สีหน้าของเมิ่งฮ่าวสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย ขณะที่ผู้ฝึกตนทั้งสิบพุ่งผ่านไป เขาบินต่อไปข้างหน้าไม่เร็วมากนัก ในที่สุด ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ก็ผ่านเขาไปไกลมากขึ้น ดวงตาส่องประกายเล็กน้อย เขาไม่ได้จากไป แต่ติดตามพวกมันต่อไป ดูราวกับว่าเขากำลังมองหาแหล่งของทัณฑ์แห่งสวรรค์ และเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่ค้นหาทัณฑ์สายฟ้าเพิ่ม
“ทำไมทัณฑ์แห่งสวรรค์ถึงได้เกิดขึ้น?” เมิ่งฮ่าวกล่าวด้วยน้ำเสียงเหมือนกับคนอื่นๆ เขาดูท่าทางคิดมากขณะที่ถาม “สถานที่ ที่ไปกระตุ้นมันคือที่ไหน?!”
“คำถามที่ดี! ข้ายังไม่เคยเห็นทัณฑ์แห่งสวรรค์เช่นนี้มาก่อน อย่าบอกนะว่ามีใครสามารถเอาชนะทัณฑ์แห่งสวรรค์อยู่ที่นี่ ไม่มีใครทำเช่นนี้ได้ตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว เจ้าสามารถอ่านมันได้จากบันทึกโบราณ…”
“ใช่แล้ว, มันช่างแปลกจริงๆ…”
จวบกระทั่งเป็นเวลาบ่ายที่เมฆลงทัณฑ์เริ่มหายไป ดวงตะวันสาดแสงส่องไปทั่วพื้นดิน ผู้คนเกือบหนึ่งพันค้นหาไปทั่วบริเวณ แต่ก็ไม่พบเบาะแสใดๆ จนในที่สุด พวกมันก็ค้นพบปล่องภูเขาไฟ
ก่อนที่จะมีใครเข้าไป ลำแสงสามสายที่กว้างหนึ่งร้อยจ้างก็ปรากฎขึ้นด้านบน ไม่ช้าบุคคลสามคนก็ปรากฎ ไม่มีใครสามารถมองเห็นใบหน้าของพวกมันได้ชัดเจน ขณะที่พวกมันบินตรงเข้าไปในปากของปล่องภูเขาไฟ
ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนรอบๆ บริเวณนั้นไม่อาจเห็นใบหน้านั้น แต่พวกมันก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันแข็งแกร่งที่คนทั้งสามเปล่งออกมา มีแต่ผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของสร้างแกนลมปราณ ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งเทียม ถึงจะสามารถส่งแรงกดดันเช่นนี้ออกมาได้
ภายในผู้คนกลุ่มใหญ่บริเวณนั้น ม่านตาของเมิ่งฮ่าวหดแคบลง แต่เขาก็ไม่ได้กังวลมากนัก ไม่นานหลังจากนั้น บุคคลทั้งสามก็บินออกมาจากด้านในของปล่องภูเขาไฟ สายตาของพวกมันกวาดผ่านกลุ่มฝูงชน ซึ่งทำให้ทุกคนเห็นรูปร่างหน้าตาของพวกมันได้อย่างชัดเจน
“นั่นคือผู้อาวุโสเมฆดำ!”
“พวกมันนั่นเอง พวกมันเป็นกองกำลังหนุนของสำนักชิงหลัวสายนอก…”
“สถานที่นี้อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักชิงหลัว การปรากฎตัวของพวกมันก็ไม่แปลกอันใด ตอนนี้พวกมันก็อยู่ที่นี่แล้ว พวกเราก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องอยู่ต่อ…”
ผู้ฝึกตนชราทั้งสามสวมใส่ชุดยาวสีดำ ซึ่งปักเป็นรูปเมฆที่ดูสวยงาม หลังจากที่มองไปรอบๆ คนทั้งสามดูเหมือนจะครุ่นคิดอย่างเคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะ จากนั้นก็ส่งเสียงออกมา
“เขตพื้นที่นี้ได้ถูกผนึกไว้ ออกไปจากสถานที่นี้ได้แล้ว!” พวกมันนั่งขัดสมาธิอยู่ที่กลางอากาศ ขณะที่หนึ่งในนั้นหยิบแผ่นหยกออกมา มันโบกสะบัดแขนเสื้อ และแผ่นหยกก็กลายเป็นหมอกสีดำ ลอยขึ้นไปในท้องฟ้า
เมิ่งฮ่าวก้มหน้าลงพร้อมสีหน้าที่ยินยอมถอนตัว เหมือนกับฝูงชนที่อยู่รายรอบ จากนั้นก็เริ่มหายตัวจากไปพร้อมกับกลุ่มฝูงชนพวกนั้น
“กลายเป็นว่าสถานที่นี้อยู่ใกล้กับสำนักชิงหลัว…” เมิ่งฮ่าวคิด มองออกไปยังที่ห่างไกล ทันใดนั้น เขาก็เพิ่มความเร็วขึ้น กลายเป็นลำแสงพุ่งออกไป มือขวาตบไปที่ถุงแห่งจักรวาล และแผ่นหยกก็ปรากฎขึ้นในมือ เขามองไปที่มันอย่างละเอียด
“วาว, ลมพายุที่เกิดจากคุนเผิงพัดพาข้ามายัง…สำนักชิงหลัว…” ทันใดนั้น ภาพที่ปรากฎขึ้นมาในจิตใจของเขา เป็นวันที่ย้อนกลับไปยังสำนักเอกะเทวะ เมื่อเขาเดินไปพร้อมกับศิษย์พี่หญิงฉื่อ
“ตอนนี้ศิษย์พี่หญิงฉื่อกำลังทำอะไรอยู่นะ?” เขาคิด บินต่อไปอีกสองสามวัน หลังจากผ่านไป ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว มองไปยังสถานที่บางจุดที่อยู่ห่างออกไปไกล เขาร่อนลงด้านข้างของราวป่า
มือขวาตบไปที่ถุงแห่งจักรวาล และฉู่อวี้เยียนก็ลอยออกมา ใบหน้าของนางซีดขาว และทันทีที่นางปรากฎ นางก็มองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาที่เย็นชา โดยไม่ยอมพูดจา
ใบหน้าของเขาเรียบสงบ เมิ่งฮ่าวคุกเข่าลง และใช้มือลูบคลำไปทั่วร่างของนาง แน่นอนว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกถึงความอ่อนนุ่มบนร่างของนาง ดวงตาของนางเบิกกว้าง และโทสะก็ปกคลุมไปทั่วใบหน้า
“เจ้ากำลังจะทำอะไร?!” นางร้องถาม แต่ขณะที่คำพูดดังออกมาจากปาก เมิ่งฮ่าวก็ดึงมือเขาออกมาจากส่วนลึกด้านในที่มีไออุ่นของชุดยาวของนาง เผยให้เห็นเม็ดยาสี่เม็ด
“เม็ดยาพวกนี้เป็นของข้า” เขากล่าว เก็บเม็ดยาไว้ เขาได้คาดเดามานานแล้วว่า ฉู่อวี้เยียนได้แอบซ่อนเม็ดยารองของเม็ดยาพื้นฐานสมบูรณ์ที่นางปรุงได้ไว้บางส่วน
เมื่อได้เห็นเขาเอาเม็ดยาไป นางก็ส่งเสียงต่ำๆ อยู่ในลำคอ พลังฝึกตนของนางตอนนี้ฟื้นคืนกลับมาแล้ว แต่ก็ยังถูกห่อหุ้มอยู่ภายในร่างแหสีดำ ไม่มีทางที่จะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระได้
“ตามข้อตกลงของพวกเรา ข้าจะปล่อยเจ้าไป”
เมิ่งฮ่าวมองลงมาที่นาง จากนั้นก็โบกสะบัดมือขวา แหสีดำเปิดกว้างออก และจากนั้นก็ลอยออกมาจากร่างนาง
“ข้าบอกว่า ข้าจะนำเจ้าออกมาจากที่นั่น และข้า, เมิ่งฮ่าวก็ไม่เคยกลับคำพูด”
เกือบจะทันทีที่เมิ่งฮ่าวเรียกแหสีดำกลับไป ดวงตาฉู่อวี้เยียนก็แวบประกายด้วยแสงแปลกๆ พลังฝึกตนของนางกลับมาอยู่ที่ระดับกลางขั้นพื้นฐานลมปราณ และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่านางกำลังจะขยับมือเพื่อสร้างเวทอาคม
เมิ่งฮ่าวมองไปที่นางด้วยสีหน้าสงบเรียบเหมือนเช่นเคย จิตใจของนางห่อเหี่ยวลง และยืนนิ่งไม่พูดจาอยู่ชั่วครู่ ความรู้สึกอันสลับซับซ้อนปรากฎขึ้นบนใบหน้าของนาง
“ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างพวกเราได้จบลงชั่วคราว” นางกล่าว กัดฟันแน่น “แต่ถ้าได้พบกันอีกในวันข้างหน้า พวกเราก็ยังคงเป็นศัตรูต่อกัน สำหรับเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในปล่องภูเขาไฟนั้น เจ้าไม่อาจพูดให้ใครฟังได้ตลอดไป ถ้าเจ้าพูด ก็จะบังคับให้ข้าต้องสังหารเจ้า!”
นางหมดสติไปเป็นเวลานาน และไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นเกี่ยวกับทัณฑ์แห่งสวรรค์ หรือขุมทรัพย์เซียนโลหิต
แต่สำหรับความรู้สึกของนางที่มีต่อเมิ่งฮ่าว มันช่างแตกต่างอย่างมากมายกว่าสิ่งที่นางรู้สึก เมื่อนางได้พบเห็นเขาครั้งแรก เขาดูเหมือนจะอยู่ที่ระดับต้นของขั้นพื้นฐานลมปราณ แต่ด้วยท่าทางที่เขายืนอยู่ที่นั่น ช่างสงบเยือกเย็นเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง จนทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ความหวาดกลัวนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็มาจากสิ่งที่นางได้ประสบมา ในช่วงครึ่งปีที่ด้านในของปล่องภูเขาไฟ และอีกส่วนก็มาจากความรู้สึกถึงอันตรายที่พุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกในจิตใจของนาง
นางรู้สึกได้ว่า ถ้านางโจมตีในตอนนี้ นางคงได้ทำในสิ่งที่นางต้องเสียใจไปตลอดชีวิตเป็นแน่
เมื่อนางกล่าวด้วยคำพูดอันเย็นชาออกไป ทันใดนั้น นางก็ลอยขึ้นไปในท้องฟ้า กลายเป็นลำแสงสีขาวพุ่งหายลับตาไป ในตอนนี้ นางไม่ต้องการอะไรมากไปว่า การไปจากเขาให้ไกลที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เหตุการณ์ในปล่องภูเขาไฟตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา กลายเป็นความทรงจำอันซับซ้อน ที่ไม่อาจลืมเลือนได้ตลอดไป
เมิ่งฮ่าวมองรูปร่างที่บอบบางสวยงามนั้นค่อยๆ หายลับตาไปอย่างช้าๆ เขาก็คิดกลับไปยังครึ่งปีในปล่องภูเขาไฟด้วยเช่นกัน เขาคิดถึงเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นของนาง ซึ่งเปิดเผยให้เห็นผิวเนื้อที่ขาวเนียนราวหิมะ และรูปร่างที่สวยงามของนาง
เขายืนยิ้มน้อยๆ อยู่ที่นั่นสักพัก ก่อนที่จะพูดเสียงเย็นชาออกมา “ถ้าเจ้ามองจนเพียงพอ ก็ออกมาได้แล้ว”
เสียงของเขาพบแต่ความเงียบจากพื้นที่รอบๆ บริเวณนั้น เขายกมือขวาขึ้น และมังกรเปลวไฟที่ยาวหนึ่งร้อยจ้างก็ปรากฎ ทันใดนั้น ทั่วทั้งบริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยคลื่นความร้อนอันน่ากลัว
“ไม่, ไม่, ไม่” เสียงตื่นตกใจดังออกมา “สหายเต๋า ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้น…” เสียงนั้นดังมาจากอากาศที่ไม่ไกลออกไป ทันใดนั้น ประกายแสงของเงาร่างก็ปรากฎขึ้น จากนั้นก็รวมตัวกันเป็นบุรุษหนุ่ม ที่มีสีหน้าค่อนข้างต่ำช้า และในมือของมันเป็นกระดาษยันต์อาคม มันดูท่าทางกังวลเมื่อมองมายังเมิ่งฮ่าว
ศีรษะอันใหญ่โตของมังกรเปลวไฟจ้องตรงๆ ไปที่บุรุษผู้นั้น ดวงตาเปล่งประกายอย่างน่ากลัวออกมา ดูเหมือนจะปิดทางหนีของมันไว้จนหมดสิ้น ขณะที่มังกรเปลวไฟเข้าไปใกล้
สีหน้าของเขาเป็นปกติเหมือนเช่นเคย เมิ่งฮ่าวกล่าว “เจ้าได้ติดตามข้ามาสักพักแล้ว ข้าอยากเห็นสิ่งของของเจ้า” ดวงตาของเขาสาดประกายความเย็นชาออกมา ทำให้จิตใจของผู้ฝึกตน ที่มีท่าทางต่ำช้าผู้นี้ รู้สึกกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง
พลังฝึกตนของมันอยู่ที่ระดับต้นขั้นพื้นฐานลมปราณ แต่เมื่อได้เผชิญหน้ากับเมิ่งฮ่าว มันก็รู้สึกถึงแรงกดดันอันน่าเหลือเชื่อ กดทับลงมาที่มัน โดยเฉพาะมังกรเปลวไฟที่ยาวหนึ่งร้อยจ้างนั้น ทำให้จิตใจมันสั่นสะท้าน จากสิ่งที่มันสามารถบอกได้ มังกรเปลวไฟนี้เหมือนจะมีพลังฝึกตน ระดับสุดท้ายของขั้นพื้นฐานลมปราณ
การปรากฎของมังกรเปลวไฟ ได้ปิดกั้นทั่วทั้งบริเวณนั้นไว้ บังคับให้มันต้องเปิดเผยตัวตนออกมา
“ผู้อาวุโส, ข้านามว่าโจวต้าหยา แห่งสำนักจินซวง” มันกล่าวด้วยใบหน้าซีดขาว มันรีบหยิบเหรียญกษาปณ์ประจำตัวของมันให้เมิ่งฮ่าวเห็น “สหายเต๋า, ได้โปรด, ได้โปรดอย่าได้โจมตี ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย ข้าแค่ได้เห็นธงที่ท่านใช้ดูดซับทัณฑ์สายฟ้า ทำให้ข้าตื่นเต้นมาก และติดตามมาเผื่อมีโอกาสขอซื้อมันไว้ได้”
การติดตามเมิ่งฮ่าวมาตลอดเวลา แน่นอนว่ามันต้องได้เห็นฉู่อวี้เยียน มันจำนางได้ เห็นได้ชัดว่า มันตกใจมาก มันรู้ว่าฉู่อวี้เยียนเป็นผู้ถูกเลือกแห่งสำนักจื่อยิ่น และหวังเถิงเฟยก็เป็นคู่หมั้นของนาง แต่มันก็เพิ่งจะสังเกตเห็นนางสวมใส่เสื้อผ้าของบุรุษ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นเสื้อผ้าของบุรุษหนุ่ม ที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้ามันในตอนนี้
เมื่อได้เห็นท่าทางอันสลับซับซ้อนในดวงตาของนาง และได้ยินสิ่งที่นางพูดกับเมิ่งฮ่าว แน่นอนว่าในจิตใจของโจวต้าหยา ต้องมีการคาดเดาอย่างวุ่นวายว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น
อันที่จริง มันได้ข้อสรุปไปเรียบร้อยแล้ว ว่ามันต้องเป็นคนเดียวที่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องชู้สาวรายนี้…จึงทำให้มันรู้สึกค่อนข้างกังวล แต่ก็ทำให้มันรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน
“ผิดประเวณี!” มันคิด “สองคนนี้ลักลอบได้เสียกัน! ถ้าท่านปรมาจารย์น้อยรู้เรื่องนี้ ท่านต้องมีความสุขเป็นอย่างมาก จริงๆ แล้ว ท่านอาจจะให้ของบางอย่างเป็นรางวัลแก่ข้าเป็นแน่”
“สำนักจินซวง” เมิ่งฮ่าวกล่าว จ้องอย่างเย็นชาไปที่ผู้ฝึกตนท่าทางต่ำช้านั้น เขาขมวดคิ้ว “เจ้ารู้จักหลี่ฟูกุ้ย?”
“หลี่ฟูกุ้ย?” โจวต้าหยาพูด ดูท่าทางประหลาดใจ “อืม ท่านหมายถึงปรมาจารย์น้อย? แน่นอนว่าข้ารู้จักท่าน! ทุกคนในสำนักจินซวงต่างก็รู้จักท่านปรมาจารย์น้อย” จากสีหน้าที่เมิ่งฮ่าวเห็น เมื่อเขามองเข้าไปในดวงตาของมัน ดูไม่เหมือนว่ามันกำลังโกหก เมิ่งฮ่าวรู้สึกยินดีอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ
“เจ้าอ้วนกลายเป็นปรมาจารย์น้อยได้อย่างไร?” เขาครุ่นคิด หลังจากนั้นสักพัก ดวงตาของเขาก็จ้องไปยังกระดาษยันต์อาคมซึ่งโจวต้าหยาถืออยู่ในมือ
จิตใจของโจวต้าหยาเต้นสั่นรัว มันเกลียดการถูกแยกออกจากยันต์อาคมนี้ แต่ก็บังคับตัวเองให้ยื่นส่งไป
“สหายเต๋า โปรดอย่าได้ถือสา ที่ข้า, โจวต้าหยา แสดงกิริยาหยาบคายในวันนี้ ได้โปรดรับยันต์อาคมล่องหนของข้าไว้ เพื่อแทนคำขอโทษในความสะเพร่าเลินเล่อจากข้า”
เมิ่งฮ่าวมองไปยังยันต์อาคมล่องหน กวาดมันไปทั่วด้วยจิตสัมผัส ไม่เห็นมีอะไรแปลกพิเศษ เขารับมันไว้
“สำนักจินซวง (เกล็ดน้ำค้างทองคำ) อยู่ในแคว้นหานเสี่ย (หิมะหนาวเย็น)” เมิ่งฮ่าวพูดเสียงเย็นชา ดวงตาหดแคบลง “เจ้ามาทำอะไรในสถานที่นี้?”
“สำนักชิงหลัว (ตะกร้าเขียว) ไม่ได้เข้าร่วมในการแข่งขันล่าขุมทรัพย์เซียนโลหิต” มันตอบอย่างระมัดระวัง “ดังนั้น ทางสำนักจึงสั่งให้ข้า และคนอื่นๆ มาที่นี้เพื่อตรวจสอบ จริงๆ แล้ว พวกเราไม่ใช่กลุ่มเดียวที่มา ยังมีผู้คนจากหลายสำนักในพื้นที่ใกล้เคียงนี้ที่มาด้วย ไม่นานนักหลังจากที่ข้ามาถึง ข้าก็ได้เห็นทัณฑ์สายฟ้า…” ดูเหมือนมันจะเน้นย้ำเป็นพิเศษว่า มันไม่ได้อยู่คนเดียวที่นี่ ในเขตสำนักชิงหลัวแห่งนี้
“การตรวจสอบของเจ้ามีผลลัพธ์อะไรบ้าง?” เมิ่งฮ่าวถามอย่างราบเรียบ
“เรื่องนี้ตรวจสอบได้ไม่ง่ายนัก เร็วๆ นี้ สำนักชิงหลัว ได้แจกจ่ายสมบัติมากมาย เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกตนเร่ร่อน ที่อยู่ในขั้นพื้นฐานลมปราณ หลังจากที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นานพอสมควร ข้าก็คิดว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้อย่างแน่นอน”
สีหน้าของเมิ่งฮ่าวไม่เปลี่ยนแปลง เขามองไปยังโจวต้าหยาสักพัก จากนั้นก็ไม่พูดอะไรออกมา โบกสะบัดแขนเสื้อ และกลายเป็นลำแสงหายลับตาไป
เมื่อร่างของเขาหายลับไปในเส้นขอบฟ้า จิตใจของโจวต้าหยาก็เริ่มผ่อนคลาย มันปาดเหงื่อออกจากคิ้ว การยืนต่อหน้าเมิ่งฮ่าว ทำให้มันรู้สึกถึงแรงกดดันอันน่าเหลือเชื่อ กดทับลงมาที่มัน และต้องระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา
ตอนนี้ มันรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง และดวงตาก็สาดประกายเจิดจ้าออกมา
“ผิดประเวณี! คนผู้นั้นและฉู่อวี้เยียนลักลอบได้เสียกัน! นางยังได้สวมใส่เสื้อผ้าของมัน ฮา ฮา ฮา! ข้าต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อบอกเล่าเรื่องนี้ให้ท่านปรมาจารย์น้อยทราบ ข่าวนี้ต้องทำให้ท่านมีความสุขอย่างใหญ่หลวงอย่างแน่นอน”
เมื่ออยู่ในสำนัก โจวต้าหยาเป็นคนที่ค่อนข้างจะชอบซุบซิบนินทา และชอบกระจายข่าวลือต่างๆ การได้มาพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ ทำให้มันเชื่อว่าจะต้องเป็นข่าวลืออันยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน มันจึงรีบลอยขึ้นไปในอากาศ มุ่งหน้ากลับไปยังจุดนัดพบที่จัดตั้งขึ้นของสำนักในทันที
—————
ผู้แต่งได้เปลี่ยนชื่อ สำนักเฮยเซ่อไช (กระชอนดำ) เป็น สำนักชิงหลัว (ตะกร้าเขียว) ตั้งแต่ภาค 2 นี้