เมิ่งฮ่าวเดินมาถึงบ้านหลังใหญ่นั้น ยกมือขึ้น เคาะไปที่ประตูสามครั้ง ประตูเปิดออกโดยไม่มีเสียง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสีดำสนิท ดูเหมือนจะมีเกราะเวทสีดำอยู่ในสถานที่นี้
เมื่อมองไปเมิ่งฮ่าวก็เห็นระลอกคลื่นเวทอาคมอยู่บนพื้นผิวของมัน แต่ไม่มีอะไรบ่งชี้ว่ามันอาจจะโจมตีมา มันใช้สำหรับควบคุมให้ผู้ฝึกตนผ่านเข้าไปเท่านั้น เมิ่งฮ่าวสังเกตดูชั่วครู่ คิดกลับไปตอนที่หลายคนได้มาถึงก่อนหน้านี้ เขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
“เวทอาคมนี้ป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกตนที่ไม่อยู่ในขั้นพื้นฐานลมปราณเข้าไป” สีหน้าของเขาราบเรียบ ซึ่งก็ถูกปกปิดไว้ด้วยหมวกไม้ไผ่ เดินตรงเข้าไปในเกราะเวท
ภายในชั่วระยะหายใจเข้าออกไม่กี่ครั้ง แสงอ่อนๆ ก็ปรากฎ ส่องเข้าไปในดวงตา ตอนนี้เขายืนอยู่ด้านนอก ในสถานที่ที่เหมือนกับจะเป็นราชวังขององค์ชาย
ราชวังนี้ใหญ่โตและดูโอ่อ่าภูมิฐาน ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่มโหฬาร นอนคว่ำอยู่บนพื้นดิน มีบรรยากาศที่เคร่งขรึม ด้านนอกของราชวังยืนไว้ด้วยชายชราซึ่งสวมใส่ชุดนักพรต สีหน้าของมันเรียบสงบ และพลังฝึกตนของมันก็อยู่ในขั้นสุดท้ายของพื้นฐานลมปราณ เมื่อเห็นเมิ่งฮ่าว มันก็เดินเข้ามาใกล้ ดวงตาสาดประกาย
มันสำรวจดูเมิ่งฮ่าวอย่างละเอียด จากนั้นก็พูดออกมาอย่างเรียบๆ ว่า “โปรดแสดงบัตรเชิญด้วย, สหายเต๋า ถ้าท่านไม่มีบัตรเชิญ ก็ขอให้แสดงเหรียญกษาปณ์ของสำนักเพื่อแสดงตัวตน”
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายอยู่ภายใต้หมวกไม้ไผ่ โดยไม่พูดจา เขาโบกสะบัดมือ และเหรียญกษาปณ์ก็ลอยตรงไปอยู่ในมือของชายชรา มันมองลงไปที่เหรียญ ทันใดนั้นความนับถือก็ปรากฎขึ้นในดวงตา มันยื่นส่งเหรียญกษาปณ์กลับมาด้วยสองมือ
“ท่านมาจากสำนักจื่อ…”
เมิ่งฮ่าวส่งเสียงกระแอมไอออกมา และชายชราก็หยุดพูดในทันที โดยไม่พูดจาอะไรกันอีก มันเดินถอยหลังไปพร้อมกับโค้งตัวลงเล็กน้อย ปล่อยให้เมิ่งฮ่าวเดินต่อไป
เมิ่งฮ่าวหยิบเหรียญกษาปณ์กลับมา และเดินผ่านชายชราเข้าไปในราชวัง เหรียญกษาปณ์นี้เป็นเหรียญที่เขาได้มาจากติงซิ่น นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาอ้างใช้ชื่อนี้ และมันก็ช่วยเขาได้อีกครั้ง
เขารู้ว่าสถานที่นี้ต้องเต็มไปด้วย คนเก่งและพวกที่ไม่ได้เรื่องผสมปนเปกันไปอย่างวุ่นวาย ถ้าพวกมันมีการตรวจสอบตัวตนของผู้เข้าร่วมอย่างเข้มงวดจริงๆ แล้ว มันจะถูกเรียกว่าการประชุมลับได้อย่างไร? เมื่อได้สังเกตเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ อยู่ด้านนอกเป็นเวลานานพอสมควร ตอนนี้เขาก็รู้สึกวางใจและไม่รีบร้อน
เมื่อผ่านเข้าไปในราชวัง เขาก็เห็นสวนหย่อมที่ตกแต่งเป็นภูเขาหินจำลอง และน้ำตกที่ไหลลงมาเป็นสีเขียวเข้ม, สะพานไม้ทอดผ่านบึงน้ำ ห่างออกไปไม่ไกลนักเป็นศาลา ซึ่งเต็มไปด้วยนักดนตรีที่กำลังบรรเลงเครื่องสาย ส่งเสียงอันไพเราะจับใจออกมา มีบุคคลเจ็ดคนนั่งอยู่ในศาลานั้น พวกมันส่วนมากรักษาระยะห่างระหว่างกัน นั่งมองกันไปมาอย่างเงียบๆ
เมื่อเมิ่งฮ่าวเดินเข้าไป ดวงตาของพวกมันทั้งหมดก็มองมาที่เขา
สามในเจ็ดคนนั้นสวมหน้ากาก หนึ่งในพวกมันเป็นหลู่เทา ซึ่งนั่งขมวดคิ้วอยู่ที่นั่น มันกวาดตามองผ่านเมิ่งฮ่าวไปอย่างรวดเร็ว
อีกสองคนไม่ได้ปกปิดใบหน้าไว้ หนึ่งเป็นสตรีที่ดูเหมือนผู้สูงศักดิ์ และมีอายุประมาณสามสิบปี นางสวมใส่เสื้อผ้าหรูหราสง่างาม และเป็นสตรีที่ค่อนข้างน่าดูเป็นอย่างยิ่ง มีดวงตาที่งดงามเปี่ยมเสน่ห์ นางมองมาที่เมิ่งฮ่าวชั่วครู่ จากนั้นก็ส่งยิ้มและพยักหน้าให้
อีกคนเป็นบุรุษวัยกลางคน ที่สวมใส่ชุดยาวสีเหลือง ดูท่าทางหงอยเหงา ถือกาเหล้าที่ใช้ดื่มประจำอยู่ในมือ มันชำเลืองมองมาที่เมิ่งฮ่าวอย่างรวดเร็ว ด้วยดวงตาที่หรี่ปรือจากฤทธิ์สุรา
สี่คนที่เหลือทั้งหมดมีหน้ากากปกปิดไว้ จึงไม่สามารถบอกได้ว่าพวกมันเป็นบุรุษหรือสตรี
เมิ่งฮ่าวเดินเข้าไปในศาลาโดยไม่มีการกระพริบตา และเลือกโต๊ะนั่งลง มองไปรอบๆ เห็นมีเพียงแค่เก้าโต๊ะอยู่ในศาลานี้ เมื่อรวมโต๊ะของเขาแล้ว อีกแปดโต๊ะต่างก็นั่งไว้ด้วยผู้คน
เห็นได้ชัดว่า โต๊ะตัวสุดท้ายถูกจองไว้สำหรับเจ้าภาพ ไม่ใช่ผู้ฝึกตนคนใดคนหนึ่ง
หลังจากเวลาผ่านไป มีบุรุษตัวสูงใหญ่ เดินเข้ามาจากด้านนอก มันอยู่ในขั้นกลางของพื้นฐานลมปราณ ด้วยรูปร่างที่ทั้งใหญ่และสูงของมัน จึงไร้ประโยชน์ที่จะปกปิดตัวเอง มันเดินเข้ามาด้วยท่าทางเย็นชาและหยิ่งผยอง
ทันทีที่มันเข้ามา มันก็ต้องหยุดลง ขมวดคิ้วขณะที่มองไปรอบๆ
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้า ฉือ, เข้าร่วมการประชุมลับนี้” มันพูดเสียงเย็นชา “วันนี้ข้ามาพร้อมกับบัตรเชิญ แต่ก็ไม่มีที่นั่งสำหรับข้า พวกท่านเหล่าสหายเต๋า ไม่เข้าใจกฎกติกา?” มันตบไปที่ถุงสมบัติ และแผ่นหยกสีฟ้าก็ปรากฎขึ้นในทันที ด้านหน้าจารึกเป็นตัวอักษรว่า “ความลับ”
แผ่นหยกเรืองแสงอันนวลตาออกมา พร้อมรอยยิ้ม สตรีผู้สูงศักดิ์นั้นก็ยกมืออันละเอียดอ่อนของนางขึ้น แสดงให้เห็นถึงแผ่นหยก และวางลงบนโต๊ะที่เบื้องหน้านาง
จากนั้นหลู่เทาก็ปฏิบัติตาม พร้อมด้วยบุคคลอื่นๆ ในที่สุด ก็เหลือแต่เมิ่งฮ่าว และผู้ฝึกตนที่ปกปิดใบหน้าอีกหนึ่งคนที่ไม่ได้แสดงแผ่นหยก
คนผู้นี้เปล่งประกายพลังขั้นสูงสุดของพื้นฐานลมปราณออกมา มันนั่งอย่างเงียบงันอยู่ที่นั่น ไม่สนใจบุรุษร่างสูงใหญ่นั้นโดยสิ้นเชิง บุรุษร่างสูงใหญ่ไม่กล้าพูดจาอะไรออกมา มันมองมายังเมิ่งฮ่าว และอีกคน พวกเขาทั้งสองเพียงอยู่ในขั้นต้นของพื้นฐานลมปราณ ดวงตาของบุรุษร่างสูงใหญ่สาดประกายความเย็นเยียบออกมา
“เจ้าทั้งสอง ถ้าไม่อาจแสดงบัตรเชิญให้ข้าดู ก็ออกไปจากที่นี่ได้แล้ว ถ้าไม่ พวกเจ้าก็ไม่อาจมีชีวิตรอดจากไป” เสียงของมันเต็มไปด้วยรังสีสังหาร ซึ่งกลายเป็นความเย็นเยียบปกคลุมไปทั่วบริเวณนั้น บุคคลที่เหลือในศาลา ก็มองมาด้วยสีหน้าแตกต่างกัน ไม่มีใครสนใจสอดแทรกเข้ามา เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่ยอมปริปาก เพื่อรอดูการต่อสู้ถึงแก่ความตายที่จะเกิดขึ้นนี้
เมิ่งฮ่าวไม่พูดจา เช่นเดียวคนที่คลุมหน้านั้น
ทุกสิ่งทุกอย่างในศาลาเงียบสงัด
บุรุษร่างสูงใหญ่แซ่ฉือแค่นเสียง จากนั้นก็เดินเข้าไป ไม่ได้ตรงมาที่เมิ่งฮ่าว แต่เดินไปยังอีกคน ซึ่งนั่งใกล้กับจุดที่มันยืนอยู่มากกว่า
ดวงตาของมันสาดประกายเจิดจ้า ขณะที่มันกำลังจะยกมือขวาขึ้นมา ทันใดนั้น เสียงไออย่างแผ่วเบาก็ได้ยินขึ้น มันดังก้องไปทั่วทั้งศาลา และเมื่อเสียงนี้เกิดขึ้น ทุกคนที่อยู่ด้านใน รวมถึงเจ้าร่างใหญ่แซ่ฉือ ก็หันหน้าไป
ชายชราที่สวมใส่ชุดยาวสีเหลืองเดินเข้ามา ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง และร่างของมันก็ดูเหมือนจะเป็นการผสมกันระหว่างภาพลวงตาและร่างจริง ดูเหมือนมันเคลื่อนที่ไม่รวดเร็ว แต่ภายในสามหรือสี่ก้าว มันก็เข้ามาอยู่ในศาลาเรียบร้อยแล้ว
“ขอคารวะ สหายเต๋าชิงซาน”
“สหายเต๋าชิงซาน, สบายดี?” ทันทีที่ชายชราปรากฎขึ้น ทุกคนยกเว้นเมิ่งฮ่าว ก็รีบลุกขึ้นยืนในทันใด สีหน้าเมิ่งฮ่าวส่องประกาย และจากนั้นเขาก็ยืนขึ้น และประสานมือคารวะชายชราผู้นั้น
“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี” ชายชราพูดเสียงเย็นชา “พวกท่านทั้งหลายต่างก็เป็นวีรบุรุษของคนรุ่นนี้ในดินแดนด้านใต้ ข้าเป็นแค่เจ้าภาพของการประชุมลับนี้เท่านั้น โปรดดำเนินการต่อไป” มันนั่งลงยังโต๊ะที่เก้า และมองไปยังผู้คนที่อยู่รอบๆ ด้วยสายตาที่ส่องแสงเจิดจ้า ในที่สุด ก็ไปหยุดอยู่ที่บุรุษร่างสูงใหญ่แซ่ฉือ
เมื่อถูกมองโดยชายชรา ก็ทำให้มันต้องก้มหน้าลงด้วยความเคารพ เมิ่งฮ่าวทำเช่นเดียวกัน ชายชราผู้นี้เป็นผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ แต่เห็นได้ชัดว่าเกินกว่าขั้นสุดท้ายของพื้นฐานลมปราณ มันอยู่ครึ่งทางที่จะผ่านเข้าไปยังขั้นสร้างแกนลมปราณ ดังนั้นจึงถือว่ามันเป็นผู้ฝึกตนสร้างแกนลมปราณแอบแฝง
บุคคลเช่นนี้ในแคว้นจ้าว จะมีศักดิ์ฐานะที่สูงกว่าผู้อาวุโส การปรากฎตัวของมันทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกกังวลขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ทำให้ต้องคาดเดาเรื่องทั้งหมดนี้เพิ่มขึ้น
“สหายเต๋าชิงซาน” บุรุษร่างสูงใหญ่พูดขึ้นอย่างกังวล พยายามควบคุมตัวเอง มันกล่าว “ข้าขอให้ท่านช่วยตัดสินความเป็นธรรม ข้าได้รับการเชื้อเชิญมา แต่บางคนในที่นี้ได้ขโมยที่นั่งของข้าไป” มันประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ คารวะด้วยความเคารพเป็นอย่างยิ่ง
“ใครขโมยที่นั่งของเจ้า?” ชายชราถามบุรุษร่างสูงใหญ่ด้วยเสียงแผ่วเบา ดวงตาของมันคล้ายสายฟ้าเมื่อมองมายังเมิ่งฮ่าวโดยไม่ได้ตั้งใจ
“คนผู้นี้!” เจ้าตัวใหญ่แซ่ฉือร้องออกมา ยกมือขึ้น ชี้ไปยังผู้ฝึกตนที่ปิดบังใบหน้าอีกคน
คนผู้นั้นส่งเสียงแค่นอย่างเย็นชาออกมา จากน้ำเสียงที่ชัดเจนนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นหญิงสาว
“นั่นเป็นแขกส่วนตัวของข้า” ชายชรากล่าว ด้วยเสียงพูดที่ไม่เร็วและไม่ช้า ราวกับว่าเรื่องราวของผู้ฝึกตนนี้อยู่นอกเหนือความสนใจของมัน “นางต้องไม่ขโมยที่นั่งของเจ้าไปอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าตัวใหญ่แซ่ฉือก็อ้าปากค้างไปสักพัก แต่จากนั้น มันก็จ้องผ่านไปยังเมิ่งฮ่าว แสงความเย็นชาปรากฎขึ้นในดวงตาของมัน เมื่อหนึ่งในสองคนนี้ถูกเชิญมา คนที่เหลือเพียงคนเดียวที่ไม่มีบัตรเชิญ ก็ต้องเป็นคนที่ขโมยที่นั่งของมัน
ทุกคนในตอนนี้กำลังมองมายังเมิ่งฮ่าว แม้แต่สตรีที่เพิ่งจะแค่นเสียงอย่างเย็นชา นางก็มองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาที่เยือกเย็นราวน้ำแข็ง
ภายใต้หมวกไม้ไผ่ปีกกว้าง สีหน้าเมิ่งฮ่าวก็ยังคงสงบนิ่งเหมือนทุกครั้ง
“ใครก็ตามที่เข้ามาในสถานที่นี้ ต่างก็มีคุณสมบัติเพื่อเข้าร่วมการประชุม” ชายชรากล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “แต่ถ้าไม่มีบัตรเชิญ ก็ต้องรออยู่ที่ด้านนอกศาลา เมื่อถึงเวลาเจรจาเรื่องการค้า ก็อาจจะเสนอราคามาได้ ถ้าทุกคนในศาลานี้ไม่เสนอ”
“มันเป็นเจ้าที่ขโมยที่นั่งของข้า” ผู้แซ่ฉือพูด “เจ้าไม่รู้ว่ามีชีวิตหรือตกตายแตกต่างกันอย่างไร ไม่จำเป็นต้องลุกขึ้น ถ้าข้าไม่ฉีกกระชากเจ้าเป็นชิ้นๆ ในวันนี้ ข้าก็จะกลายเป็นตัวตลกของทุกคน” ผู้แซ่ฉือเป็นคนที่มีโทสะอย่างง่ายดาย การถูกเอาที่นั่งไปต่อหน้าต่อตาของทุกคน ทำให้มันมีความต้องการสังหารมาตั้งแต่เริ่มแรก ร่างของมันแวบไปอย่างรวดเร็ว ด้วยพลังของขั้นกลางพื้นฐานลมปราณที่ระเบิดออกมา มันพุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าว
ไม่มีใครเข้าไปสอดแทรก แม้แต่ชายชราก็เพียงมองมาด้วยแววตาที่เย็นชา
เมื่อมันห่างจากเมิ่งฮ่าวหนึ่งจ้าง มันยกมือขึ้น เกิดเป็นฝ่ามือเวทขนาดใหญ่ ตบลงไปยังเมิ่งฮ่าว, เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ที่นั่นเหมือนก่อนหน้านี้ เขาเพียงแค่ยกมือซ้ายขึ้น และสะบัดนิ้วตรงไปยังเจ้าตัวใหญ่
เมื่อเขาสะบัดนิ้ว พลังลมปราณของสวรรค์และปฐพีในพื้นที่ทั่วราชวังนี้ก็ปั่นป่วนขึ้นมา ในเวลาเดียวกันนั้น สีหน้าของเจ้าตัวใหญ่ก็เปลี่ยนไป ทันใดนั้น มันก็รู้สึกราวกับว่า มันได้สูญเสียการควบคุมพื้นฐานฝึกตนของมัน และถูกระงับไปอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งก็ทำให้ม่านตาของผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นต้องหดเล็กลง รวมถึงชายชราชิงซาน มือขวาของเมิ่งฮ่าวโบกสะบัด และทันใดนั้น มังกรเปลวไฟที่ยาวหนึ่งร้อยจ้างก็ส่งเสียงกระหึ่มปรากฎขึ้น ผู้แซ่ฉือแผดร้องอย่างโหยหวนออกมา เมื่อมังกรเปลวไฟพุ่งลงไปบนร่างของมัน
ทั่วทั้งร่างของมันสั่นไปมาอย่างรุนแรง ความไม่อยากเชื่อและตกใจ ปกคลุมไปบนใบหน้าของมัน และจากนั้นก็กลายเป็นความสิ้นหวัง ผิวของมันลุกไหม้กลายเป็นเปลวไฟ สายลมอันรุนแรงพัดมา กระแทกไปที่มันให้กลิ้งลงไปบนพื้น เพียงชั่วพริบตา ร่างที่ลุกไหม้ของมันก็กลายเป็นเถ้าธุลี ลอยออกไปในอากาศ
มีเพียงสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ ก็คือ ถุงสมบัติ มันลอยขึ้นมา และตกลงไปในมือเมิ่งฮ่าว เขาตบลงไปเบาๆ จากนั้นแผ่นหยกที่มีตัวอักษรจารึกว่า “ความลับ” ก็ลอยขึ้นมา เขาวางมันลงไปบนโต๊ะ
“นี่เป็นบัตรเชิญของข้า” เขากล่าว คนทั้งหมดมองไม่เห็นสีหน้าของเขา เนื่องจากมันถูกซ่อนอยู่ใต้หมวกไม้ไผ่ พวกมันได้ยินเพียงเสียงที่แหบพร่าซึ่งดังออกมาจากด้านล่างของหมวกใบนั้น