลนอันน่ากลัวก็ตกลงไปด้านล่าง สีหน้าของนางส่องประกาย
เมิ่งฮ่าวตบไปที่ถุงสมบัติ และกระบี่บินสิบเล่มก็ปรากฎ พวกมันกลายเป็นลำแสงขณะที่พุ่งตรงออกไป และต่อมาก็กลายเป็นเถ้าธุลี
หลังจากที่ทำสิ่งนี้ทั้งหมด เมิ่งฮ่าวก็จ้องไปที่นางด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็โอบกอดนางจนแน่น บินกลับลงมายังก้นของปล่องภูเขาไฟ
การถูกโอบกอดโดยเมิ่งฮ่าวทำให้นางรู้สึกแปลกๆ เมื่อพวกเขาก้าวเท้าไปบนพื้น นางก็ถอยไปด้านหลังหลายก้าว “เจ้าต้องการเม็ดยาอะไร?” นางถามเสียงราบเรียบ
“เม็ดยาเจ็ดสายฟ้า” เขากล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม
“เม็ดยาเจ็ดสายฟ้า?” นางกล่าวพร้อมขมวดคิ้ว นางไม่เคยได้ยินชื่อเม็ดยาเช่นนี้มาก่อน
“ข้าได้สูตรมันมาจากสถานที่โบราณแห่งหนึ่ง มันสามารถกระตุ้นสายฟ้าจากสวรรค์ได้ ถ้าเจ้าสามารถปรุงมัน พวกเราก็สามารถไปจากสถานที่นี้ได้”
เขาไม่พูดอะไรเพิ่ม ปล่อยให้นางชั่งน้ำหนักถึงผลได้ผลเสียด้วยตัวเอง การอธิบายเพิ่มเติม ก็จะทำให้มีคำถามเพิ่มตามมา และเขาก็ไม่ต้องการให้นางเริ่มคิดในทางเช่นนั้น
นางนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ในที่สุดก็กล่าวขึ้น “การปรุงเม็ดยา ข้าต้องใช้เตาปรุงยา” ถึงแม้นางจะไม่เคยได้ยินชื่อเม็ดยาเจ็ดสายฟ้ามาก่อน แต่นางก็ได้เห็นเกราะเวทนั้นด้วยสองตาตัวเอง
เมิ่งฮ่าวตบไปที่ถุงสมบัติ และเตาปรุงยาเล็กๆ ก็ปรากฎขึ้น มีขนาดเท่าฝ่ามือ นี่เป็นสิ่งที่เขาได้มาจากถุงสมบัติของซ่างกวนซิว ซึ่งมันได้เตรียมไว้เพื่อตั้งใจจะปรุงยาด้วยตัวของมันเอง
“เตาหยกเจ็ดดาว!” เมื่อฉู่อวี้เยียนมองไปที่เตาปรุงยานั้น ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความตกใจ นางรู้จักเตาปรุงยาชนิดนี้ คุณสมบัติของมันเกินกว่าเตาปรุงยาทั่วไป และมีค่ามากเป็นอย่างยิ่ง นางมองกลับไปยังเมิ่งฮ่าว “นอกจากเตาปรุงยาแล้ว ข้ายังต้องใช้ไฟจากสวรรค์ และปฐพี”
เมิ่งฮ่าวยกมือขึ้น และกระบี่ไม้สองเล่มก็ปรากฎในทันที พวกมันแทงลงไปในพื้นดิน หมุนเป็นเกลียวลงไปยังพื้นโลก ผ่านไปสักพัก จากนั้นเสียงดังก้องก็ได้ยินออกมา ลมร้อนพุ่งออกมา ตามด้วยกระบี่ไม้สองเล่ม จากภายในของหลุมขนาดฝ่ามือ ที่สร้างขึ้นจากระบี่ไม้สองเล่มนั้น เปลวไฟพุ่งขึ้นมา นี่คือเปลวไฟแห่งปฐพี
พวกเขาอยู่ในปล่องภูเขาไฟ และก็กลายเป็นว่าภูเขาไฟนี้ยังไม่ได้ดับลงไปทั้งหมด เมิ่งฮ่าวได้สำรวจข้างในพื้นที่แห่งนี้ หลังจากที่พลังฝึกตนของเขาได้กลับคืนมา และค่อนข้างมั่นใจเจ็ดถึงแปดในสิบส่วนเกี่ยวกับเรื่องนี้
“เจ้ามีเตาปรุงยา และไฟแห่งปฐพีแล้ว” เมิ่งฮ่าวกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าต้องการอะไรอีก?”
ฉู่อวี้เยียนมองไปยังหลุมที่มีเปลวไฟพุ่งขึ้นมา สัมผัสถึงความร้อนของเปลวไฟ จากนั้นก็มองไปที่เตาปรุงยาในมือของเมิ่งฮ่าว นางต้องยอมรับอย่างช่วยไม่ได้ว่า สถานที่นี้ช่างเหมาะสมต่อการปรุงยาเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าต้องฟื้นฟูพลังฝึกตนของข้าบางส่วน” นางกล่าว ดวงตาส่องประกาย
เขาจ้องไปที่นางอย่างเย็นชา จากนั้นก็ยกมือขึ้น หินลมปราณระดับต่ำก็พุ่งตรงไปที่เบื้องหน้านาง พลังลมปราณของนางเหมือนจะพุ่งขึ้นมา ขณะที่คว้าจับไปที่หินลมปราณในอากาศด้วยสองมืออันละเอียดอ่อน
นางกัดฟันแน่น จากนั้นก็ทำตามตัวอย่างที่เคยเห็นมาจากเมิ่งฮ่าว กระแทกฝ่ามือไปบนก้อนหินที่อยู่ใกล้ๆ ให้เปิดออกเป็นแผล ความเจ็บปวดทำให้ใบหน้าซีดขาว และร่างก็สั่นสะท้าน กัดฟันจนแน่น เอาหินลมปราณใส่เข้าไปในบาดแผลนั้น
จากนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิ เริ่มโคจรพลังลมปราณ ครึ่งชั่วยามผ่านไป นางก็ลืมตาขึ้น พลังฝึกตนของนางก็กลับคืนมาอยู่ที่ระดับสอง หรือสามขั้นรวบรวมลมปราณ
“เอาสูตรปรุงยามาให้ข้า” นางกล่าว ลุกขึ้นยืน “ข้าต้องใช้ถุงสมบัติด้วยเช่นกัน” ผิวหนังของนางคืนสภาพกลับมาด้วยพลังฝึกตน ตอนนี้มันเป็นเงางาม ส่องประกายอันนุ่มนวลอ่อนโยนออกมา นางมองไปยังเมิ่งฮ่าว
เขาดึงแผ่นหยกออกมา วางไปตรงช่องว่างระหว่างคิ้ว จากนั้นก็โยนไปให้ฉู่อวี้เยียน ต่อมา ก็หยิบต้นสมุนไพรหลายชนิดออกมายื่นส่งให้
“เม็ดยาเจ็ดสายฟ้า ต้องใช้เจ็ดเม็ดยารองเป็นส่วนผสม แผ่นหยกนี้แสดงถึงวิธีปรุงยาหนึ่งในเจ็ด มีวัตถุดิบเพียงพอที่จะปรุงขึ้นมาสองเม็ด นั้นคือสิ่งที่มีทั้งหมด ดังนั้นเจ้ามีโอกาสเพียงสองครั้ง ถ้าเจ้าล้มเหลว พวกเราก็ไม่มีความหวังที่จะจากไป”
เขาโยนเตาปรุงยา พร้อมกับถุงสมบัติที่ว่างเปล่าไปให้นาง โดยไม่พูดอะไรออกมาอีก เขานั่งลงขัดสมาธิอยู่นอกถ้ำ ปิดตาลงเข้าฌาณ
ฉู่อวี้เยียนขมวดคิ้ว นางยกเตาปรุงยาขึ้นอย่างเงียบๆ และเอาต้นสมุนไพรเก็บเข้าไปในถุงสมบัติ ต่อมา, ก็ไปอยู่ใกล้กับเปลวไฟที่พุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน และศึกษาเปลวไฟนั้นเล็กน้อย จากนั้น ก็นั่งลงขัดสมาธิ และเริ่มวิเคราะห์แผ่นหยก
เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้น และมองไปที่นางสักพักก่อนที่จะปิดตาลงอีกครั้ง
เม็ดยาเจ็ดสายฟ้าที่เขาได้ขอให้นางช่วยปรุงให้ จริงๆ แล้วก็คือเม็ดยาพื้นฐานสมบูรณ์นั่นเอง ต้องปรุงเม็ดยานี้เท่านั้น ถึงจะมีความหวังที่จะดึงดูดทัณฑ์สายฟ้าจากสวรรค์ได้ และก็มีโอกาสที่จะเปิดเกราะเวทนั้นออกไปได้
ขณะที่ฉู่อวี้เยียนเริ่มปรุงยานี้ นางอาจจะเริ่มสงสัยขึ้นมา แต่เมิ่งฮ่าวก็ไม่สนใจเรื่องนี้ เม็ดยาพื้นฐานสมบูรณ์จำเป็นต้องใช้เจ็ดเม็ดยารอง ขาดไปเพียงหนึ่งเม็ดก็ไม่สามารถปรุงได้สำเร็จ และเม็ดยารองก็ไร้ประโยชน์ด้วยตัวของมันเอง มันจะมีผลก็ต่อเมื่อรวมเข้าด้วยกัน
เมิ่งฮ่าวมีสองเม็ดยารองอยู่ในครอบครอง และแน่นอนว่า ฉู่อวี้เยียนไม่สามารถปรุงพวกมันขึ้นมาได้
“มีสิ่งแปลกๆ อยู่มากมายในสถานที่นี้” เขาคิดในใจ “ข้าต้องฟื้นพลังฝึกตนให้มากกว่านี้ ข้าควรจะไปตรวจดูรอบๆ โดยเฉพาะที่ทะเลสาบแห่งโลหิตนั่น”
ผ่านไปสักพัก เขาลุกขึ้นยืน โดยไม่สนใจฉู่อวี้เยียน ซึ่งกำลังนั่งศึกษาแผ่นหยกอยู่ในตอนนี้ เขาเดินตรงหายลับตาไปในกลุ่มหมอก
ฉู่อวี้เยียนจ้องมองขณะที่เขาจากไป จากนั้นก็มองกลับลงไปยังหินลมปราณที่ฝังอยู่ในเนื้อบนฝ่ามือ
“หินลมปราณระดับต่ำ ไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นตราประทับของข้าได้…อย่างน้อยที่สุด ข้าต้องการหินลมปราณระดับกลาง ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ข้าก็ยังไม่มั่นใจถึงผลลัพธ์ของมันอย่างเต็มที่ ผ่านไปมากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว ก็ยังไม่มีใครจากสำนักมาถึงที่นี่เลย ซึ่งก็พิสูจน์ได้ว่า เกราะเวทนั้นสามารถสะกดได้ทุกอย่าง อืม, ข้าคงต้องปรุงเม็ดยาเจ็ดสายฟ้าให้มัน ซึ่งเป็นเพียงโอกาสเดียวที่จะออกไปจากที่นี้ได้”
ด้วยการถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา นางก็ตรวจสอบแผ่นหยกต่อไป นางทำอย่างเคร่งเครียดจริงจังมากกว่าที่เคยทำ ในการศึกษาทุกสิ่งทุกอย่างกับอาจารย์ในสำนักที่ผ่านมา
เจ็ดวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมิ่งฮ่าวไม่ได้กลับมาที่ถ้ำ แต่นั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำที่เขาขุดออกมาจากผนังหิน เหนือขึ้นไปจากชายฝั่งของทะเลโลหิตหนึ่งร้อยจ้าง
เบื้องหน้าเขาเป็นต้นชุนชิวสิบต้น ใบหน้าเขาซีดขาว และร่างกายก็สั่นสะท้าน ในมือมีต้นชุนชิวอยู่อีกหนึ่งต้น เขาเปิดตาขึ้น และถอนหายใจยาวออกมา
ลมหายใจที่เขาปล่อยออกมา กลายเป็นดอกไม้สามสี ซึ่งดูเหมือนใบหน้าปีศาจ มันยิ้มอย่างดุร้าย และจากนั้นก็ค่อยๆ จางหายไปช้าๆ
เขามองกวาดผ่านต้นไม้ทั้งสิบตรงหน้า ก่อนหน้านี้สักพัก พิษกำเริบขึ้นมา และเขาก็ใช้ต้นชุนชิวสะกดมันไว้ได้สำเร็จ “ต้นชุนชิวสามารถสะกดพิษในตัวข้าได้จริงๆ”
เขาโบกสะบัดแขนเสื้อ รวบรวมต้นที่เหลือ ปรับพลังฝึกตน จากนั้นก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง และมองไปยังทะเลสาบโลหิต ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“สถานที่นี้แปลกประหลาดจริงๆ ราวกับว่ามันถูกผนึกไว้ ยิ่งไปกว่านั้น มันมีทะเลสาบโลหิตนี้…ข้าติดอยู่ที่นี่มาสองเดือน และนอกจากครั้งแรกที่พวกเรามาที่นี่ ไม่มีประสบการณ์รับรู้ถึงอันตรายอย่างแท้จริง ข้าไม่ควรฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเม็ดยาพื้นฐานสมบูรณ์ ข้าควรจะเตรียมตัวในกรณีที่ฉู่อวี้เยียนปรุงยาไม่สำเร็จ ที่นี่เป็นสถานที่แปลกประหลาดมากที่สุด ในพื้นที่ทั้งหมดนี้”
“จริงๆ แล้ว ข้ารู้สึกว่าเหตุผลที่สถานที่นี้ถูกผนึกไว้ มันต้องเริ่มมาจากบางอย่างในทะเลสาบโลหิตนี้อย่างแน่นอน” เขายืนขึ้นช้าๆ และเดินออกไปนอกถ้ำ พ่นธวัชสายฟ้าออกมา กลายเป็นกลุ่มหมอกที่เต็มไปด้วยประจุไฟฟ้าปกคลุมไปรอบตัว จากนั้นก็เริ่มเข้าไปใกล้ทะเลสาบโลหิตอย่างช้าๆ
เมื่อเขาก้าวเท้าเข้าไปในพื้นที่หนึ่งร้อยจ้างรอบๆ ชายฝั่ง ระลอกคลื่นก็ปรากฎขึ้นบนผิวน้ำที่เรียบสงบนั้น ดวงตาเขาส่องประกาย และเดินเข้าไปอีก
ยิ่งเขาเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ ระลอกคลื่นก็ปรากฎขึ้นมากเท่านั้น เสียงกระหึ่มดังออกมา และแท่นบูชาหินสีเขียวเข้มก็ปรากฎขึ้นอย่างช้าๆ เกิดเป็นคลื่นพลุ่งพล่านปั่นป่วน เมื่อมันลอยสูงจากพื้นผิวของทะเลสาบ ตั้งอยู่บนหลังของร่างโลหิตมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งมีใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความทุกข์ทรมาน แท่นบูชาลอยสูงขึ้น และสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
บัลลังก์ที่วางบนแท่นบูชานั้น นั่งไว้ดวยซากศพที่สวมหน้ากาก มากกว่าครึ่งของแท่นบูชาลอยขึ้นมาจนมองเห็นได้
เมิ่งฮ่าวหยุดเดิน และก้าวถอยหลังออกไปช้าๆ เขาพบว่าถ้าทำเช่นนี้ แท่นบูชาก็จะหยุดการลอยขึ้นไป จากนั้นก็เริ่มจมลงไปอย่างช้าๆ
“น่าสนใจนัก” เมิ่งฮ่าวกล่าว ดวงตาวาววับ เขาหยุดการเดินถอยหลัง จากนั้นก็เดินข้างหน้าช้าๆ เมื่อเขาเข้าไปใกล้ บุรุษ และสตรีที่ค้ำแท่นบูชานั้นก็เริ่มส่งเสียงร้องครวญครางออกมา แท่นบูชาลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ในที่สุด แท่นบูชาที่สูงห้าสิบจ้างก็โผล่ขึ้นมาจากทะเลสาบทั้งหมด
เมิ่งฮ่าวหยุดเดิน มองลงไป เขาสามารถเห็นบางสิ่งที่มีขนาดใหญ่โตซุกซ่อนอยู่ในทะเลสาบ
ถึงแม้ว่ามันปรากฎขึ้น ราวกับว่าแท่นบูชากำลังถูกยกขึ้นไปโดยบุรุษ และสตรีกลุ่มนั้น แต่จริงๆ แล้ว แท่นบูชานั้นถูกดันขึ้นไปโดยสิ่งที่แฝงตัวอยู่ในส่วนลึกของทะเลสาบมากกว่า
เมิ่งฮ่าวที่มีกลุ่มหมอกสายฟ้ารายล้อม ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ สักพัก จากนั้นเขาก็เดินตรงไป ผ่านเข้าไปยังเขตสิบจ้างที่อยู่รอบทะเลสาบ แท่นบูชาถูกยกขึ้นไป ทันใดนั้น ศีรษะขนาดใหญ่มหึมาก็พุ่งขึ้นมาจากทะเลสาบโลหิต แท่นบูชาวางอยู่ด้านบนสุดของศีรษะนั้น!
มันมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งร้อยจ้าง และมีสีเขียวเข้ม นี่ไม่ใช่ศีรษะของสิ่งมีชีวิต มันก่อตัวขึ้นมาจากก้อนหิน เมื่อเมิ่งฮ่าวเดินเข้าไปถึงชายหาดของทะเลสาบโลหิต ศีรษะนั้นก็ลอยขึ้นมาจนมองเห็นได้ทั้งหมด
โลหิตไหลออกมาจากทวารทั้งหมดบนใบหน้านั้น ซึ่งบิดเบี้ยวด้วยความน่าสยดสยอง ปากของมันเปิดออก และเสียงอันยิ่งใหญ่คร่ำครึโบราณก็ดังออกมา
“ชนเผ่าโบราณไท่เอ้อ, ขุมทรัพย์เซียนโลหิต เข้ามายังทะเลเลือดของข้า; เก้าเปิดออกในดินแดนด้านใต้; และจะรับรู้กันไปทั่ว บุคคลแรก…จะได้รับสายเลือดแห่งเซียนโลหิต!”
เสียงนี้ดังเข้าไปในศีรษะของเมิ่งฮ่าวโดยตรง เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องไปทั่ว