บนหน้าผากของใบหน้าขนาดใหญ่ ปรากฎเป็นตะเกียงโบราณซึ่งดับหมดแล้วเจ็ดดวง ด้วยขนาดที่ใหญ่โต และดูโบราณ ส่องประกายความประณีตสวยงามออกมาทุกทิศทาง เหมือนจะประกอบไปด้วยความงามของสวรรค์ และปฐพี
เมื่อใบหน้าขนาดใหญ่ปรากฎขึ้น ผู้ฝึกตนจากแคว้นจ้าว ก็ดูเหมือนจะตกใจไปทุกคน และบางคนก็พยายามจะหลบหนี
“อย่าแตกตื่น” เทียนจีซ่างเหรินกล่าว เสียงของมันดังก้องไปทั่ว “ข้ารู้ตั้งแต่แรกว่า ปรมาจารย์เอกะเทวะยังไม่ตาย แต่ก็อ่อนแออย่างมากในตอนนี้ พวกเราอยู่ในขั้นสร้างแกนลมปราณ ถ้าร่วมมือกัน พวกเราก็สามารถกำจัดมันได้อย่างง่ายดาย” ทุกคนจากแคว้นจ้าวหยุดการเคลื่อนไหว
เสียงหัวเราะดังออกมาจากใบหน้าขนาดใหญ่ยักษ์นั้น เสียงแหบแห้งแต่มีพลัง เต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างบ้าคลั่ง แทงเข้าไปในหู และจิตใจของทุกคนที่อยู่บริเวณนั้น
เมื่อเสียงหัวเราะดังออกมา ใบหน้าของผู้ฝึกตนที่ลอยอยู่ในอากาศก็เปลี่ยนไป โดยไม่มีการพูดจา หญิงชราท่าทางสูงส่ง ก็หันหลังกลับ และพุ่งตรงไปยังทางออก ด้วยความรีบร้อน
ถึงแม้ว่านางพยายามจะเหาะหนีไป แต่เงาของมือขนาดใหญ่ก็ปะทุขึ้นมาที่ข้างกาย และห่อหุ้มร่างของนางไว้ เสียงระเบิดดังกึกก้อง ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอย่างน่าตกใจ เมื่อมือขนาดใหญ่นั้น บดขยี้นางจนตาย ทุกสิ่งทุกอย่างบริเวณนั้นสั่นสะเทือน เมิ่งฮ่าวมองดูด้วยความตกใจ
มือขนาดใหญ่แบออก เห็นเป็นแกนลมปราณสามสีวางอยู่ มือนั้นขยับอย่างรวดเร็ว แกนลมปราณก็พุ่งตรงไปที่ตะเกียงดวงแรก ที่อยู่บนพื้นด้านล่าง
ทำให้ตะเกียงดวงนั้นส่องแสงสว่างขึ้น เผาไหม้แกนลมปราณราวกับเป็นเชื้อเพลิง และเปลวไฟที่ประกอบขึ้นมาจาก พลังแห่งชีวิตก็สาดประกาย
แสงไฟอันริบหรี่ส่องประกายออกมา เติมเต็มความมืดมิดด้วยแสงของมัน
“พวกเราต้องไม่หนี!” เทียนจีซ่างเหรินร้องตะโกนขึ้น ด้วยสีหน้าซีดขาว “สังหารอะไรก็ตาม ที่เหลืออยู่ของปรมาจารย์เอกะเทวะ และเอาของทุกอย่างมาเป็นของพวกเรา!”
ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ดูวิตกกังวล หลังจากที่เห็นชะตากรรมอันน่าสังเวช ของหญิงชราผู้นั้น พวกมันกัดฟันแน่น
ทันใดนั้น เสียงระเบิดก็ดังออกมา บริเวณรอบๆ ปากของใบหน้าใหญ่ยักษ์นั้น ก็ยุบตัวลงในทันที และเงาร่างสีดำก็โผล่ขึ้นมา
เสียงหัวเราะมาพร้อมกับเงาร่างนั้น ดังก้องออกมาจากถ้ำแห่งเซียน
“ปรมาจารย์เอกะเทวะ!” เสียงหัวเราะดังก้องราวสายฟ้า และถ้ำแห่งเซียนก็สั่นสะเทือน ผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ ต่างก็ตกใจ กระอักโลหิตออกมา
ท่ามกลางความมืด พอจะมองเห็นเป็นปรมาจารย์เอกะเทวะ ร่างของมันผอมแห้ง มีแต่ผิวหนังติดกระดูก ราวกับว่ามันเพิ่งคลานออกมาจากหลุมฝังศพ ดวงตาของมันเลือนสลัว และดำมืด แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยความดุร้าย และพลัง
ปรมาจารย์เอกะเทวะ ลอยตัวอยู่ด้านบนของคนทั้งหมด เมฆม้วนตัวไปมา และวนรอบๆ ร่างของมัน เกิดเป็นระลอกคลื่นกระจายออกมา ทำให้ดูเหมือนว่า มันกำลังยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก
พลัง, ความหยิ่งผยอง และความกระหายเลือดของมัน สร้างความหวาดกลัว ขึ้นในจิตใจของผู้ฝึกตนที่อยู่ในบริเวณนั้น
“ปรมาจารย์เอกะเทวะ…” ชายชราใบหน้าสีแดงจากสำนักเฟิงหาน (สายลมยะเยือก) สีหน้าซีดเผือดลงในทันที และร่างกายก็สั่นสะท้านไปด้วย มันเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณ เมื่อมาเผชิญหน้ากับปรมาจารย์เอกะเทวะ มันก็อ่อนแอราวกับจิ้งหรีดตัวเล็กๆ
เหตุผลเดียว ที่มันกล้ามาที่นี่ เพื่อค้นหาคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ ก็คือ เทียนจีซ่างเหริน ได้มองเห็นว่า ปรมาจารย์อ่อนแอลงจนถึงจุดใกล้จะตายแล้ว แต่ตอนนี้ ปรมาจารย์เอกะเทวะก็ดูเหมือนจะไม่มีความอ่อนแอเหลืออยู่เลย
“เทียนจี, เรื่องระหว่างเรา ต้องไม่จบกันแค่นี้!” มันกล่าว ร่างหมุนคว้าง พุ่งตรงไปที่ทางออกอย่างรวดเร็ว คนอื่นๆ ที่มากับมัน ก็เคลื่อนที่ตามไปทีละคน ร่างของพวกมันกลายเป็นลำแสง ขณะที่พุ่งออกไป
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ด้านล่าง จ้องขึ้นไปที่พวกมัน กำหมัดจนแน่น
ปรมาจารย์เอกะเทวะหัวเราะออกมา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และกระหายเลือด ร่างของมันเคลื่อนไหว และทันใดนั้นมันก็ขยับมือลงต่ำ เสียงระเบิดดังไปทั่วในอากาศ
แรงกดดันขนาดใหญ่ก็กดลงไปยังเบื้องล่าง ชายชราใบหน้าสีแดง และผู้ติดตามของมัน ก็กระอักโลหิตออกมา ตกลงไปที่พื้น ร่างกายของพวกมัน ไม่อยู่ในการควบคุมของตัวเองอีกต่อไป
ร่างของปรมาจารย์เอกะเทวะขยับอีกครั้ง จากนั้นมันก็มายืนอยู่ตรงเบื้องหน้า ของชายชราใบหน้าสีแดงผู้นั้น ม่านตาของชายชราก็หดตัวลงด้วยความตกใจกลัว ขณะที่ทันใดนั้น ก็ร่างของปรมาจารย์เอกะเทวะก็หลอมรวมเข้ากับร่างของมัน
เสียงกรีดร้องอย่างน่ากลัวก็ดังออกมา ทำให้ขนตามร่างของพวกที่มุงดูอยู่รอบๆ ลุกขึ้นชี้ชัน
ร่างของชายชราใบหน้าสีแดงเริ่มเหี่ยวแห้งลง เส้นผมของมันร่วงลงบนพื้น ขณะที่เลือดเนื้อของมันเหือดแห้งหายไป ความดำมืดปรากฎขึ้น เหมือนกับจะสามารถกลืนกินชีวิต และโลหิตทั้งหมดไป เพียงชั่วพริบตา มันก็กลืนกินร่างของชายชราไปจนหมดสิ้น
ผิวของชายชราบางราวกระดาษ และกระดูกก็เริ่มละลายไป ในไม่ช้า ทั่วทั้งร่างกายก็กลายเป็นหมอกแห่งโลหิต จากนั้นก็รวมตัวกันเป็นร่างของ ปรมาจารย์เอกะเทวะ ซึ่งตอนนี้ มันไม่ได้ผอมแห้ง เหมือนเมื่อครู่นี้ ร่างของมันมีเลือดเนื้อมากขึ้น และกลิ่นอายแห่งความตายก็กระจายออกมาเล็กน้อย
ดูราวกับว่า พลังแห่งชีวิตของมันได้ฟื้นฟูกลับมาบางส่วนแล้ว ในมือของมัน มีแกนลมปราณสามสีของชายชราใบหน้าสีแดงผู้นั้น มันโบกสะบัดแขนเสื้อ แกนลมปราณสามสีก็พุ่งไปที่ตะเกียงดวงที่สอง
“เยาเซิงต้าฝ่า (ยอดวิชาชีพอสูร)!!”
“มันเป็นยอดวิชาชีพอสูรในตำนาน! มีชีวิตไร้ที่สิ้นสุด! เป็นวิชาที่สามารถยืมร่างและวิญญาณ!” เสียงโหวกเหวกดังออกมา เมื่อผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณที่เหลืออยู่ และขั้นพื้นฐานลมปราณที่ยืนตัวสั่นอยู่ มองเห็นฉากเบื้องหน้า ความสิ้นหวังก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของพวกมัน
“นี่คือเวทปีศาจของสำนักผนึกอสูร ก่อนที่ชื่อสำนักจะถูกเปลี่ยนไป!” ประกายแปลกๆ แวบผ่านดวงตาของเทียนจีซ่างเหริน
เมิ่งฮ่าวมองดูด้วยความประหลาดใจ นี่เป็นครั้งที่สอง ที่เขาได้ยินชื่อสำนักผนึกอสูร ครั้งแรกได้ยินจากปากของซ่างกวนซิว ณ เวลานั้น เมิ่งฮ่าวไม่ได้สนใจมากนัก
เขาจะเชื่อในสิ่งที่ซ่างกวนซิวพูดได้อย่างไร? ถ้าเมิ่งฮ่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับชื่ออันยิ่งใหญ่เช่นนั้นจริงๆ ทำไมเขาถึงยังมีศัตรูอีกมากมายในแคว้นจ้าวแห่งนี้?
ในตอนนั้น เมิ่งฮ่าวแค่บันทึกชื่อนั้นไว้ในความทรงจำ ด้วยความตั้งใจว่าจะทำการยืนยันในภายหลัง
ตอนนี้ เมื่อได้เห็นเหตุการณ์อันน่าตกใจเมื่อครู่นี้ เขาก็ได้ยินชื่อนั้นขึ้นอีกครั้ง ขณะนี้ สามคำ “เฟิงเยาจง (สำนักผนึกอสูร)” ดูเหมือนว่าจะลอยอยู่ในศีรษะของเขา
เขาย้อนคิดกลับไปถึงข่าวลือ ที่เคยได้ยินสมัยเมื่ออยู่ในสำนัก ข่าวลือนั้นกล่าวว่า เมื่อหนึ่งพันปีก่อน ไม่มีสำนักเอกะเทวะ มีแต่ชื่ออื่น แต่ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าเป็นชื่ออะไร ตอนนี้ เมื่อเขาได้คิดถึงเรื่องนี้ ก็ดูเหมือนคำว่า ผนึกอสูร เป็นข้อห้ามภายในสำนัก
เขาคิดไปถึงสัตว์อสูรในภูเขาสีดำ ด้านนอกของสำนัก จากนั้นก็คิดไปถึงทะเลเหนือ และเริ่มสับสนมากขึ้น เมื่อเขาได้เผชิญหน้ากับทะเลเหนือในครั้งแรก ทำไมมันถึงได้ช่วยเหลือเขา?
ถึงแม้ว่า เขายังไม่เข้าใจทุกสิ่งอย่างถ่องแท้ แต่อย่างน้อยในตอนนี้ เขาก็ได้เข้าใจมากขึ้นอีกเล็กน้อย
“สำนักผนึกอสูร…” เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นึกไปถึงเวทปีศาจ ที่ซ่างกวนซิวได้ใช้ไป และพลังอันแปลกๆ ซึ่งได้พุ่งออกมาจากภูเขาต้าชิง
“ถ้าซ่างกวนซิวบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณ, พลังเวทปีศาจของมัน ก็คงจะน่ากลัวเป็นอย่างมาก…” จิตใจของเมิ่งฮ่าวเริ่มเต้นรัว ขณะที่เขาตระหนักว่า การเป็นศิษย์ของสำนักเอกะเทวะ เขายังได้เป็น…ศิษย์สายในของสำนักผนึกอสูรสมัยโบราณอีกด้วย!
คำถามใหม่ ก็ปรากฎขึ้นในความคิดของเมิ่งฮ่าว “ทำไมปรมาจารย์เอกะเทวะ ถึงได้เปลี่ยนชื่อสำนัก?”
ขณะที่เมิ่งฮ่าวพิจารณาถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ การสังหารตรงด้านบนของเขาก็ยังดำเนินต่อไป ร่างของปรมาจารย์เอกะเทวะ ได้กลายเป็นสายหมอกอันคึกคะนอง แวบไปมาอยู่ในอากาศ จากเสียงแผดร้องที่ดังออกมา เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ ไม่สามารถหนีรอดได้อย่างสิ้นเชิง
ร่างของพวกมันกระตุก และแห้งเหี่ยวไปทีละคน พลังชีวิตถูกดูดออกไป จนกระทั่งกลายเป็นกระดูก และถูกบดขยี้จนกลายเป็นเถ้าธุลี เส้นใยแห่งพลังชีวิตทั้งหมด พุ่งตรงไปที่ปรมาจารย์เอกะเทวะ
ผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณที่เหลืออยู่ห้าคน ไม่สามารถหนีออกไปได้เช่นกัน ภายใต้คำสั่งของเทียนจีซ่างเหริน พวกมันก็หยิบเอาอาวุธเวทที่แตกต่างกันออกมา และเตรียมใช้วิชาเวท เพื่อกระตุ้นอาวุธเวทเหล่านั้น พุ่งตรงไปยังปรมาจารย์เอกะเทวะ ในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย เพื่อจะเอาชนะมันให้ได้
สี่ผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ จากสำนักเฟิงหาน (สายลมยะเยือก) ตายด้วยความอนาถใจ ร่างของพวกมันถูกทำลายจนเล็กยิ่งกว่าฝุ่นละออง ผู้ฝึกตนจากสำนักฉือสุ่ย (สายน้ำหมุน) และ สำนักฟางเยี่ย (ราตรีเที่ยงธรรม) ก็ประสบกับชะตากรรมเช่นเดียวกัน
กลุ่มคนพวกนี้ สามารถสร้างความสั่นสะท้านให้กับ โลกแห่งผู้ฝึกตนในแคว้นจ้าว ด้วยการกระทืบเท้าลงไปแค่หนึ่งครั้ง แต่ที่นี่ พวกมันช่างอ่อนแอราวกับเด็กทารก
ส่วนศีรษะที่ยังเหมือนเดิมบางส่วน กลิ้งมาหยุดอยู่ตรงเท้าด้านหน้าของเมิ่งฮ่าว ใบหน้าของเขาซีดขาว โลหิตจากการสังหารครั้งนี้ ทำให้จิตใจของเขาสั่นระรัว เมื่อมองลงไปยังศีรษะนั้น
เขาก็จำได้ว่า นี่เป็นใบหน้าของผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ ที่พยายามจะสังหารเขาเมื่อปีที่แล้ว ในสำนักเอกะเทวะ ละอองสีขาวกระจายออกมาจากศีรษะนั้น ภายในชั่วพริบตา ศีรษะก็ละลายกลายเป็นโลหิต ซึมลงไปในพื้นดิน
จากนั้น เสียงกรีดร้องอย่างน่ากลัวก็ดังออกมาจาก ผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณ แห่งสำนักฉือสุ่ย (สายน้ำหมุน) ร่างของมันเริ่มเน่าเปื่อย แต่ยังคงกรีดร้องอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มันกำลังแห้งเหี่ยวลง
ก่อนที่มันจะตาย แกนลมปราณสามสี ก็ลอยลงไปในตะเกียงดวงที่สาม หลังจากนั้นตะเกียงก็เริ่มเผาไหม้ ส่องแสงสว่างออกมา
ณ ตอนนี้ ร่างของปรมาจารย์เอกะเทวะ ไม่ได้แห้งเหี่ยวมีแต่หนังติดกระดูก อีกต่อไปแล้ว มันกลายเป็นบุรุษวัยกลางคน
เส้นผมดำยาวของมัน กวาดไปมาทั่วแผ่นหลัง ทำให้มันดูภูมิฐานสง่างาม แข็งแกร่งทรงพลังอย่างที่สุด และที่ฝังลึกอยู่ภายในพลังของมัน ก็คือ ประกายแห่งอสูร
อย่างไรก็ตาม บริเวณหน้าอกของมัน ก็ยังคงลีบแห้งอยู่ เช่นเดียวกับใบหน้าบางส่วน และส่วนที่เหลือตามร่างกายบริเวณอื่นๆ บริเวณพื้นที่พวกนั้น ส่วนเนื้อผิวหนัง ดูเหมือนจะบิดเบี้ยวกระตุกอยู่ไปมา เห็นได้ชัดว่า การฟื้นฟูร่างกายของมันยังไม่สมบูรณ์เต็มที่
“ตอนนี้ข้าใช้พลังขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งได้แล้ว” มันพูดพร้อมยิ้มออกมา เมื่อรวมกับการฟื้นตัวบางส่วนของมัน, ผิวหนังที่บิดเบี้ยว ทำให้รอยยิ้มนั้นดูน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง
เหลืออยู่สี่คน ที่ได้เห็นรอยยิ้มอันน่าเกลียดนี้ ใบหน้าของพวกมันซีดขาวไร้สีเลือด ยกเว้นเทียนจีซ่างเหริน หนึ่งในพวกมัน ยกมืออันสั่นเทาขึ้นมา ในมือคือแผ่นหยก ที่มันจับไว้แน่น ทันใดนั้น ร่างของมันก็เริ่มเลือนลางลง ดูเหมือนว่า มันพยายามที่จะล่องหนหายตัวไป
ในเวลาเดียวกันนั้น หนึ่งในผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณ แห่งสำนักฉือสุ่ย (สายน้ำหมุน) ก็ล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น เปลวไฟก็พุ่งออกมาจากเท้าของมัน จากนั้นก็ห่อหุ้มไปทั่วร่าง จนดูเหมือนว่า มันได้กลายเป็นเสาแห่งแสงที่ลุกไหม้ ขณะที่มันพุ่งหนีไป
ผู้อาวุโสจากสำนักเฟิงหาน (สายลมยะเยือก) ทันใดนั้นก็ดูเหมือนว่าอายุจะน้อยลงไป เดิมทีใบหน้าของมันเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น แต่ตอนนี้ก็กลายเป็นบุรุษวัยกลางคน ส่องประกายเป็นระลอกคลื่นออกมา มันเดินไปสามก้าว ในช่วงเวลานั้น มันก็กลายเป็นลำแสงพุ่งออกไป