“หยุด!!!” หลู่เทาร้องเสียงแหลมสูงออกมา ใบหน้าของมันซีดขาวจนไร้สีเลือด และมันก็รู้สึกราวกับว่าเงาแห่งความตายกำลังคืบคลานใกล้เข้ามา
มันจำได้อย่างชัดเจนถึงภาพที่มันได้เข้ามาในดินแดนสงบสุขแห่งนี้ ผู้ฝึกตนมากมายเท่าไหร่ได้ระเบิดออก เสาแห่งเต๋าของพวกมันถูกดูดออกไป มันมาจากโม่ถู่ (ดินแดนสีดำ) และรู้วิธีลับที่สามารถช่วยให้อยู่อย่างปลอดภัย แต่เมื่อมีเมิ่งฮ่าวอยู่ที่นี่ มันก็รู้สึกถึงแรงกดดันอันน่าเหลือเชื่อ กดทับลงไปที่มัน ซึ่งเป็นความรู้สึกที่มันไม่เคยพบเจอมาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนไม่ว่ามันจะพูดอะไรออกมา เมิ่งฮ่าวก็ไม่เชื่อถือมัน เมิ่งฮ่าวอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบโดยสิ้นเชิง เมื่อได้เผชิญหน้ากับอันตรายถึงแก่ชีวิตเช่นนี้ แผนการของหลู่เทาก็หายไปราวกับเถ้าถ่านในสายลม
“ข้ากำลังบอกความจริง” หลู่เทาพูดจาอ้อนวอน “ใบไม้สายฟ้าสามารถถูกดูดซับเข้าไปในอาวุธเวท เพื่อสร้างมันให้มีพลังของสายฟ้า ทำไมท่านถึงไม่เชื่อข้า!?” เสียงของมันแหบแห้ง และจากสีหน้าของมัน มันได้ถูกกดดันจนมาถึงขีดจำกัด และไม่มีอะไรให้พูดมากไปกว่านี้อีกแล้ว
ดวงตาของมัน ทันใดนั้น ก็ดูเหมือนจะแวบแสงแห่งความเข้าใจออกมา มันหัวเราะเสียงแหบแห้ง และดวงตาของมันก็เต็มไปด้วยความกล้าหาญ ที่สืบเนื่องมาจากความสิ้นหวัง “ข้าเข้าใจแล้ว ไม่ใช่ว่าท่านไม่เชื่อถือข้า แต่มันเป็นเพราะท่านต้องการสังหารข้า!”
“ก็ดี! งั้นก็ทำลายเกราะเวทนี้เลย ข้า, หลู่ ได้อธิบายถึงการใช้ใบไม้สายฟ้าไปหมดแล้ว ถ้าท่านกำลังจะสังหารข้า ก็สังหารเลย แต่ท่านก็ลืมไปได้เลยว่าจะได้ข้อมูลจากแผ่นหยกนี้!”
กัดฟันจนแน่น หลู่เทากดลงไปที่แผ่นหยกอย่างรุนแรง ถ้าเมิ่งฮ่าวกำลังจะทำลายเกราะเวทนี้จริงๆ มันก็จะบดขยี้แผ่นหยกให้เป็นผุยผง เพื่อให้แน่ใจว่า ปลาได้ตายไป ร่างแหก็ฉีกขาด ทุกคนต่างก็สูญเสียในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
เมิ่งฮ่าวมองไปยังหลู่เทาอย่างเยือกเย็น เวลาผ่านไป และจากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมา เขายกมือขึ้น และกระแทกลงไปอีกครั้ง เสียงระเบิดก็ดังออกมา สิ่งที่ถูกทำลายไป ไม่ใช่เกราะเวท แต่เป็นแผ่นหยกที่อยู่ในมือของหลู่เทา
เมิ่งฮ่าวทำลายมัน จนกลายเป็นผุยผง
ทำให้ใบหน้าของหลู่เทาหมองคล้ำลง และจิตใจของมันเริ่มหนาวเย็น เห็นได้ชัดว่า การกระทำเช่นนี้ เป็นส่วนหนึ่งของเมิ่งฮ่าวที่บ่งชี้ว่า…เขาไม่เชื่อถือมัน!
“จะบอกข้า หรือไม่บอก ข้ากำลังจะหมดความอดทน” เขากล่าวเสียงราบเรียบ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อในสิ่งที่หลู่เทาพูด เกี่ยวกับใบไม้สายฟ้าที่สามารถใช้สร้างอาวุธเวทให้มีพลังของสายฟ้า แต่หลู่เทาพูดออกมาง่ายเกินไป มันอาจจะถูก แต่เมิ่งฮ่าวไม่คิดว่าใบไม้สายฟ้าที่ถูกรวบรวมโดย ปรมาจารย์เอกะเทวะ จะง่ายดายเช่นนั้น
รอยยิ้มขมขื่นปรากฎขึ้นบนใบหน้าของหลู่เทา ราวกับว่ามันไม่มีอะไรเหลือให้พูดอีก เมิ่งฮ่าวพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มกดลงไปบนเกราะเวท ครั้งนี้ เขาจะทำลายมันอย่างแท้จริง
“ข้าจะบอก!!” ร่างของหลู่เทาสั่นสะท้าน และจิตใจของมันก็ใกล้จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แรงสั่นสะเทือนของเสาแห่งเต๋าในตัวมัน กลายเป็นการตัดสินใจอยู่ในดวงตา และรอยยิ้มอันขมขื่นก็ปรากฎขึ้นบนริมฝีปากของมัน
“ข้าจะบอกท่าน” มันกล่าวด้วยเสียงสั่นสะท้าน “แต่ท่านต้องสาบานว่า หลังจากที่ข้าบอกท่าน ท่านต้องไม่ทำลายเกราะเวทนี้” มันยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เจ็บปวดออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันได้พูดมาก่อนหน้านี้ เต็มไปด้วยความจริงครึ่ง, ความเท็จครึ่ง และไม่มีคำพูดไหนที่เข้าใกล้ความเป็นจริงในส่วนที่สำคัญที่สุดเลย การได้เผชิญหน้ากับความตายเช่นเมื่อสักครู่นี้ ทำให้มันไม่มีทางเลือก นอกจากต้องสัตย์ซื่อจริงใจเท่านั้น
“พูด” เมิ่งฮ่าวกล่าว สีหน้าเขาสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย แต่ดวงตาสาดแสงอันลี้ลับออกมา
หลู่เทาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเงียบไปสักพัก จากนั้น ด้วยสีหน้าท่าทางเจ็บปวด มันเริ่มพูดออกมาช้าๆ “ใบไม้สายฟ้า มาจากต้นไม้สายฟ้า แต่ชื่อจริงของต้นไม้สายฟ้าก็คือ ต้นแหสายฟ้า หรือ ต้นหม่อนสายฟ้า”
สีหน้าของเมิ่งฮ่าวสงบเรียบ ยากที่จะบอกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขามองไปยังหลู่เทาอย่างเรียบเฉย ทำให้หลู่เทาเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาในจิตใจอย่างสุดที่จะพรรณนา ใบหน้าของมันแสดงถึงความเจ็บปวดออกมามากยิ่งขึ้น และความหนาวเย็นก็แผ่ซ่านออกมาจากจิตใจ และปกคลุมไปทั่วร่าง มันเริ่มสั่นสะท้านเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“มีตำนานเกี่ยวกับต้นหม่อนสายฟ้านี้ บอกเล่าต่อๆ กันมาว่า ในสมัยโบราณมีผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งได้บรรลุการรู้แจ้งในขณะที่นั่งอยู่ใต้ต้นแหสายฟ้า ทัณฑ์แห่งสวรรค์ได้ฟาดลงมา เพื่อต้องการกำจัดเต๋าผู้นี้ เจตจำนงของสายฟ้าได้ส่งต่อมายังต้นไม้ สำหรับผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้น ได้แยกทัณฑ์สายฟ้าออกเป็นส่วนๆ และจากนั้นก็ก้าวเข้าไปในดวงดาว”
“หลังจากที่ผู้ยิ่งใหญ่ได้จากไป ต้นแหสายฟ้าได้ดูดซับเต๋าบางส่วนของท่านไว้ นอกเหนือจากพลังของทัณฑ์สายฟ้า มันจึงถูกทำลายไป และหลายพันปีต่อมา ต้นอ่อนก็ปรากฎขึ้นภายในลำต้นที่ตายไปแล้วนั้น!”
“มันได้เกิดใหม่เป็นต้นหม่อน ที่ไม่ใช้ต้นหม่อน, สายฟ้า ที่ไม่ใช่สายฟ้า, แต่เป็นต้นแหหม่อนสายฟ้า!”
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกาย ขณะที่เขาฟังหลู่เทาบอกเล่าตำนานนั้น แต่ไม่พูดจา
“จากการที่ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้น ได้บรรลุการรู้แจ้งใต้ต้นแหหม่อนสายฟ้า สิ่งที่ท่านได้กล่าวในวันนั้นว่า ถ้าท่านไม่บรรลุถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่สูงสุด ท่านก็จะยอมให้ร่างแหลกลาญเป็นผุยผง และจะอยู่ใต้ต้นแหหม่อนสายฟ้านั้นไปตราบชั่วนิจนิรันดร์!” หลู่เทาก้มหน้าลงขณะที่มันพูด แอบซ่อนความดื้อรั้นซึ่งส่องประกายอยู่ในดวงตาของมันไว้
สีหน้าแปลกๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเมิ่งฮ่าว ขณะที่เขารับฟังเรื่องราวเหล่านี้ ดูเหมือนเขาไม่คิดว่าหลู่เทาจะสร้างเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาหลอกลวงเขา
“หลายหมื่นปีผ่านไปจนไม่อาจนับได้ ตั้งแต่ที่ต้นแหหม่อนสายฟ้าปรากกฎขึ้น ในที่สุด มันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณแห่งปฐพี ซึ่งจากนั้นก็มีต้นอ่อนแตกหน่อออกมามากขึ้น และพวกมันก็ประกอบไปด้วยประสบการณ์เรื่องราวในสมัยโบราณนั้น เพราะความต้องการแห่งสวรรค์ค่อยๆ ปรากฎขึ้น ต้นไม้นั้น ในที่สุด ก็ค่อยๆ แห้งเหี่ยวตายไป ในวันนี้ มันจึงล้ำค่าเทียบเท่ากับขนของเฟิ่ง (นกฟินิกซ์) และ เขาของฉีหลิน (กิเลน)”
หลู่เทาเงียบไปสักพักก่อนที่จะพูดต่อ “ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่มักจะใช้ต้นไม้นี้ไปผสมรวมกับอาวุธเวท หรือแม้แต่ดูดซับมันเข้าไปในเสาแห่งเต๋า เพื่อครอบครองความสามารถในการป้องกันสายฟ้าซึ่งมีอยู่ในใบของต้นแหหม่อนสายฟ้า”
“แต่ในโม่ถู่ (ดินแดนสีดำ), ได้มีตัวไหมพันธุ์หนึ่งเรียกว่า หิมะเยือกเย็น ซึ่งปรากฎขึ้นในพายุหิมะท่ามกลางฤดูหนาว จากแมลงที่พิเศษทั้งหมดในโลกนี้ มันถูกจัดอยู่ในอันดับที่เก้าสิบเจ็ด มันเป็นตัวไหมที่แปลกประหลาด มันไม่มีเส้นใยที่จะนำไปสร้างเป็นผ้าแพรไหมได้ มีแต่ความหนาวเย็นอันรุนแรง มันเป็นของล้ำค่าของผู้ฝึกตน สามารถนำไปสร้างเป็นวิญญาณเยือกเย็นอยู่ในอาวุธเวทได้”
“ตัวไหมนี้ไม่ธรรมดา, แต่ก็ไม่ได้หายากมากนัก มักจะปรากฎขึ้นเป็นครั้งคราว” พูดถึงตรงนี้ หลู่เทาก็หยุดชะงักไปสักพัก และมองมายังเมิ่งฮ่าว
เมิ่งฮ่าวมองกลับไปที่มัน และสายตาของคนทั้งสองก็ประสานกันชั่วครู่ หลู่เทาแอบถอนหายใจออกมา จากนั้นก็พูดต่อไป
“มีบางอย่างที่รู้กันเพียงไม่กี่คน นั่นก็คือ ความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาระหว่างตัวไหม และต้นแหหม่อนสายฟ้า ถ้าตัวไหมนี้ได้กินใบของมัน ตัวไหมนี้ก็จะกลายเป็นแมลงพิเศษอันดับสี่…ตัวไหมไร้ตา!”
“ตัวไหมไร้ตาจะกลายเป็นดักแด้ และจะผลิตเส้นใยไหมออกมา มันเป็นเส้นใยที่ไม่มีวันขาด ร่างกายของมันก็ไม่ถูกทำลายไปด้วยเช่นกัน ร่างกายไม่ถูกทำลาย และเส้นใยที่ไม่มีวันขาด กลายเป็นวงจรที่ไม่รู้จบ ทำให้เส้นใยของมันกลายเป็นของวิเศษที่ล้ำค่าไม่มีสิ่งใดมาทำลายมันไปได้”
“ตัวไหมไร้ตา ปรากฎขึ้นเพียงสองครั้งจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา และในแต่ละครั้ง เส้นใยที่มันสร้างขึ้นมาก็ทำให้โลกแห่งการฝึกตนสั่นสะเทือน แม้แต่ในดินแดนตะวันออกก็เกิดการต่อสู้ขึ้น จนถึงทุกวันนี้ ก็ไม่มีใครรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุการตายของตัวไหมไร้ตา ซึ่งได้ปรากฎขึ้นสองครั้งก่อนหน้านี้” หลู่เทาถอนหายใจอยู่ลึกๆ ข้างใน หลังจากที่พูดจบ มันจ้องไปยังเมิ่งฮ่าวอย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็หลับตาลง
เมิ่งฮ่าวพึมพำกับตัวเอง ขณะที่มองไปยังหลู่เทาที่กำลังหลับตาอยู่ ในที่สุด เขาก็หัวเราะออกมา หมุนตัวไป ร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งจนหายลับตาไป
หลังจากที่เมิ่งฮ่าวจากไป หลู่เทาก็ลืมตาขึ้น มันมองไปยังท้องฟ้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า จากนั้นก็ถอนหายใจยาวออกมา ในไม่ช้า ดวงตาของมันก็เต็มไปด้วยแสงอันเย็นเยียบ
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพูดไปเมื่อครู่นี้ เป็นความจริงเก้าในสิบส่วน อีกหนึ่งส่วนโกหก มันอาจจะฉลาด แต่ก็คงยากที่จะแยกแยะออกว่าสิ่งใดจริงสิ่งใดโกหก มันต้องไปค้นหาตัวไหมหิมะเยือกเย็นอย่างแน่นอน ถ้ามันให้ตัวไหมกินใบของต้นแหหม่อนสายฟ้าจริงๆ ล่ะก็ มันก็ต้องตาย!”
“สิ่งที่ข้าต้องทำทั้งหมดในตอนนี้ก็คือ อดทนต่อความเจ็บปวดนี้อีกไม่นาน จนกระทั่งสำนักชิงหลัวเสร็จสิ้นภารกิจ จากนั้นข้าก็จะไปหาเบาะแสบางอย่างในสถานที่นี้ เพื่อหาสิ่งที่ข้าตามหาอยู่” ท่าทางดุร้ายปรากฎขึ้นบนใบหน้าของมัน มันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็หลับตาลง เริ่มซ่อมแซมเกราะเวทของมัน
เมิ่งฮ่าวจมอยู่ในความครุ่นคิด ขณะที่เขาบินฝ่าอากาศไป แน่นอนว่า เขาไม่ได้เชื่อสิ่งที่หลู่เทาบอกเขามาทั้งหมด แต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่า อย่างน้อยก็ต้องมีบางสิ่งที่มันพูดมาเป็นความจริง มันคงเป็นเรื่องยากที่จะสร้างเรื่องราวในตอนนั้นได้อย่างง่ายดาย บางทีอาจจะมีความจริงอยู่ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งก็เป็นเรื่องโกหก
“ถ้ามีความต้องการ ก็อาจจะได้มาบางส่วน แต่ถ้าไม่มีเลย ข้าก็คงไม่ได้อะไรมาเลย” เมิ่งฮ่าวยิ้ม ขณะที่เขามุ่งหน้าต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาผ่านไป มีแต่ความแห้งแล้งโดยสิ้นเชิง มองไม่เห็นผู้ฝึกตนเร่ร่อนพื้นฐานลมปราณแม้แต่คนเดียว สูงขึ้นไปด้านหน้า หอคอยร้อยวิญญาณ เปล่งแสงสดใสรายล้อมไปด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง
จากจุดที่ห่างไกลเช่นนี้ เมิ่งฮ่าวไม่อาจมองเห็นฉื่อชิงในกลุ่มผู้คน เขาหยิบเอาเครื่องรางนำโชคออกมาอย่างเงียบๆ และพุ่งพลังลมปราณบางส่วนเข้าไป ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกถึงพลังของการเคลื่อนย้ายทางไกล
แต่เขาก็ยังไม่อาจใช้มันได้ในทันที มันต้องใช้เวลาก่อนที่พลังของมันจะเริ่มใช้งานได้ เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พุ่งตรงไปยังจุดสูงสุดของภูเขาที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น เขานั่งขัดสมาธิ ไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว แผ่พุ่งพลังลมปราณเข้าไปในเครื่องรางนำโชคต่อไป พลังเคลื่อนย้ายทางไกลเริ่มเข้มข้นมากขึ้น
“ข้าจำเป็นต้องรอชั่วธูปไหม้หมดไปครึ่งดอก…” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ใช้เครื่องรางนำโชค ดังนั้นก็เป็นครั้งแรกด้วยเช่นกันที่เขาต้องเผชิญหน้ากับข้อเสียของมัน
ตำแหน่งที่เขาอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่จุดที่ปลอดภัยเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่มีใครอยู่รอบๆ บริเวณนั้น มีเพียงแสงที่กระจายออกมาจากหอคอยร้อยวิญญาณ แต่พื้นฐานสมบูรณ์ของเขาก็ยังคงสามารถต้านทานมันไว้ได้ แต่ถ้าเวลานานผ่านไป ก็คงจะยุ่งยากมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงเพ่งความสนใจไปยังเครื่องรางนำโชคอย่างเต็มที่
“ข้าจะถูกส่งไปที่แห่งใดกันแน่นะ…” ดวงตาเขาสาดประกาย ขณะที่เขารู้สึกถึงพลังของการเคลื่อนย้ายทางไกลพล่านขึ้นมา เขากดมือขวาไปบนพื้นดิน ฝุ่นละอองเริ่มปั่นป่วน และมีหนวดเถาวัลย์พุ่งขึ้นมาจากพื้น กลายเป็นผลไม้สีม่วงทองมีขนาดเท่าฝ่ามือ เมิ่งฮ่าวคว้าจับมันไว้ จากนั้นก็ใส่มันเข้าไปในถุงสมบัติ
ในตอนนี้เอง ทันใดนั้น ก็มีบางอย่างส่องแสงกระพริบอยู่ในอากาศ ใกล้กับหอคอยร้อยวิญญาณ มันไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่เมิ่งฮ่าวก็จำมันได้ในทันที มันไม่ใช่อะไร นอกไปจากสิ่งที่เขาและหานเป้ยได้เผชิญหน้ากับมันมา ก่อนที่จะใช้พลังเคลื่อนย้ายทางไกลออกมาจากกระถางสี่เหลี่ยมนั้น…ผีโต้งนั่นเอง!
มันลอยอยู่กลางอากาศ รูปลักษณ์อันโบราณของมัน จ้องไปที่หอคอยร้อยวิญญาณ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ทันใดนั้น มันก็ส่งเสียงกู่ร้องแหลมเล็กออกมา กระจายออกไปทั่วทั้งสวรรค์และปฐพี สายลมและกลุ่มเมฆม้วนตัวพล่านไปมา และพื้นดินก็สั่นสะเทือน แม้แต่หอคอยร้อยวิญญาณก็สั่นสะท้านราวกับว่า มันอาจจะพังทะลายลงไป ภูติผีนับร้อยที่ลอยเป็นวงกลมอยู่รอบๆ ทั้งหมด เริ่มส่งเสียงกรีดร้อง อสนีบาตเริ่มก่อตัวขึ้นบนร่างของพวกมัน
ที่พื้นด้านล่างรอบๆ หอคอย มีศิษย์สำนักชิงหลัวเกือบหนึ่งพันคน ทั้งหมดนั่งขัดสมาธิ ที่แถวหน้าเป็นผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณแปดคน ทันทีที่ผีโต้งปรากฎขึ้น และก้อนเมฆม้วนตัวไปมา พวกมันก็ลืมตาขึ้น และมองขึ้นไปในท้องฟ้า
“มันปรากฎตัวขึ้นแล้ว!!”
“เจ้าสิ่งนั้นก็คือ สุดยอดความรำคาญ?”
ดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และจิตใจก็หนักอึ้ง ขณะที่มือของพวกมันขยับร่ายเวทอาคม ทันใดนั้น พื้นดินที่อยู่ด้านหน้าของพวกมันก็เปล่งแสงออกมา และปรมาจารย์จื่อหลัว และสตรีวัยกลางคนหน้าตาสวยงามก็ปรากฎขึ้นในทันที, ผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง!
“มันถูกล่อออกมาแล้ว!!”
“ข้าต้องได้ครอบครองมันในวันนี้!” ปรมาจารย์จื่อหลัวร้องออกมา ดวงตาของมันจ้องไปที่ผีโต้ง และสาดประกายความคาดหวังอย่างเข้มข้นออกมา