ในอาณาเขตอันกว้างใหญ่ของสำนักเอกะเทวะ เหลือเพียงเมิ่งฮ่าวเพียงคนเดียว ยืนอย่างโดดเดี่ยวบนภูเขาทิศตะวันออก มองดูแสงสีแดงที่ค่อยๆ จางหายไป จากนั้นก็ก้มหน้า เขตสำนักสายนอกที่ก่อนหน้านี้เคยคึกคักจอแจตอนนี้มีแต่ความว่างเปล่า
ศิษย์พี่หญิงฉื่อได้ถูกนำจากไป ศิษย์พี่เฉินก็ไปที่ดินแดนด้านใต้ แม้แต่เจ้าอ้วนก็ไปด้วย เขาไม่ทราบว่าจะได้พบกับพวกมันได้อีกเมื่อไหร่ อาจจะหลายเดือน? หลายปี?
สถานะศิษย์สายในของเขา, สามปีในสำนักเอกะเทวะ ทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นเพียงความทรงจำ สายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วงพัดโชยใบหน้า และกระพือเส้นผมของเขาปลิวไปพร้อมกับฝุ่นที่อยู่แถวนั้น
เขานั่งลงบนก้อนหินใหญ่อย่างเงียบๆ เวลาผ่านไปนาน จนในที่สุดดวงดาวก็แอบมองมาทีละดวง จากนั้นรุ่งอรุณก็มาเยือน เมิ่งฮ่าวถอนหายใจและเงยหน้าขึ้น
“พวกมันไปกันหมดแล้ว…และที่นี่ข้า…ยังคงอยู่ในแคว้นจ้าว” ทันใดนั้น เมิ่งฮ่าวก็คิดถึงบ้านขึ้นมา ถึงแม้ว่าเขาได้ขายบ้านเก่าแก่ของบรรพบุรุษในเมืองหยุนเจี๋ยไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงคิดถึงเตียงเก่าและชามกระเบื้องที่แตกบิ่นของเขา ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้คิดถึงภูเขาต้าชิง เขาคิดถึง…คิดถึงความอบอุ่น, รอยยิ้มอันอ่อนโยนของมารดา และบิดาผู้ซึ่งดูเหมือนว่ามักจะเกรงกลัวมารดาของเขาอยู่ตลอดเวลา
ความทรงจำทั้งหมดนี้ค่อนข้างเลือนลาง เมิ่งฮ่าวส่ายศีรษะ และเมื่อลำแสงแรกของรุ่งอรุณเล็ดลอดมา เขาก็ยืนขึ้น ไร้ประโยชน์ที่จะค้นหาสิ่งของในสำนักเอกะเทวะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีค่าได้ถูกนำไปหมดแล้ว ถูกปล้นโดยผู้ฝึกตนจากแคว้นจ้าว ทั้งหมดทึ่เคยมีล้วนว่างเปล่า
เมิ่งฮ่าวปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้า จากนั้นก็เปลี่ยนชุดยาวสีเงินของสำนักเอกะเทวะ กลับไปสวมชุดนักศึกษาที่เขาเคยใส่เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ มันเคยเป็นชุดยาวตัวใหญ่ แต่เมื่อเขาสวมมันตอนนี้ ก็รู้สึกว่าคับไปเล็กน้อย เขาจ้องมองไปที่ดวงตะวันที่กำลังลอยสูงขึ้น และถอนหายใจออกมา ลึกลงไปภายในร่างของเขา แกนทะเลสาบสีทองดูเหมือนจะเดือดพล่านอยู่ และด้านในของมัน แกนอสูรก็ส่องประกายพลังลมปราณออกมา กระจายเติมเต็มไปทั่วร่างกายของเขา
“ข้าใกล้จะถึงระดับขั้นเจ็ดของการรวบรวมลมปราณในไม่ช้านี้แล้ว ข้าสัมผัสได้ถึงจุดตีบตันของมัน” เขาเดินไปข้างหน้า ตบไปที่ถุงเก็บสมบัติ กระบี่บินสองเล่มก็โผล่ออกมาและลอยไปอยู่ใต้เท้าของเขา เขาเหินลงมาจากภูเขาและจากสำนักเอกะเทวะไป
ด้วยการใช้วิธีนี้พร้อมกระบี่บิน ก็ทำให้เขาสามารถที่จะเหาะได้ แต่ก็เช่นเดียวกับศิษย์พี่หญิงฉื่อที่ใช้ธวัชสายลม มันเป็นเพียงการเหาะได้แบบชั่วคราว ไม่สามารถใช้ในช่วงเวลายาวนานได้
เมิ่งฮ่าวเคลื่อนที่ไปด้วยความคล่องแคล่วปราดเปรียวมากยิ่งขึ้น เพิ่มความเร็วผ่านแนวป่าบนภูเขา ในที่สุดเขาก็ออกพ้นเขตพื้นที่ของสำนักเอกะเทวะ สถานที่ ที่เขาไม่เคยจากไปเลยตลอดสามปีที่ผ่านมา เขาเหาะผ่านแนวป่าบนภูเขาที่ดูเหมือนจะไร้จุดสิ้นสุด แต่ในที่สุดทั้งป่าและภูเขานั้นก็หายไปในเส้นขอบฟ้า
เวลาผ่านไป ด้วยการรักษาระดับความเร็วอย่างคงที่ ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็โผล่ออกมาจากเขตเทือกเขาหลังจากสองวันผ่านไป
“ข้าไม่แน่ใจว่าศิษย์พี่หญิงฉื่อใช้เวลานำข้าไปที่สำนักนานแค่ไหน” เขาพึมพำกับตัวเอง มองกลับยังเทือกเขาอันยาวเหยียด “มันคงไม่กี่วัน แต่ตอนนั้นข้าหมดสติไป ยังไงก็ตาม ข้าคิดว่าความเร็วของนางในตอนนั้น ก็คงเท่ากับของข้าในตอนนี้”
สำหรับผู้ฝึกตน แคว้นจ้าวไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก แต่สำหรับปุถุชนคนธรรมดา มันมีอาณาเขตที่ค่อนข้างกว้างไพศาลเลยทีเดียว จากการศึกษาของเขา เขาได้อ่านเกี่ยวกับแผนที่ภูมิประเทศ และถึงแม้ว่าเขาไม่เคยเดินทางไปด้วยตัวเอง แต่กระนั้นเขาก็ค่อนข้างคุ้นเคยกับพื้นที่ต่างๆ เหล่านี้
“ขณะนี้ข้าอยู่ในเขตทางเหนือของแคว้นจ้าว ข้าควรอยู่ไม่ไกลจากเมืองหยุนเจี๋ย” ไกลออกไป เขามองเห็นถึงบางอย่างที่คล้ายกับกระจกที่วางอยู่บนพื้นเรียบ นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า ทะเลเหนือ
“ตอนนี้เมื่อข้าคิดย้อนกลับไป ด้วยธวัชสายลม และระดับขั้นเจ็ดของการรวบรวมลมปราณ ศิษย์พี่หญิงฉื่อสามารถเหาะได้ชั่วคราว แต่มันก็ทำให้ต้องสิ้นเปลืองพลังลมปราณไปอย่างรวดเร็ว นางต้องไม่สามารถเหาะไปได้ไกลมากนัก”
สายตาของเมิ่งฮ่าวเปล่งประกายด้วยความปรารถนา เขาไปจากเมืองหยุนเจี๋ยเป็นเวลานานสามปี และความปรารถนาที่จะกลับบ้านเกิดก็เข้มข้นขึ้น เขารู้ว่าหลังจากที่ข้ามทะเลเหนือ เขาก็จะห่างจากภูเขาต้าชิงประมาณครึ่งวันของการเดินทางด้วยเท้า
สูดลมหายใจลึกๆ เขามุ่งไปข้างหน้าต่อไป ในที่สุดก็มาถึงริมฝั่งของทะเลเหนือ เขามองลงไป บนพื้นผิวที่เงียบสงบของทะเลสาบ เขาสามารถมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในน้ำ เขาไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มอีกต่อไป เขาดูอายุประมาณยี่สิบปี ใบหน้าฉายแววเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่มั่นคง แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเมิ่งฮ่าวในอดีตที่มีแต่ความโง่เขลาและยังเป็นวัยแรกรุ่นอยู่ในตอนนั้น
ท่ามกลางความเงียบ ก็มึเสียงหัวเราะอันอบอุ่นและใจดีดังขึ้นมา หยุดความนึกคิดของเมิ่งฮ่าวไว้
“คุณชายท่านนี้, ต้องการข้ามทะเลสาบหรือไม่?” เรือแจวลำเล็ก ค่อยๆ เลื่อนผ่านผิวน้ำ ตรงเข้ามาหาเมิ่งฮ่าว โดยมีชายชราซึ่งสวมเสื้อกันฝนที่สานจากต้นกกถือไม้พายแจวเรืออยู่ ใบหน้าของมันปกคลุมไปด้วยริ้วรอยแห่งชีวิตอันยากลำบาก แต่มันก็ยังพูดด้วยรอยยิ้มอันจริงใจ
“ข้าไม่อยากจะสร้างความลำบากให้แก่ท่าน, ท่านผู้เฒ่า” เมิ่งฮ่าวพูดด้วยสีหน้าแปลกใจ เขาไม่ได้ถูกเรียกว่า ‘คุณชาย’ มานานสามปีแล้ว
“ไม่ลำบากเลย” ชายชราพูด “ข้าได้รับส่งคนข้ามทะเลสาบนี้มานานหลายปีแล้ว ข้ารู้สึกชื่นชมคนหนุ่มที่เป็นนักศึกษาเช่นท่านจริงๆ” มันผลักเรือให้มาที่ข้างกายของเมิ่งฮ่าว ช่วยให้เขากระโดดไปบนเรือได้ง่ายขึ้น เมิ่งฮ่าวขึ้นไปได้ก็ประสานมือขอบคุณ
ข้างในลำเรือมีเด็กผู้หญิงนั่งอยู่ อายุประมาณเจ็ดถึงแปดปี ผมของนางทำเป็นรูปหางหมูสองข้าง นั่งพับเพียบอยู่หน้าเตาถ่านเล็กๆ กำลังพัดเปลวไฟให้น้ำที่อยู่ในหม้อต้มน้ำเดือดไปมา ไอน้ำลอยขึ้น
ข้างในของหม้อต้มน้ำเป็นขวดสุรา
“นี่เป็นหลานสาวของข้า” ชายชรากล่าวขณะที่กำลังหันหัวเรือกลับ “โชคร้ายที่นางเป็นเด็กผู้หญิง ถ้าเป็นเด็กผู้ชาย ข้าก็จะส่งนางไปเป็นนักศึกษา, คุณชาย” มันกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ท่านมาจากไหนหรือ?” เรือพุ่งตรงออกไปยังใจกลางทะเลสาบ เมื่อมีลมพัดมา ชายชราก็นั่งลงข้างเตาใบนั้น
เด็กผู้หญิงเงยหน้าขึ้นมองเมิ่งฮ่าว ดวงตาที่กลมโตของนางดูไร้เดียงสาและสวยงาม
“ข้าเป็นนักศึกษาหนุ่มจากเมืองหยุนเจี๋ย” เมิ่งฮ่าวพูดพร้อมรอยยิ้ม “ด้านล่างของภูเขาต้าชิง” รูปแบบของชีวิตปุถุชนคนธรรมดา ทำให้เขาคิดถึงชีวิตของเขาเมื่อในอดีต, สามปีที่แล้ว
“เมืองหยุนเจี๋ย นั่นเป็นสถานที่น่าอยู่! เคยมีบุรุษที่ยิ่งใหญ่นำชื่อเสียงมาให้ที่นี่ หลายปีมาแล้ว มีลางดีปรากฎขึ้นที่นั่น จนสร้างความสนใจให้กับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง” ชายชราหยิบขวดสุราขึ้นมา “อากาศตอนนี้กำลังเริ่มหนาว และร่างกายของข้าก็ทนไม่ค่อยได้ มา, มาดื่มกัน” มันยื่นขวดไปที่เมิ่งฮ่าว “ท่านดื่มได้หรือไม่?”
เมิ่งฮ่าวรู้เรื่องลางดีที่ชายชราได้พูดถึง มันเกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อนหน้านี้ หนึ่งวันก่อนที่บิดามารดาของเขาจะหายตัวไป เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ทีไร ก็จะรู้สึกหดหู่เศร้าใจเล็กน้อย เขาลังเลชั่วขณะ มองไปที่ขวดนั้น เขาไม่เคยดื่มสุรามาก่อน ย้อนกลับไปที่เมืองหยุนเจี๋ย เขาอาศัยอยู่อย่างยากจนเข็ญใจ และมันก็ไม่มีสุราในสำนักเอกะเทวะ เขายกจอกขึ้นมาและปล่อยให้ชายชรารินสุราไปจนเต็ม จากนั้นก็ยกจอกขึ้นดื่ม
ทันใดนั้น ความรู้สึกเผ็ดร้อนก็เติมเต็มอยู่ในจิตใจของเขา จากนั้นก็ค่อยๆ กระจายออกไปทั่วร่างกาย
“ท่านผู้เฒ่า หัวข้อสนทนาของท่านค่อนข้างจะไม่ค่อยธรรมดา ท่านได้พายเรือรับส่งมานานแล้วหรือไม่?” เมิ่งฮ่าวมองไปที่ระลอกคลื่นสีเขียว จากนั้นก็ดื่มสุราไปอีกคำ รู้สึกแผดร้อนเป็นทางลงไป และเขาก็คิดถึงสำนักเอกะเทวะ คิดถึงศิษย์พี่หญิงซู, ศิษย์พี่เฉิน และเจ้าอ้วน
“ยี่สิบปี” ชายชราตอบพร้อมเสียงหัวเราะ “ในชีวิตของข้า ข้าได้พายเรือรับส่งผู้คนมากมายข้ามทะเลเหนือนี้ ข้าได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่าง และแน่นอน ข้าได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับเรื่องราวที่ผู้คนชอบสนทนากัน ได้โปรด, อย่าได้หัวเราะเยาะข้า ใครจะรู้ได้ว่าทะเลสาบนี้จะอยู่ที่นี่ได้อีกกี่ปี? มันได้เห็นผู้คนมากมายด้วยเช่นกัน ผู้คนจดจำมัน และมันก็จดจำผู้คน” ชายชรายกจอกเหล้าของมันขึ้นมาและดื่มลงไป
เมิ่งฮ่าวจ้องไปที่มันสักพัก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินใครบางคนพูดเช่นนี้ เขามองกลับไปยังทะเลสาบ พึมพำกับตัวเอง ครุ่นคิดอย่างเคลิบเคลิ้ม
“เห็นได้ชัดว่าที่นี่คือทะเลสาบ” ทันใดนั้น เขาก็พูดขึ้น “ทำไมผู้คนถึงเรียกมันว่า ทะเลเหนือ?”
ชายชราคิดไปสักพัก จากนั้นก็ยิ้ม “ทะเลสาบสามารถแห้งหายไป, ขยายตัวอย่างเงียบๆ และสงบนิ่ง ถ้ามันเหือดแห้งไป ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่ แต่ทะเลคงอยู่ตลอดไป และสามารถรองรับน้ำจากแม่น้ำและทะเลสาบนับไม่ถ้วน บางทีผู้คนไม่ต้องการให้ทะเลสาบนี้หายไป จึงเรียกมันเช่นนั้น ถ้าท่านเชื่อว่ามันคือทะเลสาบ มันก็เป็นทะเลสาบ ถ้าท่านเชื่อว่ามันคือทะเล มันก็เป็นทะเล”
เมื่อเมิ่งฮ่าวได้ยินคำพูดของชายชรา จิตใจของเขาก็สั่นสะท้าน มือที่ถือจอกสุราก็เริ่มสั่น และเขาก็จ้องมองออกไปที่น้ำในทะเลสาบ ตกอยู่ในความเคลิบเคลิ้มมึนงง โดยไม่รับรู้ถึงกาลเวลา
เวลาผ่านไป และเรือแจวก็มาถึงริมฝั่ง เมิ่งฮ่าวหยิบแท่งเงินที่ได้จากศิษย์สายนอกบางคนในสำนักเอกะเทวะออกมา และชำระเป็นค่าโดยสาร เขาคารวะโดยการก้มตัวโค้งลงต่ำ เพื่อแสดงความนับถือชายชรา จากนั้นก็มองจนเรือลอยจากไป สองตาของเขาส่องประกายด้วยแสงแปลกๆ
เขาไม่ได้จากไป แต่นั่งลงขัดสมาธิอยู่ที่ริมทะเลสาบ มองไปที่น้ำและเรือที่กำลังหายไปในที่ห่างไกล มันเหมือนได้ยินเสียงชายชรากำลังหัวเราะ
“ถ้าท่านเชื่อว่ามันคือทะเลสาบ มันก็เป็นทะเลสาบ ถ้าท่านเชื่อว่ามันคือทะเล มันก็เป็นทะเล…” เสียงของชายชราดังก้องข้ามมาจากที่ห่างไกล ดูเหมือนราวกับว่า…ชายชราไม่ได้หายไปในที่ห่างไกล แต่…รวมเข้ากับน้ำในทะเลสาบแห่งนี้…
เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ที่นั่นด้วยความเคลิบเคลิ้ม นั่งติดต่อกันเป็นเวลาสามวัน
เขาไม่ได้ขยับแม้แต่น้อยตลอดช่วงเวลานั้น เอาแต่จ้องมองไปที่ทะเลสาบอย่างเงียบๆ เสียงของชายชราดังก้องอยู่ในจิตใจของเขา
“ทะเลสาบสามารถแห้งหายไป, ขยายตัวอย่างเงียบๆ และสงบนิ่ง ถ้ามันเหือดแห้งไป ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่ แต่ทะเลคงอยู่ตลอดไป และสามารถรองรับน้ำจากแม่น้ำและทะเลสาบนับไม่ถ้วน…” ทันใดนั้นสองตาของเมิ่งฮ่าวก็สว่างวาบขึ้น แกนทะเลสาบสีทองในร่างของเขาดูเหมือนว่าจะไม่มีที่สิ้นสุด แต่ในสายตาของเขามันยังคงเป็นทะเลสาบ
“ถ้าข้าเชื่อว่ามันคือทะเลสาบ มันก็เป็นทะเลสาบ ถ้าข้าเชื่อว่ามันคือทะเล, จากนี้เป็นต้นไป…ก็ให้มันเป็นทะเล!” เสียงราวสายฟ้าดังก้องอยู่ข้างในตัวเขา และแกนทะเลสาบก็เริ่มพลุ่งพล่านและปั่นป่วนไปมา โดยที่ปราศจากการช่วยเหลือของเม็ดยาใดๆ ทั้งสิ้น ทันใดนั้นมันก็ขยายตัวออกไป
เมิ่งฮ่าวไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เขาหลับตาแน่น เขาได้ผ่านเข้าไปยังระดับขั้นที่แปลกไปจากเดิม คำพูดของชายชราดังก้องอยู่ในหัวของเขา เขาไม่ได้สังเกตมัน แต่รอบๆ ตัวเขา พลังลมปราณที่ไร้ขอบเขตแห่งฟากฟ้าและผืนดินได้เริ่มไหลอย่างรวดเร็ว ล้อมรอบร่างของเขาไว้ จากนั้นก็ผ่านเข้าไปในร่างของเขา กระแสคลื่นเดือดพล่านอยู่ในทะเลเหนือ และภายในของกระแสคลื่นก็มีพลังลมปราณอันมากมายมหาศาลปั่นป่วนไปมา และก็พุ่งออกมาล้อมรอบตัวของเมิ่งฮ่าว
ทะเลเหนือกำลังแสดงเต๋า!
ณ ตอนนี้ ถ้ามีผู้ฝึกตนขั้นก่อตั้งแกนลมปราณมาเห็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ มันคงต้องตกตะลึงเป็นแน่ รูปแบบของการรู้แจ้งแห่งเต๋าเช่นนี้ เกิดขึ้นได้เฉพาะกับบางคนที่อยู่ในขั้นตัดวิญญาณเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ปรากฏการณ์เช่นนี้ยังต้องอาศัยบุญเสริมวาสนาส่งและโชคอันยิ่งใหญ่ถึงจะเกิดขึ้นได้ แต่ตอนนี้เมิ่งฮ่าวได้ก้าวข้ามกฎเกณฑ์นี้ไปเรียบร้อยแล้ว
เหตุผลที่เขาสามารถประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้ ส่วนใหญ่เนื่องมาจากแกนอสูรที่อยู่ในร่างของเขา มันเป็นแกนของมังกรปีกวารี สัตว์อสูรโบราณซึ่งหางของมัน สามารถที่จะกลายมาเป็นอสูรได้ ในความเป็นจริง ตอนที่เขาได้ฝันถึงมังกรปีกวารี เมิ่งฮ่าวก็ได้ก้าวถึงการรู้แจ้งแห่งเต๋าไปเรียบร้อยแล้ว
สามวันผ่านไป และในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็ลืมตาขึ้น สองตาของเขาเปล่งประกายด้วยแสงสีทอง ภายในร่างของเขา แกนทะเลสาบลมปราณไดเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าอย่างน่าตกใจ เมื่อเขาตรวจสอบดู เมิ่งฮ่าวก็ตระหนักได้ว่า มันไม่ใช่ทะเลสาบลมปราณอีกต่อไป มันเป็นแกนทะเลลมปราณ!
เขาเชื่อว่ามันเป็นทะเล ดังนั้น…มันก็คือทะเล!
ทะเลลมปราณคำรามเสียงกระหึ่ม และคลื่นลมปราณก็สาดไปมา แกนอสูร ยังคงลอยนิ่งอยู่ในส่วนลึกสุดของทะเลลมปราณ ปล่อยพลังลมปราณกระจายออกไปทั่วร่างของเมิ่งฮ่าว ด้วยการใช้วิธีที่เขาได้เรียนรู้มาจากคัมภีร์สุดยอดลมปราณ เขาโคจรพลังให้หมุนเวียนไปทั่วร่าง ร่างกายของเขาก็เริ่มส่องประกายแสงสีทองออกมา ราวกับว่ามีบางสิ่ง ทันใดนั้น ก็ได้แตกออกมาจากข้างในตัวเขา แสงสีทองกระจายอยู่รอบๆ ตัวเขาราวเก้าฉื่อในทุกทิศทาง
ท่ามกลางเสียงกระหึ่มของทะลลมปราณ ทันใดนั้น พลังการฝึกตนของเมิ่งฮ่าวก็ไต่ขึ้นไป ทะลุจุดปิดกั้นของระดับหก ตรงขึ้นไปในระดับขั้นเจ็ดของการรวบรวมลมปราณ
ถึงแม้ว่าเขาเพิ่งจะก้าวข้ามไปถึงระดับเจ็ด แต่พลังของเขาก็เหมือนราวกับว่า เขาได้อยู่ที่ขั้นสูงสุดของระดับเจ็ดไปเรียบร้อยแล้ว นี่เป็นเพราะว่าในเขตตันเถียนของเขา ไม่ใช่แกนทะเลสาบ แต่เป็น แกนทะเล!
ก่อนหน้านี้ พลังลมปราณซึ่งได้ถูกสร้างขึ้นมาในทะเลเหนือ ด้วยเวลาหลายร้อยปีจนนับไม่ถ้วน ทันใดนั้น ก็พุ่งตรงไปที่เมิ่งฮ่าว ราวกับว่าพลังลมปราณกลุ่มนี้ได้ช่วยให้เขาฝ่าอุปสรรคไปได้
ค่อยๆ, พลังลมปราณจากฟากฟ้าและผืนดินซึ่งรายล้อมอยู่รอบตัวเขาก็ค่อยๆ จางหายไป เช่นเดียวกับ พลังลมปราณของทะเลเหนือ
ช้าๆ, แสงสีทองซึ่งกระจายออกมาจากเมิ่งฮ่าว ก็เริ่มที่จะจางลงเช่นเดียวกัน และเขาก็เริ่มกลับคืนสู่รูปลักษณ์ปกติอย่างช้าๆ เขานั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ในที่สุดแสงสีทองก็หายไปจากดวงตาของเขา แม้ว่ามันจะยังคงส่องแสงระยิบแพรวพราว
เขาค่อยๆ ยืนขึ้น และมองออกไปยังทะเลเหนือ ด้วยการประสานมือ เขาคารวะทะเลด้วยความเคารพ จิตใจของเขาเต็มไปด้วยรายละเอียดที่เขาเคยอ่านในศาลาเวทของสำนักเอกะเทวะ ซึ่งเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตอสูรชนิดต่างๆ ของดินแดนหนานซาน ที่ไหนก็ตามที่มีอสูรอยู่ ก็จะมีอสูรซึ่งมีรูปร่างเป็นภูเขา, อสูรซึ่งมีรูปร่างเป็นแม่น้ำ และอสูรที่มีรูปร่างเป็นต้นไม้และสัตว์
“วันนี้ ทะเลเหนือแสดงเต๋า สักวันหนึ่งเมื่อพลังการฝึกตนของข้าสูงพอ ข้าขะกลับมาที่นี่ และช่วยเจ้าให้กลายเป็นทะเล!” เขามองออกไปยังทะเลเหนือ เขาไม่แน่ใจว่าทะเลสาบนี้ ต้องการจะกลายเป็นทะเลหรือไม่ มันอาจจะเหมือนรายละเอียดที่เขาเคยอ่านมา เป็นบางสิ่งที่มีชีวิต, ชีวิตอสูร
เมื่อคำนึงถึงมันได้ช่วยให้เขาฟันฝ่าอุปสรรคในการฝึกตนของเขา ช่วยให้เขาเปลี่ยนแกนทะเลสาบเป็นแกนทะเล เขาก็ต้องตอบแทนความมีน้ำใจนี้ มีเพียงวิธีเดียว คือช่วยให้ทะเลสาบนี้กลายเป็นทะเล!
หลังจากเวลาผ่านไป เมิ่งฮ่าวหันหลังกลับ และเดินตรงไปที่ภูเขาต้าชิง