ความเงียบครอบงำอยู่บริเวณรอบๆ สนามประลอง ศิษย์สำนักกูตู๋เจี้ยนนับร้อยจ้องไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความตกใจ และไม่อยากเชื่อ หลังจากนั้น ดวงตาของพวกมันก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างเข้มข้น
ในโลกแห่งการฝึกตน ความเคารพนับถือเกิดมาจากความแข็งแกร่ง เมิ่งฮ่าวแค่อยู่ในขั้นกลางของพื้นฐานลมปราณ แต่ก็สามารถจัดการวงจรอันยิ่งใหญ่ ขั้นสุดท้ายของพื้นฐานลมปราณลงได้ ทิ้งเป็นความทรงจำอย่างลึกล้ำให้กับทุกคนในสถานที่นั้น ความหวาดกลัวของพวกมันเปลี่ยนเป็นความนับถือ นับถือในตัวเมิ่งฮ่าว
ไม่มีใครพูดออกมา พวกมันมองไปอย่างเงียบๆ ขณะที่เขาเดินออกไปจากสนามประลอง สีหน้าเขินอายยังคงมีอยู่บนใบหน้าของเขา ขณะที่เดินกลับไปยังเฉินฟ่าน
เฉินฟ่านอ้าปากค้างมองเขาอยู่นาน จากนั้น รอยยิ้มก็แผ่กระจายไปทั่วใบหน้า และเริ่มหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของมันกระแทกความเงียบจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ และเสียงพูดคุยก็ดังออกมาในทันที
“คนผู้นั้นเป็นใคร?!”
“มันอยู่ในขั้นกลางของพื้นฐานลมปราณ แต่ก็ทำให้วงจรอันยิ่งใหญ่ขั้นสุดท้ายของพื้นฐานลมปราณพ่ายแพ้ลงได้! ด้วยพลังฝึกตนเช่นนี้…พลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้…มันต้องไม่ใช่ผู้ไร้ชื่อเสียงเรียงนามเป็นแน่!”
“มัน…ดูเหมือนกับเต้าจื่อเป็นอย่างมาก! วิชาเวทที่มันเพิ่งใช้ออกมา ก็ค่อนข้างคุ้นตายิ่ง มันเหมือนกับท่าสิบเก้าฝ่ามือฟาดเมฆาของสำนักชิงหลัว…”
เสียงพูดคุยดังก้องไปทั่ว ใบหน้าของโจวซานเยี่ยซีดขาว ขณะที่มันโซเซถอยไปด้านหลังสองสามเก้า มันเงยหน้าขึ้น และจ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวอย่างละเอียด เป็นครั้งแรกที่มันได้ทำเช่นนี้ ซึ่งก่อนหน้า มันคิดว่าเฉินฟ่านเป็นคนที่มันต้องให้ความสนใจมากที่สุด ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความเกลียดชังมุ่งร้าย และโทสะอันเข้มข้นรุนแรง
“เจ้าคนต่ำช้า, สารเลว ไร้ยางอาย! เจ้าคนโกง!! เห็นได้ชัดว่าเจ้ารู้ซึ้งถึงพลังฝึกตนของเจ้า แต่ก็แสร้งทำเป็นอ่อนแอ! เจ้าไม่ยอมต่อสู้ในตอนแรก แต่มาสู้ในครั้งนี้โดยมีจุดประสงค์!! เจ้าช่างชั่วร้ายจนไร้ที่สิ้นสุดจริงๆ!!” โจวซานเยี่ย กัดฟันของมันจนแน่น และด่าทอสาปแช่งออกมา ขณะที่บุรุษวัยกลางคนแซ่หลี่ ออกมาจากสนามประลอง ใบหน้าของมันซีดขาว หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา มองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน ซึ่งมีทั้งความเกลียดชังและอารมณ์อื่นๆ ผสมปนเปกันไป
มันยังคงไม่เข้าใจ เห็นได้ชัดว่ามันต้องจ่ายค่าตอบแทนออกมา มันคิดว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างสิ้นเชิง แต่ก็กลายเป็นว่ามันถูกหลอกได้อย่างง่ายดาย
จากนั้น มันก็คิดไปถึงหินลมปราณที่มันได้วางเดิมพันไว้ ซึ่งไม่ได้เป็นของมัน มันได้ขอยืมมาจากศิษย์ร่วมสำนักที่อยู่รอบๆ นั้น และต้องจ่ายคืนไปพร้อมกับดอกเบี้ย ทำให้ใบหน้าของมันต้องซีดขาวราวกระดาษ
เมิ่งฮ่าวส่งเสียงไอแห้งๆ ออกมาเบาๆ ด้วยสีหน้าประหม่าเขินอาย กล่าวขึ้น “พวกเจ้าเป็นคนเรียกร้องยืนกรานให้ต่อสู้เองนะ” โจวซานเยี่ยตัวสั่นสะท้าน ด้วยการโบกสะบัดแขนเสื้อ มันหันหลังเตรียมจากไป เห็นได้ชัดว่าตั้งใจจะกลับคำพูด และไม่ยอมส่งมอบจี้หยกให้
เฉินฟ่านแค่นเสียงเย็นชาออกมา “ศิษย์น้องโจว” มันพูดเสียงราบเรียบ “เดิมพันไม่มีความหมาย แต่ศักดิ์ศรีของสำนักกูตู๋เจี้ยนคือทุกสิ่ง อย่าบอกข้านะว่า เจ้าตั้งใจจะถ่มน้ำลายรดหน้าตัวเอง!?” ทันใดนั้น ดวงตาทุกคู่ของผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้น ต่างก็มองมายังโจวซานเยี่ย
พวกมันทั้งหมดต่างก็เป็นศิษย์สำนักกูตู๋เจี้ยน พวกมันอาจจะไม่สามารถวัดกับคนอื่นๆ ได้ในแง่ของทักษะความสามารถ แต่สิ่งสำคัญที่ถูกปลูกฝังในตัวของพวกมัน ตั้งแต่แรกเริ่มเมื่อเข้าสังกัดสำนัก เมื่อพูดแล้วห้ามกลับคำ
โจวซานเยี่ยรู้สึกถึงสายตานับร้อยคู่ของศิษย์ร่วมสำนักจ้องมองมา สีหน้าของมันเปลี่ยนไป มันกระทืบเท้าอย่างมีโทสะลงไปบนพื้น ด้วยความเจ็บปวดใจ มันดึงหยกช่วยชีวิตออกมา และโยนตรงไปยังเมิ่งฮ่าว มันยังได้ส่งหยดโลหิตของมันตามไปด้วย
มันชำเลืองมองไปยังเมิ่งฮ่าว ดวงตาเต็มไปด้วยโทสะและความอับอาย ถ้ามันทำได้ มันก็คงจะสังหารเมิ่งฮ่าวนับร้อยครั้งไปแล้ว สุดท้าย มันหันร่างไป กลายเป็นลำแสงหลากสีพุ่งหายลับตาไป
เมิ่งฮ่าวไอเสียงเบาๆ ออกมาอีกครั้ง การจ้องมองเช่นนี้เขาไม่ค่อยจะคุ้นเคยนัก และจริงๆ แล้วเขาก็เคยเป็นเหมือนมัน เขาจ้องไปอย่างกระตือรือร้นยังถุงสมบัติของคนแซ่หลี่ ด้านในเป็นหินลมปราณหลายแสนก้อน ซึ่งมันได้นำมาเป็นเดิมพัน
ด้วยใบหน้าซีดขาว ช่วยไม่ได้ที่คนแซ่หลี่จะคิดไปว่า มันจะจ่ายคืนให้ศิษย์ร่วมสำนักได้อย่างไร จากนั้นเมื่อมันคิดไปถึงการที่ต้องเป็นหนี้คนนับร้อย ดวงตาของมันก็มืดสลัวลง
โดยไร้ร่องรอยของความสุภาพอ่อนโยน เฉินฟ่านเดินตรงไป และคว้าฉวยถุงสมบัตินั้นไว้ คนแซ่หลี่ไม่ทำอะไรเพื่อหยุดเฉินฟ่าน มันทำได้เพียงยิ้มอย่างโศกเศร้าออกมา เฉินฟ่านกำลังจะหันหลังและเดินกลับไป แต่เมิ่งฮ่าวก็ไอออกมาอีกครั้ง
“ศิษย์พี่, ยังมีกระบี่ที่มีค่าเท่าหินลมปราณนับแสนอีกด้วย” เมิ่งฮ่าวจะลืมมันไปได้อย่างไร? เมื่อคิดไปถึงว่าเขากังวลเกี่ยวกับหินลมปราณมากมายเท่าไหร่ เช่นเดียวกับการกังวลเรื่องสังกัดสำนัก เขาอาจจะลืมบางสิ่งบางอย่างไป แต่เขาก็ไม่เคยลืมเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหินลมปราณอย่างแน่นอน
“กระบี่?” เฉินฟ่านพูดกับผู้แซ่หลี่ที่มีใบหน้าซีดขาว ยื่นมือออกไป
ด้วยใบหน้าที่ขมขื่น ผู้แซ่หลี่หยิบกระบี่ออกมา จิตใจมันสั่นสะท้าน และรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลออกมา มันยื่นส่งให้กับเฉินฟ่าน และจากสีหน้าท่าทางของมัน ก็ดูเหมือนว่า มันกำลังยื่นส่งคนรักในชีวิตของมันออกไป
มันจ้องไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความอาฆาต ความมุ่งร้ายในดวงตาของมันเริ่มเข้มข้นรุนแรงมากยิ่งขึ้น
“ไร้ความละอายใดๆ!” มันกล่าว กัดฟันแน่น โบกสะบัดแขนเสื้อ หมุนตัวจากไป
เฉินฟ่านแค่นเสียงเย็นชาออกมา และจากนั้นก็รีบกลับไปพร้อมเมิ่งฮ่าว และของเดิมพันที่ชนะมาทั้งหมด พวกเขากลับมายังบ้านของเฉินฟ่าน พร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์น้อง, ครั้งนี้พวกเราชนะ แต่ครั้งหน้า” มันตักเตือนอย่างจริงจัง “เจ้าไม่อาจทำเรื่องเช่นนั้น มันอันตรายเป็นอย่างยิ่ง และตอนนี้เจ้าก็ต้องกังวลเกี่ยวกับคนทั้งสองจะกลับมาเอาคืนจากเจ้า”
เมิ่งฮ่าวพยักหน้า รู้ว่าเฉินฟ่านเห็นห่วงเขาอย่างแท้จริง พร้อมรอยยิ้ม เขากล่าว “ศิษย์พี่, เช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าเอาหินลมปราณไป และท่านก็เก็บจี้หยกไว้?”
เฉินฟ่านครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ตอบว่า “ไม่, ข้าไม่จำเป็นต้องใช้มัน เจ้าเก็บมันไว้ ฟังศิษย์พี่นะ เจ้าเอาไปทั้งหมด นี่เป็นสำนักของข้า ดังนั้น ข้าจึงมีทุกอย่างที่ข้าต้องการแล้ว สำหรับจี้หยก…เจ้าเก็บมันไว้ แต่เมื่อท่านอาจารย์ออกมาจากการนั่งเข้าฌาณเพียงลำพัง ก็คืนท่านไป ยังไงเจ้าก็จะกลายเป็นศิษย์ในสำนักอยู่แล้ว”
เมิ่งฮ่าวพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมให้มันเก็บชิ้นหยกไว้ แต่เฉินฟ่าน แม้จะไม่ได้ปฏิเสธโดยตรง แต่ก็ไม่ยอมรับมันไว้ ในที่สุด เมิ่งฮ่าวก็รวบรวมของที่ชนะมาทั้งหมดไว้ด้วยกัน จากนั้น เฉินฟ่านก็หยิบเอาสุราออกมา พี่น้องทั้งสองนั่งลงดื่มด้วยกัน และพูดคุยเกี่ยวกับสำนักเอกะเทวะต่อไป
ไม่กี่วันผ่านไป และอาจารย์ของเฉินฟ่านก็ยังคงนั่งเข้าฌาณตามลำพังต่อไป วันของงานเลี้ยงที่ตระกูลซ่งใกล้เข้ามา ในที่สุด เช้าตรู่ยามรุ่งอรุณวันหนึ่ง เสียงระฆังก็ดังกระจายไปทั่วสำนักกูตู๋เจี้ยน
ที่เชิงเขามีพื้นที่ราบซึ่งปกติแล้ว จะปกคลุมไปด้วยเวทป้องกัน ในตอนนี้ กลุ่มคนกำลังบินมาจากทุกทิศทาง ตรงไปยังพื้นที่บริเวณนั้น
เมิ่งฮ่าวก็อยู่ในกลุ่มคนนั้น บินอยู่ข้างๆ เฉินฟ่าน
ขณะที่เขาเข้าไปใกล้ สิ่งแรกที่เมิ่งฮ่าวสังเกตเห็น ก็คือ ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลขนาดใหญ่โตมโหฬาร ล้อมรอบไว้ด้วยเสาศิลาเก้าต้น ไม่ไกลจากมัน ชายชราชุดเทานั่งขัดสมาธิอยู่ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“นั่นคือผู้ดูแลประตู” เฉินฟานกล่าวอย่างเงียบๆ “’งานของมันก็คือดูแลรักษาประตูเคลื่อนย้ายทางไกล” เมิ่งฮ่าวพยักหน้า เลื่อนสายตามองไปยังตัวประตู และพื้นที่บริเวณรอบๆ นั้น
นอกจากเฉินฟ่านและตัวเขาเอง ก็ยังมีอีกสามคน ซึ่งสวมใส่ชุดเต๋าของสำนักกูตู๋เจี้ยน และมีกระบี่เล่มใหญ่แขวนอยู่ที่ด้านหลัง เมื่อเขามองไป พวกมันก็มองกลับมา และพยักหน้าให้เล็กน้อย
พร้อมรอยยิ้ม เมิ่งฮ่าวประสานมือ และคารวะไปยังพวกมัน พวกมันยิ้มกลับมา
แม้จะไม่ได้พูดจากัน เมิ่งฮ่าวก็บอกได้ว่า พวกมันรู้ว่าเขาเป็นใคร เห็นได้ชัดว่า การต่อสู้ของเขากับคนแซ่หลี่ ทำให้เขามีชื่อเสียงไม่น้อยในสำนักกูตู๋เจี้ยนไม่กี่วันที่ผ่านมานี้
เวลาผ่านไป และมีคนมาถึงมากขึ้น หลังจากธูปไหม้หมดครึ่งดอกผ่านไป ก็มีประมาณสิบแปดคน ไม่มีใครอายุสูงวัยเลย ส่วนใหญ่มีอายุประมาณสามสิบปี และบางคนก็ดูเหมือนจะมีอายุเพียงแค่ยี่สิบปี
พวกมันดูเหมือนจะเปี่ยมไปด้วยพลัง และคนทั้งหมดต่างก็มีบุคลิกท่าทางดูดีไม่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนต่างก็อยู่ในขั้นพื้นฐานลมปราณ สองคนในกลุ่มอยู่ในขั้นสุดท้ายของพื้นฐานลมปราณ
ขณะที่พวกมันมาถึง แต่ละคนก็มองมายังเมิ่งฮ่าว บางคนก็พยักหน้าให้ บางคนก็ไม่สนใจเขา
“อีกไม่ช้าผู้อาวุโสฝานก็จะมาถึง” เฉินฟ่านกระซิบ “ท่านจะนำพวกเราผ่านประตูเคลื่อนย้ายทางไกลไปยังตระกูลซ่ง ศิษย์พี่ของเจ้าต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้เจ้าเป็นที่รักให้ได้!” มันหัวเราะ แต่สีหน้าจริงจังเป็นอย่างมาก
เมิ่งฮ่าวอ้าปากค้าง นี่เป็นครั้งที่สองซึ่งเฉินฟ่านได้นำเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เมิ่งฮ่าวรู้สึกแปลกๆ เกี่ยวกับการเดินทางไปยังตระกูลซ่ง
เวลาผ่านไป และในที่สุด ลำแสงก็ปรากฎขึ้นในท้องฟ้า กว้างสี่จ้าง มันมาถึงคนทั้งหมดในทันที และชายชราก็ปรากฎขึ้น สวมใส่ชุดเต๋าเต็มยศ ใบหน้าแดงก่ำ มีผมหงอกยาวสีขาวเต็มไปทั้งศีรษะ มันถือน้ำเต้าสุราอยู่ในมือ และที่แขวนอยู่บนหลังก็เป็นกระบี่สีดำสนิทเล่มใหญ่มหึมา
มันมีจมูกที่รับรู้กลิ่นของสุราได้เป็นอย่างดี และตลอดทั้งร่างก็กระจายกลิ่นสุราออกมา เสื้อผ้ายับย่น ส่งเสียงเรอออกมา
“ขอคารวะ ผู้อาวุโสฝาน!” เฉินฟ่านและคนอื่นๆ กล่าวขึ้น ประสานมือคารวะในทันที เมิ่งฮ่าวก็ก้มศีรษะโค้งตัวประสานมือคารวะด้วยเช่นกัน
“ดีมาก เจ้าเด็กน้อย มาดูกันว่าจะมีใครในพวกเจ้าโชคดีได้แต่งงานกับเด็กหญิงตระกูลซ่ง และนำเกียรติยศมาสู่บรรพบุรุษของสำนักกูตู๋เจี้ยน…” เสียงกังวานของชายชราดังก้องออกมา สั่นสะเทือนไปทั่วร่างเมิ่งฮ่าว แม้แต่พื้นดินบริเวณนั้น ก็ดูเหมือนจะสั่นไปด้วย
เมื่อมันพูดคำว่า “นำเกียรติยศมาสู่บรรพบุรุษ” เสียงของมันก็ดังกังวานเป็นพิเศษ ทำให้ชายชราชุดเทาลืมตาขึ้น และจากนั้นก็ค่อยๆ ส่ายหน้าช้าๆ ดูเหมือนมันจะพบว่าคำพูดนี้ค่อนข้างจะไม่เหมาะสม แต่มันก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“มันต้องไม่ใช่ผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณอย่างแน่นอน” เมิ่งฮ่าวคิด สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เขาเคยเห็นผู้พิสดารวิญญาณแรกก่อตั้งมาก่อน และมันก็ดูเหมือนว่า…จริงๆ แล้ว ชายชราผู้นี้อยู่ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งอย่างแน่นอน!
เฉินฟ่านก้าวเท้าไปข้างหน้า ยกมือขึ้นคารวะไปด้วยความเคารพอีกครั้ง มันกล่าว “ผู้อาวุโสฝาน, นี่เป็นศิษย์จากสำนักเดิมของข้า, ศิษย์ผู้น้องซึ่ง…”
“เข้าใจแล้ว ไม่มีปัญหา! อย่าลืมเอาเหยือกสุราของอาจารย์เจ้ามาให้ข้าบ้าง เมื่อพวกเรากลับมา” ชายชราจับไหล่ของเฉินฟ่านไว้ มันชำเลืองมองไปยังเมิ่งฮ่าว และจากนั้นก็เดินตรงไปยังประตูเคลื่อนย้ายทางไกล
เมิ่งฮ่าวลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็กล่าวขึ้น “ศิษย์พี่, การเดินทางไปยังตระกูลซ่งนี้…”
เฉินฟ่านรีบกล่าวตอบอย่างรวดเร็ว “ตระกูลซ่งต้องการหาบุตรเขยอย่างเร่งด่วน ดังนั้นพวกมันจึงได้เชิญห้าสำนักใหญ่ และอีกสองตระกูลดังไป ศิษย์น้อง, ถ้าเจ้าทำได้ดี เจ้าก็อาจจะมีโอกาส ไม่ว่าเจ้าจะเข้าสังกัดสำนักกูตู๋เจี้ยน หรือเป็นสมาชิกของตระกูลซ่ง ในที่สุด เจ้าก็จะมีพื้นฐานที่เหมาะสมในการฝึกวิถีเซียน” มันจับชายแขนเสื้อเมิ่งฮ่าว และลากเขาตรงไปยังประตูเคลื่อนย้ายทางไกล
เมิ่งฮ่าวลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ตัดสินใจ “ผู้คนจากสำนักกูตู๋เจี้ยนต่างก็อยู่ที่นี่ ดังนั้น ข้าจึงไม่สามารถให้ผีโต้งช่วยข้าเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาได้ จริงๆ แล้ว ถ้าข้าต้องการก็สามารถทำได้ทันที โอ ก็ดี, เมื่อพวกเราไปถึงตระกูลซ่ง ข้าค่อยหาทางหลบหนีจากไป”