“ท่านปรมาจารย์, ศิษย์ต้องลำบากมากมายอย่างนับไม่ถ้วน กว่าที่จะนำกลุ่มคนพวกนี้มาที่นี่ได้ ไม่เป็นไรถ้าไม่มีสิ่งตอบแทน, แต่พิษพวกนี้…” ความไม่พอใจปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเมิ่งฮ่าว แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ รอยแตกบนพื้นก็ปิดไปเรียบร้อยแล้ว
ราบเรียบสนิท ไร้ร่องรอยว่ามันเคยเป็นรอยแยกมาก่อน มองไม่เห็นปรมาจารย์เอกะเทวะ และสุ้มเสียงใดๆ อีก สิ่งที่ยังเหลืออยู่ก็คือ ตะเกียงที่กำลังลุกไหม้อยู่เจ็ดดวง และแสงริบหรี่ที่มันส่องออกมา
แกนลมปราณทั้งเจ็ด และหนึ่งวิญญาณแรกก่อตั้ง ส่งกระแสลมปราณบางๆ ออกมา แต่ไม่ได้กระจายขึ้นไป เมื่อกระแสลมปราณพวกนี้ไหลออกมาจากตะเกียง พวกมันก็ถูกดูดลงไปในพื้นดิน
“ปรมาจารย์เอกะเทวะ, ข้ายอมให้ตัวเองถูกพิษก็เพราะท่าน ท่านเป็นผู้อาวุโส และมีความแข็งแกร่ง ผู้ที่มีพลังอำนาจเช่นท่าน กระทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?!”
“ข้าไม่ใช่ทั้งผู้แข็งแกร่ง หรือผู้มีพลังอำนาจ” ปรมาจารย์ตอบพร้อมเสียงกระแอมไอเบาๆ “ข้าก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่เยาว์วัย และนั่นก็ไม่ใช่แค่หินลมปราณธรรมดา เด็กน้อย พลังฝึกตนของเจ้ายังไม่สูงพอที่จะแยกแยะได้ รอจนเจ้าอยู่ในขั้นตัดวิญญาณ เจ้าก็จะรู้เองว่าของวิเศษนี้มันมหัศจรรย์เพียงใด”
“ท่าน…ปรมาจารย์, เกิดอะไรขึ้น? ข้าต้องพบเจอกับปัญหามากมาย! ทำไมท่านถึงทำกับข้าเช่นนี้!?” เมิ่งฮ่าวเริ่มมีโทสะ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวเขาก็มีแต่ความเงียบโดยสิ้นเชิง ปรมาจารย์เอกะเทวะไม่พูดอะไรออกมา จริงๆ แล้ว ก็ดูเหมือนว่ามันไม่สนใจเมิ่งฮ่าวอีกต่อไป
“ท่านปรมาจารย์, ข้าไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ ข้าแค่ต้องการให้ท่านช่วยขจัดพิษเท่านั้น ท่าน…ปรมาจารย์, ศิษย์พยายามที่จะหาทาง นำกลุ่มคนพวกนี้มาที่นี่อยู่ตลอดเวลา เพื่อช่วยให้ท่านฟื้นฟูพลังฝึกตน ท่านกระทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร?!?!”
เมิ่งฮ่าวตะโกนออกไปอีกหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากปรมาจารย์เอกะเทวะ ถึงแม้เขาจะเป็นแค่นักศึกษาธรรมดา เขาก็รู้สึกเดือดดาลอย่างที่สุดในขณะนี้ เขาถูกหลอกลวง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงเริ่มด่าทอออกมา
“ปรมาจารย์เอกะเทวะ, เจ้ามันตัวสารเลว!” สำหรับเมิ่งฮ่าว การพูดจาอะไรเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่าเขากำลังมีโทสะอย่างมากมาย
ทันใดนั้น เสียงของปรมาจารย์เอกะเทวะก็ดังออกมา “เด็กน้อย, เจ้าคิดว่ากำลังด่าใครอยู่? เจ้าบังอาจด่าทอข้าจริงๆ? ข้าจะบดขยี้เจ้าให้ตาย!”
“ข้ากำลังด่าเจ้า!” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบอย่างมีโทสะ “ถ้าเจ้าจะบดขยี้ข้า ก็เอาเลย ข้าถูกพิษอยู่ ยังไงก็ต้องตายในไม่ช้า ไสหัวเข้ามาเลย!”
ปรมาจารย์เอกะเทวะ กระแอมไอแห้งๆ สองครั้ง
“อา, ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ข้ามักจะอารมณ์ดีอยู่เสมอ อืม, เจ้าเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของสำนักเอกะเทวะ ในตอนนี้ ทั้งสำนักมีแค่พวกเราเท่านั้น! ข้าจะไม่มีโทสะต่อเจ้า จริงๆ แล้ว มีผู้คนมากมายด่าทอข้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มันไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โตอันใด”
“ลองคิดดู เจ้าไม่น่าจะตำหนิข้าได้ แม้แต่จะออกไปข้าก็ยังทำไม่ได้! เขตนั่งกัมมัฎฐานของข้าถูกปิดผนึกไปแล้ว ข้าจะออกไปได้ก็ต่อเมื่อเจ้าชักนำคนกลุ่มอื่นมา ข้าไม่สามารถช่วยเจ้าได้ในตอนนี้ ถึงข้าอยากจะช่วยก็ตามที”
คำพูดของมันเริ่มน่าเชื่อถือมากขึ้น และมากขึ้นไปอีกขณะที่มันกล่าว มันเพิ่งจะทำการปิดผนึกใหม่อีกครั้งจริงๆ และถ้ามันต้องการทำลายผนึกนี้ ก็ต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าจะทำได้
“เจ้าสารเลว!” เมิ่งฮ่าวด่า ในที่สุดก็เข้าใจถึงความจริงของสถานการณ์นี้ เขาทำได้เพียงแค่กัดฟันแน่น และด่าทอต่อไป แต่ไม่ว่าเขาจะด่าว่าอย่างไร ปรมาจารย์เอกะเทวะก็ไม่ตอบกลับมา สุดท้าย มันก็เริ่มส่งเสียงฮึมฮำในลำคอด้วยเสียงเพลงเบาๆ น้ำเสียงดูมีความสุขดังออกมา
ในที่สุด เมิ่งฮ่าวก็ตระหนักว่า ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ปรมาจารย์เอกะเทวะผู้ไร้ยางอาย ก็จะไม่ปรากฎกายออกมา
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยโทสะอันชั่วร้าย เขามองไปรอบๆ ไม่มีถุงเก็บสมบัติเหลือทิ้งไว้ จากผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณ เห็นได้ชัดว่า ปรมาจารย์เอกะเทวะช่างตระหนี่อย่างน่าเหลือเชื่อ มันได้เอาของทั้งหมดไปเรียบร้อยแล้ว
เมิ่งฮ่าวจ้องลงไปที่ตะเกียงอสูรเจ็ดดวงนั้น กัดฟันแน่น ตบลงไปยังถุงเก็บสมบัติ กระบี่บินสิบเล่มก็ปรากฎขึ้น และพุ่งตรงไปยังตะเกียงเหล่านั้น
ก่อนที่กระบี่บินจะเข้าไปใกล้ตะเกียง พวกมันก็เริ่มสั่น และส่องแสงเจิดจ้าขึ้นมา จากนั้นก็แตกกระจายออกเป็นชิ้นๆ
เมิ่งฮ่าวหน้าซีด มองไปที่ลมปราณจากตะเกียงน้ำมัน กำลังซึมลงไปในพื้นดิน เขาตบที่ถุงเก็บสมบัติอีกครั้ง และกระบี่ไม้สองเล่มก็ลอยออกมา พวกมันไม่พบเจอกับแรงต้านทานแม้แต่น้อย แต่เมื่อพุ่งไปถึงตะเกียงน้ำมัน พวกมันก็พุ่งผ่านไป ราวกับว่าตะเกียงไม่ได้อยู่ที่นั่น ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ทั้งสิ้นจากตะเกียงเหล่านั้น
“หนึ่งผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกปรากฎ และหกผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณ” ปรมาจารย์เอกะเทวะกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“พลังลมปราณของพวกมันค่อนข้างสมบูรณ์มากมาย สำหรับกระบี่เส็งเคร็งของเจ้า ตะเกียงอสูรทั้งเจ็ดดวงของข้า ได้ตัดขาดจากอาวุธเวททั้งหมด ของวิเศษใดๆ ก็ทำอะไรมันไม่ได้ บางทีถ้าเจ้าแข็งแกร่งกว่านี้ เจ้าอาจจะมีทางทำได้ แต่เสียใจด้วย เจ้าไม่มีทางขโมยสิ่งของใดๆ ไปจากข้าได้!”
มันครวญเพลงด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างมีความสุขต่อไป ณ ตอนนี้ มันนั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้า หลัวผาน (เข็มทิศจีน) ขนาดเท่าฝ่ามือ เส้นใยของลมปราณซึ่งไหลลงมาจากด้านบน กลายเป็นสีแดงเจิดจ้า และจากนั้นก็ถูกดูดซับโดยหลัวผานนั้น
สีหน้าของเมิ่งฮ่าวดุร้ายมากขึ้น และมากขึ้นไปอีก ขณะที่เขาเรียกกระบี่ไม้กลับมา เขาไม่เคยคิดว่าปรมาจารย์เอกะเทวะ ซึ่งเป็นรุ่นผู้อาวุโสมีพลังฝึกตนที่สูงส่ง จะปฏิบัติต่อผู้ฝึกตนขั้นรวบรวมลมปราณด้วยความไร้ยางอายเช่นนี้
ค่าตอบแทนด้วยหินลมปราณระดับต่ำธรรมดาทั่วไป? ไม่มีอะไรที่เลวร้ายไปกว่า มันได้อ้างว่าหินลมปราณก้อนนี้เป็นสิ่งของที่พิเศษเหนือธรรมดาอีกแล้ว
ไม่ว่าเมิ่งฮ่าวจะมองหินก้อนนี้ในมุมไหน มันก็ยังคงเป็นหินธรรมดาอย่างสิ้นเชิง ไม่มีอะไรมากไปกว่าหินลมปราณระดับต่ำ
ก่อนหน้านี้ เมิ่งฮ่าวคิดว่าเขาเป็นผู้ที่ตระหนี่เกี่ยวกับหินลมปราณอย่างมากมาย แต่กลายเป็นว่าปรมาจารย์เอกะเทวะ ตระหนี่ถี่เหนียว ราวกับไก่เหล็กที่ไม่ยอมให้ขนของมัน ถูกดึงออกมาได้อย่างง่ายดาย! มันช่างเป็นคนที่ตระหนี่ถี่เหนียวอย่างแท้จริง!
“หินลมปราณระดับต่ำหนึ่งก้อน เจ้าสารเลว เจ้าต้องการเช่นนี้ใช่หรือไม่!” เมิ่งฮ่าวกำหมัดแน่น รู้สึกราวกับว่าใกล้จะคลุ้มคลั่ง ไม่เพียงแต่จะพูดจาไม่สุภาพ แต่ในจิตใจของเขา, ความรู้สึกดีทั้งหมดที่เขามีต่อปรมาจารย์เอกะเทวะ ได้ถูกกวาดล้างออกไปจนหมดสิ้น
ผ่านไปสักพัก เขากัดฟันแน่น หันหลังกลับ อยากจะโยนหินลมปราณระดับต้ำก้อนนั้นทิ้งไป แต่ในที่สุด เขาก็ใส่มันลงไปในถุงเก็บสมบัติ จากนั้นก็เดินออกไปอย่างมีโทสะ
“ไอ้หยา, เจ้ากำลังจะไปแล้ว? ก็ได้, ก็ได้ อย่าลืมกลับมาเยี่ยมข้าบ้างนะ! เจ้าเป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของข้า และตอนนี้ทั้งสำนักก็มีเพียงแค่เราสองคน นี่เป็นบ้านของเจ้า เจ้าจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ บางครั้งข้าก็รู้สึกเหงา ดังนั้นเจ้าต้องกลับมาเป็นเพื่อนข้านะ” มันร้องเพลงแผ่วเบา อยู่ในลำคอ อย่างมีความสุขต่อไป
เมิ่งฮ่าวไม่พูดจา เขาเดินจากไปด้วยโทสะ เสียงเพลงแผ่วเบา ของปรมาจารย์เอกะเทวะ ดังก้องอยู่ในหูของเขา
“อ้าย, โชคร้ายจริงๆ ที่ข้าต้องถูกผนึกอยู่ในนี้ มิเช่นนั้น ข้าจะไปส่งเจ้าด้วยตัวเอง” เสียงของปรมาจารย์เอกะเทวะ มีความสุขขึ้นอย่างมากมาย เมื่อมันเห็นเมิ่งฮ่าวจากภายในห้องนั่งกัมมัฏฐานของมัน
“เมิ่งฮ่าว, เจ้าเป็นเด็กดีเกินไปนะ ควรจะตื่นจากความฝันได้แล้ว หวังว่าในวันข้างหน้า เจ้าจะเรียนรู้เพิ่มขึ้นอีกสักเล็กน้อยเช่นเดียวกับข้า”
“เจ้าจะไม่ออกมาจริงๆ?” เมิ่งฮ่าวพูดอย่างเกรี้ยวกราด ในตอนนี้ เขากำลังเดินผ่านบริเวณที่ถูกปกคลุมด้วยเวทป้องกันสีเทา ทันใดนั้น เขาก็หยุดเดิน
“แน่นอน ฟังนะ, ข้าไม่เคยพูดโกหก ถ้าข้าบอกว่า ข้าไม่สามารถออกไป ข้าก็ออกไปไม่ได้จริงๆ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากจะช่วยเจ้า, มันแค่ หือ … เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?” ขณะที่มันกำลังพูดอย่างอิ่มเอมใจ ทันใดนั้นมันก็หยุดพูดในทันที พร้อมดวงตาที่เบิกกว้าง
เมิ่งฮ่าวได้หันหลังกลับ และมองไปใกล้ๆ ยังเวทป้องกันสีเทานั้น ช่วงการต่อสู้ระหว่างเทียนจีซ่างเหริน และปรมาจารย์เอกะเทวะ เวทป้องกันในพื้นที่ทั้งหมดนี้ได้ถูกทำลายลง มันกำลังฟื้นฟูใหม่อย่างช้าๆ แต่ในตอนนี้ ยังคงมีรอยแตกให้เห็น บางรอยแตกก็เหมือนเป็นรูขนาดใหญ่ ถึงแม้ว่ามันกำลังจะปิดกลับไปอย่างช้าๆ
ภายในเวทป้องกันนั้น ก็เป็นภูเขาของหินลมปราณอย่างแท้จริง ซึ่งถูกรวบรวมโดยปรมาจารย์เอกะเทวะ ตลอดเวลาชั่วชีวิตของมัน ส่วนใหญ่จะเป็นหินลมปราณระดับต่ำ แต่ก็มีบางส่วนที่เป็นระดับกลาง ซึ่งมีค่ามากขึ้นไปอีก
เมิ่งฮ่าวตบไปที่ถุงเก็บสมบัติโดยไม่พูดจา กระบี่ไม้ก็ปรากฎออกมา และแทงตรงเข้าไปในรูตรงรอยแตก ทันใดนั้น ความสามารถในการดูดซับลมปราณก็ประจักษ์ออกมา เวทป้องกันสั่นสะท้าน พยายามที่จะฟื้นฟูตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถทำได้
กระบี่ไม้เล่มที่สองปรากฎขึ้น และแทงเข้าไปในรูโหว่นั้นเช่นเดียวกัน ทำให้รูนั้นขยายใหญ่ขึ้น จนในที่สุดก็มีขนาดกว้างเท่าแขนเด็ก
ปกติ เมิ่งฮ่าวไม่เคยทำอะไรเช่นนี้มาก่อน แต่เนื่องจากรอยแตก และรูโหว่ในเวทป้องกัน เขาจึงมีโอกาสเช่นนี้
“เจ้ากำลังทำอะไร?” เสียงของปรมาจารย์เอกะเทวะดังก้อง ออกมาจากพื้นดิน มันมองดูด้วยความตกใจ มันเป็นคนที่ตระหนี่ถี่เหนียวเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็มีความสุขกับการใช้ชีวิต เก็บสะสมทรัพย์สมบัติต่างๆ มาวางอวด
มันชอบเห็นดวงตาของผู้คนเปลี่ยนเป็นสีแดง เมื่อพวกมันได้แต่มองดู แต่ไม่สามารถแตะต้องสมบัติพวกนี้ได้ มันยังเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก ในเวทป้องกันของมัน ซึ่งได้เชื่อมต่อกับพลังชีวิตของมัน ดังนั้นถ้ามันยังไม่ตาย ก็จะไม่มีใครสามารถทำลายเวทป้องกันนี้ได้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีบางสิ่งบางอย่างที่แปลกๆ อยู่ในพลังของเทียนจีซ่างเหริน ทำให้เกิดปัญหาบางอย่างเมื่อปรมาจารย์เอกะเทวะได้ดูดซับมันเข้าไป เพราะเหตุนี้ เวทป้องกันจึงค่อนข้างฟื้นฟูได้ช้าลง ซึ่งเป็นข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อยของมัน
“เมิ่งฮ่าว, ถึงจะมีรูอยู่ที่นั่น เจ้าก็ไม่มีทางเอาหินลมปราณนั่นไปได้ทั้งหมดหรอกนะ” ปรมาจารย์เอกะเทวะหัวเราะขึ้นมา “พวกมันมีเยอะมาก เจ้าไม่สามารถที่จะเก็บใส่ถุงเก็บสมบัติได้หมด อืม ไม่เป็นไร ข้าเป็นคนใจกว้างเสมอ เอาเลย เอาไปเถอะ, ข้าไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่”
เมิ่งฮ่าวแค่นเสียงอย่างเย็นชาออกมา ตอนนี้กระบี่ไม้ขยายรูให้กว้างขึ้น เขาสอดมือเข้าไปในชุดยาว และดึงถุงแห่งจักรวาลออกมา และจ่อไปที่รูเล็กๆ นั้น
พลังฝึกตนของเมิ่งฮ่าว พุ่งเข้าไปราวกับม้าป่า ภูเขาของหินลมปราณเริ่มสั่นไปมา และจากนั้น ทีละก้อน ทีละก้อน เริ่มลอยออกมาจากรูเล็กๆ นั้น ถูกดูดเข้าไปในถุงแห่งจักรวาล
เร็วขึ้น และเร็วยิ่งขึ้น หินลมปราณลอยเข้าไปในหลุมดำซึ่งก็คือ ถุงแห่งจักรวาล ปรมาจารย์เอกะเทวะมองเห็นประกายระยิบระยับที่เกิดขึ้นนี้ และเสียงร้องอย่างตกใจ ก็ดังออกมาจากปากของมัน
“ถุงแห่งจักรวาล…บัดซบ, เจ้ามีสิ่งนั้นได้อย่างไร! มันสามารถหลุดรอดจากจิตสัมผัส ใส่ได้ทั้งภูเขาและแม่น้ำ เจ้า, เจ้า, เจ้า…หินลมปราณของข้า! ข้าต้องลำบากมากมายอย่างนับไม่ถ้วนทั้งชีวิต กว่าที่จะเก็บสะสมมันได้มากมายขนาดนี้ เมิ่งฮ่าว, เหลือให้ข้าบ้าง!”
เสียงร้องอย่างเจ็บปวดใจของมัน ดังออกมาอย่างต่อเนื่อง และพื้นดินเริ่มสั่นสะเทือน เห็นได้ชัดว่า มันได้ปลดปล่อยพลังบางส่วนออกมา แต่ผนึกปิดกั้น ก็ยังคงทำงานได้ดีเหมือนเดิม
เมิ่งฮ่าวหัวเราะอย่างเย็นชา ขณะที่ได้ยินเสียงร้องอย่างน่าสังเวชของปรมาจารย์เอกะเทวะ ไม่ช้าภูเขาหินลมปราณก็หดตัวลง กลายเป็นเนินเขาเล็กๆ เมิ่งฮ่าวกำลังระบายความโกรธอย่างจริงจัง
“เจ้าบังอาจฉ้อโกงข้า?” เมิ่งฮ่าวคิดในใจ กัดฟันแน่น “ข้าก็จะโกงเจ้าให้มากกว่า! ข้าจะกวาดทรัพย์สมบัติของเจ้าไปให้หมด!”
“เมิ่งฮ่าว, เจ้าคนทรยศ! นี่มันมากเกินไปแล้ว!” ปรมาจารย์เอกะเทวะ รู้สึกราวกับว่า ร่างกายของมันกำลังจะระเบิดออกมา มันต้องการทำลายผนึกที่ปิดกั้นนี้ ซึ่งเพิ่งจะเริ่มปิดผนึกไป มันคงต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าที่มันจะทำลายลงได้
มันไม่เคยคิดเลยว่าเมิ่งฮ่าว จะมีถุงแห่งจักรวาล และสามารถฉกฉวยหินลมปราณ ที่มันใช้เวลาสะสมมาชั่วชีวิตของมันไปได้ ในเวลานั้น ปรมาจารย์เอกะเทวะ รู้สึกราวกับว่ามีใบมีดขนาดยักษ์ กำลังหมุนวนอยู่รอบๆ ร่าง เฉือนมันทุกครั้งที่หินลมปราณถูกดูดออกไป
ราวกับว่ามันกำลังถูกสับเป็นชิ้นๆ จิตใจของมันเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง
มันมักเป็นคนที่มีบุคลิกแปลกๆ เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ฝึกตนอื่นๆ ในรุ่นของมัน มันเป็นคนที่ประหลาดอย่างแท้จริง ความโลภและความตระหนี่ถี่เหนียว เติบโตขึ้นไปพร้อมกับพลังการฝึกตน และอายุที่มากขึ้นของมัน มันไม่ได้ดูดีมีสง่าราศรีของผู้แข็งแกร่งแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับที่มันดูเหมือนจะไม่มีข้อสรุปของทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต
หลายร้อยปีมาแล้ว ตั้งแต่ช่วงการตัดวิญญาณครั้งแรกของมัน การรู้แจ้งแห่งเต๋าของมันก็เกี่ยวข้องกับความโลภ ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่า ความละโมบโลภมากนี้ ได้ถูกฝังลึกลงไปในจิตวิญญาณของมัน และกลายเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกตนของมัน