เวลาเดินไปอย่างช้าๆ ในที่สุดครึ่งเดือนก็ผ่านไป ในคืนที่พิเศษคืนหนึ่ง จันทร์เต็มดวงทอแสงเจิดจ้าเป็นพิเศษ สุกสว่างกว่าดวงดาวเกือบทั้งหมด ลอยอยู่กลางท้องฟ้า สาดแสงปกคลุมพื้นปฐพี ด้วยแสงสีเงินอันอ่อนโยน
ดูเหมือนว่าแสงนี้จะเจิดจ้ามากเป็นพิเศษ เหนือท้องฟ้าของหุบเขาทั้งเจ็ด โดยเฉพาะหุบเขาที่เมิ่งฮ่าวอยู่ เมื่อมันส่องแสงลงมายังกลุ่มหมอก หมอกกลุ่มนั้นก็เริ่มเดือดพล่าน ค่อยๆ ม้วนตัวจนดูเหมือนกระแสน้ำวนอย่างช้าๆ
ด้านนอกของหุบเขา ผู้ฝึกตนเจ็ดคนกำลังรอบางสิ่งอยู่ ดวงตาของพวกมันส่องประกาย จ้องไปยังกลุ่มหมอกภายในหุบเขา ด้วยสีหน้าจดจ่อมุ่งหวัง
“เวลามาถึงแล้ว…” เฒ่าคางคกกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา ถึงแม้คำพูดจะดังออกมาจากปากของมัน แต่ก็ยังได้ยินเสียงเสียดสีดังออกมาจากภายในกลุ่มหมอก
เสียงนั้นได้ยินไม่ค่อยชัดนัก แต่เมื่อมันมากระทบหู ก็แทงเข้าไปในจิตใจ เสียงกรอบแกรบดังออกมา และกลุ่มหมอกภายในหุบเขาก็กระเพื่อมไปมา
เวลาผ่านไป เสียงเสียดสีก็ได้ยินชัดเจนมากยิ่งขึ้น ท่ามกลางเสียงกรอบแกรบที่อยู่ห่างไกลออกไป กลุ่มหมอกที่ม้วนตัวไปมา ก็หมุนวนรวมตัวกัน จนกระทั่งปรากฎเป็นวังน้ำวนขนาดใหญ่
ริมขอบของกลุ่มน้ำวนแห่งหมอกนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะสามารถเจาะไชเข้าไป ในผนังของหน้าผาที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้น ทำให้หินดินทรายผสมรวมกัน ไหลลงมาจากผิวของหน้าผา
ในเวลานั้นเอง เชือกสีแดงก็ปรากฎขึ้นมาจากภายในกระแสน้ำวนนั้น มีความหนาเท่าแขนคน และมีสีแดงราวกับว่า ถูกย้อมด้วยโลหิตของผู้คนมากมายจนนับไม่ถ้วน
เสียงหึ่งๆ ดังกระจายไปทั่ว เมื่อทั้งกระแสน้ำวน และเชือกหมุนวนไปมา ทันทีที่เชือกปรากฎขึ้น บุรุษทั้งเจ็ดก็ดูเหมือนว่าจะกระตือรือล้นขึ้น
ดวงตาของเฒ่าคางคกเปล่งประกายขึ้นมา มันกัดลิ้นตัวเองเล็กน้อย และพ่นโลหิตออกมา ในเวลาเดียวกัน ก็ขยับมือในรูปแบบการสร้างเวทอาคม และหยิบชิ้นส่วนโลหะสีดำ ออกมาจากถุงสมบัติ
บุรุษอีกหกคนก็ทำเช่นเดียวกัน พ่นโลหิตออกมา และหยิบชิ้นส่วนโลหะสีดำออกมา ดูเหมือนว่าพวกมันจะคุ้นเคยกับขั้นตอนพวกนี้ ราวกับว่าพวกมันเคยทำเช่นนี้มาก่อน
โลหิตลอยเข้าไปในกระแสน้ำวน และทำให้กระแสน้ำวนนั้นหยุดการหมุนวนในทันที แต่เชือกยังคงหมุนต่อไป
เศษโลหะสีดำจากบุรุษทั้งเจ็ด หมุนวนขึ้นไปในอากาศ จากนั้นก็รวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นดาบใบกว้างสีดำ!
ดาบลอยอยู่ด้านบนของหุบเขา ชี้ลงมายังเชือกสีแดง ทำให้เชือกหยุดการหมุนวนในทันที
เฒ่าคางคกตะโกนออกมาเบาๆ ลอยตัวไปคว้าเชือกสีแดงด้วยสองมือ มันจับไว้โดยไม่ลังเล ถึงแม้ว่าจริงๆ แล้ว เชือกนั้นมีเมือก ที่เหมือนกับเคลือบไว้ด้วยโลหิต บุรุษอีกหกคน ปรากฎขึ้นด้านหลังมัน รวมพลังเข้าด้วยกันเพื่อฉุดดึงเชือกเส้นนั้น
เสียงกระหึ่มกึกก้องดังสนั่นหวั่นไหว กระจายออกไปทั่วพื้นที่บริเวณนั้น เชือกค่อยๆ โผล่ออกมาจากภายในกระแสน้ำวนนั้นเกือบสิบจ้าง (1 จ้าง = 1 เมตร) ลมปราณสีดำไหลออกมา กระจายเต็มอยู่ในอากาศ จนในที่สุด มันก็ปกคลุมไปทั่วทั้งถ้ำที่เมิ่งฮ่าวนั่งเข้าฌาณอยู่
“ร้อยจ้าง พวกเราได้หินวิญญาณหยก, สองร้อยจ้าง ได้พิษในพิษ ครั้งที่แล้วพวกเราดึงได้ถึงสามร้อยจ้าง และก็ได้หินผนึกสัตว์อสูร วันนี้พวกเราออกมาทั้งหมด ต้องดึงให้ได้ถึงห้าร้อยจ้าง!”
“ถูกต้อง! จากบันทึกโบราณของชนเผ่าพวกเรา ถ้าดึงมาได้ห้าร้อยจ้าง มันก็จะเปิดผนึกแรกออกมา และวิญญาณบรรพบุรุษของชนเผ่า ก็จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้น กลายเป็นพื้นฐานพิษ และพลังฝึกตนของพวกเราก็จะขยับขึ้นไปอีกขั้น!” ดวงตาของคนทั้งเจ็ดสาดประกาย และช่วยกันดึงเชือกเส้นนั้น
ส่วนลึกสุดของกระแสน้ำวนไม่สามารถเห็นได้ ไม่มีสิ่งใดนอกจากความมืดมิด ทำให้เชือกสีแดงดูเหมือนจะยาวจนไร้ที่สิ้นสุด ทุกครั้งของการฉุดลากเชือกเส้นนั้น ก็ทำให้หุบเขารอบๆ บริเวณนั้นสั่นสะเทือน พื้นดินกระเพื่อมไปมา ราวกับว่าปลายสุดของเชือก ได้ผูกติดไว้กับแกนกลางของโลก
เสียงระเบิดอย่างน่าตกใจดังออกมา ขณะที่พวกมันลากดึงต่อไป พิษในพิษกระจายออกมามากขึ้น เมื่อเชือกปรากฎออกมายาวถึงสามร้อยจ้าง ทันใดนั้น กลิ่นเหม็นราวปลาเน่า ก็กระจายออกมาจากส่วนลึกของกระแสน้ำวนนั้น
ดูเหมือนว่ากลิ่นเหม็นนี้ไม่เคยปรากฎขึ้นมาก่อน สีหน้าของบุรุษทั้งเจ็ดเปลี่ยนไป พื้นที่รอบๆ เส้นเชือก ก็ดูเหมือนว่าจะถูกปกป้องจากกลิ่นเหม็น และพิษในทันที ใบหน้าของพวกมันซีดขาว บุรุษทั้งเจ็ดกัดฟันแน่น และช่วยกันลากดึงเส้นเชือกนั้นอีกครั้ง
สามร้อยห้าสิบจ้าง, สามร้อยแปดสิบจ้าง, สีร้อยจ้าง!
บุรุษทั้งหมดเหนื่อยหอบ พวกมันใช้พลังลมปราณไป เจ็ดถึงแปดในสิบส่วน โดยไม่ลังเล พวกมันหยิบเม็ดยาใส่เข้าไปในปาก และลากดึงเส้นเชือกนั้นอีกครั้ง ห้าในเจ็ดคนกระอักโลหิตออกมา
จนในที่สุด ก็เหลือเพียงเฒ่าคางคก และบุรุษอีกคน ที่อยู่ในระดับเก้า ขั้นรวบรวมลมปราณ ช่วยกันฉุดดึง พวกมันกัดฟันจนแน่น ไม่สามารถหยุดการสั่นสะท้านของร่างกายได้
“ข้าถึงขีดจำกัดแล้ว…” เฒ่าคางคกพูดพร้อมส่งเสียงคำราม มันกัดปลายลิ้นเล็กน้อย พ่นโลหิตออกมาอีก ขณะที่มันทำเช่นนี้ ลำแสงสีดำ ก็พุ่งออกมาจากขอบด้านนอกของหุบเขา
กลายเป็นคางคกตัวใหญ่มหึมา อ้าปากลงไปคาบเส้นเชือกสีแดงไว้ ขณะที่มันกัดลงไป ร่างของมันก็เริ่มเหี่ยวแห้งลง แต่มันก็รีบลากดึงอย่างรวดเร็ว
จากนั้น ตะขาบก็พุ่งออกไป ติดตามด้วยแมงมุมขนาดเท่าร่างคนอีกหลายตัว รวมกำลังกับมนุษย์เพื่อฉุดลากเส้นเชือก แม้แต่ก้อนหินขนาดใหญ่ ที่มีโครงกระดูกของปักษาอยู่ด้านในก็ลอยออกมา ดูเหมือนว่าจะมาช่วยฉุดลากเส้นเชือกสีแดงนั้นด้วยเช่นกัน
สี่ร้อยสามสิบจ้าง, สี่ร้อยหกสิบจ้าง, สี่ร้อยเก้าสิบจ้าง!
กลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงมากขึ้น จนดูเหมือนเป็นการนำกลิ่นเน่าเหม็นของซากศพ มากระจายเต็มอยู่ในหุบเขา ดูเหมือนว่าเส้นเชือกจะถูกลากดึงออกไปถึงห้าร้อยจ้างอีกในไม่ช้า เสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากกระแสน้ำวนนั้น เสียดแทงแก้วหูอย่างชั่วร้าย
เสียงกรีดร้องดังเข้มข้นมากขึ้น และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความหวัง ยกเว้น…ยังคงเหลืออีกสามจ้าง ก่อนที่จะถึงห้าร้อยจ้างที่กำหนดไว้ สัตว์พิษที่รวมกำลังกับมนุษย์เจ็ดคน ก็ระเบิดออกมาทีละตัว ไม่สามารถลากดึงต่อไปได้
เมื่อพวกมันตายลง ใบหน้าของบุรุษทั้งเจ็ดก็ซีดขาว ทันใดนั้น เส้นเชือกก็หลุดออกมาจากมือของพวกมัน และถูกดูดกลับเข้าไปในกระแสน้ำวนนั้น ถ้าพวกมันไม่ยอมปล่อยเส้นเชือก ก็อาจจะถูกดึงเข้าไปในกระแสน้ำวนนั้นได้
พวกมันมองไปอย่างเงียบๆ ขณะที่เส้นเชือกถูกดึงกลับเข้าไปข้างใน
“ช่างมัน พวกเราค่อยพยายามกันใหม่เดือนหน้า”
“ใช่แล้ว ต้องมีสักวันที่พวกเรา สามารถลากดึงเชือกออกมาได้ถึงห้าร้อยจ้าง ข้าใกล้จะทะลวงพลังฝึกตนของข้าได้อีกในไม่ช้า เมื่อข้าบรรลุถึงระดับเก้า ขั้นรวบรวมลมปราณ พวกเราต้องทำได้สำเร็จอย่างแน่นอน”
“เจ้าคนภายนอกนั้น อยู่ที่ระดับเก้า…” หนึ่งในเจ็ดบุรุษเอ่ยขึ้นในทันใดนั้น
“พวกเราไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องราวยุ่งยากมากขึ้น เจ้าคนนอกนั้นอาจจะตายไปเรียบร้อยแล้ว ถูกสังหารโดยพิษนั้น ถึงแม้มันจะอยู่ที่ขั้นพื้นฐานลมปราณ มันก็ไม่อาจต้านทานพิษนั้นได้ นอกจากมันจะเป็นสายเลือดเดียวกับพวกเรา”
บุคคลทั้งเจ็ด พูดคุยกันอีกเล็กน้อย จากนั้นก็แยกย้ายกันจากไป
กลุ่มหมอกยังคงปั่นป่วนไปมา อยู่ในหุบเขาติดต่อกันถึงสามวัน ก่อนที่จะสงบนิ่งลงในที่สุด พลังลมปราณที่อยู่ในบริเวณนั้น ก็เริ่มหนาแน่นขึ้นอีกครั้ง และพิษก็กระจายหายไป
ภายในถ้ำแห่งเซียน เต็มไปด้วยประกายสายฟ้า เมิ่งฮ่าวมองไปด้วยสายตาที่เย็นชา เขาได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในช่วงสามวันที่ผ่านมาอย่างชัดเจน สำหรับพิษที่กระจายเข้ามาในถ้ำ ธวัชสายฟ้าทำงานได้เป็นอย่างดี และเมิ่งฮ่าวก็ยังคงปลอดภัยจากพิษเหล่านั้น
“พวกมันคิดว่าข้าตายไปแล้ว ก็ดี” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกาย
“ข้าไม่แน่ใจว่า มันเป็นเพราะคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ หรือ แกนอสูร… ถึงได้ทำให้การสร้างพื้นฐานของข้ายากเย็นยิ่งนัก” เขาก้มหน้าลง และหยิบเม็ดยาพื้นฐานลมปราณขึ้นมาอีกหนี่งเม็ด ขมวดคิ้ว ในตอนนี้เขาสงสัยว่าวิธีการฝึก ในคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ ใช่เป็นของจริงหรือไม่?
หรือปรมาจารย์เอกะเทวะได้เปลี่ยนแปลงแก้ไข ให้เข้ากับการฝึกพลังอสูรของมันไปแล้ว…ซึ่งเขาไม่มีทางที่จะรู้ได้ ดวงตาของเมิ่งฮ่าวส่องประกายด้วยความมุ่งมั่น ขณะที่เขาใส่เม็ดยาพื้นฐานลมปราณเข้าไปในปาก และหลับตาลงเข้าฌาณต่อไป
แกนทะเลลมปราณส่งเสียงดังกึกก้อง เดือดพล่านปั่นป่วนอย่างรุนแรง ขณะที่มันกำลังเริ่มแข็งตัว ดูเหมือนว่ามันกำลังจะก่อตัวเป็นเสาแห่งเต๋า แต่การทำเช่นนั้นมันช่างยากเย็นแสนเข็ญนัก ถึงแม้ว่าจะใช้เม็ดยาพื้นฐานลมปราณช่วย เขาก็ยังไม่อาจทำได้สำเร็จ
สามารถกล่าวได้ว่า พื้นฐานลมปราณคืออุปสรรคแรก ที่ต้องก้าวผ่านให้จงได้ เพื่อบรรลุถึงวิถีทางแห่งการฝึกตนอย่างแท้จริง เม็ดยาพื้นฐานลมปราณแค่ช่วยเพิ่มโอกาส ที่จะสำเร็จได้เพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น
ถึงแม้เขาจะบรรลุวงจรอันยิ่งใหญ่ ขั้นรวบรวมลมปราณ และมีพรสวรรค์เพิ่มขึ้น มันก็ยังคงไม่ใช่เรื่องง่าย
เวลาเลื่อนผ่านไป เพียงชั่วพริบตา อีกสามเดือนก็ผ่านพ้น แต่ละวันที่จันทร์เต็มดวงในช่วงนั้น บุรุษทั้งเจ็ดก็พยายามลากดึงเชือกสีแดงออกมาอีกครั้ง และมากกว่าหนึ่งครั้ง ที่พวกมันมาที่ถ้ำแห่งเซียนของเมิ่งฮ่าว พยายามที่จะมาเอาซากศพเขาออกไป
แต่ถ้ำนี้ถูกปกป้องไว้ด้วยธวัชสายฟ้า ของปรมาจารย์เอกะเทวะ ผู้ฝึกตนขั้นรวบรวมลมปราณอันต่ำต้อย ไม่มีโอกาสที่จะเข้าไปด้านในได้แม้แต่น้อย พวกมันจึงเริ่มสงสัยว่า เมิ่งฮ่าวได้ตายไปแล้วจริงๆ หรือไม่
อีกสามเดือนผ่านไป ครึ่งปีแห่งการทำงานหนัก พวกมันไม่เห็นแม้แต่เงาของเมิ่งฮ่าว ณ ตอนนี้ พวกมันค่อนข้างมั่นใจว่าเขาได้ตายไปแล้ว
สำหรับเมิ่งฮ่าว เขาไม่แน่ใจว่า ได้กลืนเม็ดยาพื้นฐานลมปราณไปมากเท่าไหร่ ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ล้มเหลว เขาก็จะกลืนเม็ดยาลงไปอีก จนถึงตอนท้าย เขาได้กลืนเม็ดยาลงไปถึงสองเม็ดต่อหนึ่งครั้ง
พิษในร่างเขากำเริบขึ้นมาสองครั้งในช่วงครึ่งปี ดีที่เมิ่งฮ่าวเตรียมตัวก่อนล่วงหน้า หลังจากจัดการกับอาการของพิษกำเริบ เขาก็พยายามทะลวงพื้นฐานลมปราณต่อไป
ด้วยความทุกข์ทรมาณเช่นนี้ อีกหนึ่งเดือนก็ผ่านไป ในคืนหนึ่ง เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ที่นั่น เสียงกระหึ่มกึกก้องก็ดังขึ้นมาในจิตใจ มีเพียงเขาผู้เดียวเท่านั้น ที่จะสัมผัสถึงเสียงกระหึ่มนี้ได้ เป็นเสียงที่คล้ายฟ้าร้องคำรามอยู่ภายในจิตใจของเขา
ภายในร่างกาย แกนทะเลสีทองส่งเสียงกึกก้องออกมา อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และแสงสีทองก็กระจายออกไปทั่วร่าง จนดูราวกับว่าตัวเขาถูกสร้างขึ้นมาจากทองคำ
เขานั่งเข้าฌาณอยู่ที่นั่น ดวงตาปิดลง ขณะที่แกนทะเลส่งเสียงราวฟ้าร้องออกมา เขาก็มุ่งเน้นทุกสิ่งไปที่การก่อตัวของเสาแห่งเต๋า และการทะลวงผ่านเข้าไปยังพื้นฐานลมปราณ ภายในแกนทะเล, แกนอสูร หมุนวนอย่างรวดเร็ว จนดูเหมือนว่ามันกำลังจะละลายไป
ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก เมิ่งฮ่าวเริ่มเข้าใจอย่างชัดแจ้งว่า ถ้าเขาไม่มีแกนอสูรอยู่ภายในร่าง ก็จะง่ายขึ้นในการบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณ เป็นเพราะแกนอสูรที่ทำให้การทะลวงด่านนี้ยากมากขึ้น
รวมกับความจริงที่ว่า เขาได้อยู่ในวงจรอันยิ่งใหญ่ ของการรวบรวมลมปราณอย่างสมบูรณ์ ทำให้การบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณของเขา ยากกว่าทุกคนในโลกแห่งการฝึกตนนี้เป็นอย่างมาก
ทุกครั้งที่เสาแห่งเต๋ากำลังเริ่มก่อตัว ก็จะถูกรบกวนโดยแกนอสูร ทำให้ไม่สามารถรวมตัวเข้าด้วยกันได้ ในตอนนี้ แสงสีทองสาดส่องออกมาจาก แกนทะเลลมปราณของเมิ่งฮ่าว ลมปราณเริ่มรวมเข้าด้วยกัน ค่อยๆ แข็งตัวเป็นเสาแห่งเต๋าอย่างช้าๆ
แต่จากนั้น แกนอสูรก็เริ่มหมุนติ้ว ทำให้แกนทะเลลมปราณ ซึ่งเพิ่งจะรวมตัวกัน ก่อนที่จะสงบลง ก็เริ่มเดือดพล่านขึ้นอีกครั้ง เสาแห่งเต๋าก็เริ่มกระจายออกอีกครั้ง
“อีกครั้ง!” ดวงตาของเมิ่งฮ่าวลุกไหม้ โดยไม่ลังเล เขายกมือขึ้น และกลืนเม็ดยาพื้นฐานลมปราณ ลงไปรวดเดียวสามเม็ด