“มีสามวิธีสำหรับจัดการกับพิษชนิดนี้” ชายชรากล่าว ขณะเก็บถุงสบัติ “วิธีที่สาม เป็นการบรรเทาความเจ็บปวดอย่างง่ายๆ เมื่อพิษกำเริบ มีผลไม้ลมปราณสามชนิด ที่กินเข้าไปแล้วช่วยบรรเทาพิษนี้ได้”
“วิธีที่สอง ช่วยสะกดผลกระทบของพิษนี้ และช่วยลดความถี่ในการกำเริบได้ ซึ่งต้องใช้ต้นชุนชิวช่วย หนึ่งต้นสะกดพิษไว้ได้นานหนึ่งปี แต่ถึงต้นไม้นี้จะสามารถสะกดพิษ ได้หลากหลายชนิดก็จริงอยู่ แต่มันก็หาได้ยากมาก แต่ก็มีโอกาสหาได้ ผลข้างเคียงในการใช้มันก็คือ จะทำให้พิษซึมลึกลงไปมากขึ้น และผลสะท้อนกลับก็ค่อนข้างรุนแรง ถ้าถึงเวลาที่เจ้าไม่สามารถสะกดข่มพิษนี้ได้อีกต่อไป มันก็จะกำเริบขึ้นมาอย่างรุนแรง และก็จะไม่สามารถขจัดมันออกไปได้ตลอดไป”
“สำหรับการขจัดพิษนี้ออกไปอย่างสมบูรณ์ และนี่ก็คือวิธีแรก จริงๆ แล้วมันค่อนข้างง่ายมาก หาใครสักคนที่เป็นผู้อาวุโส ในขั้นตัดวิญญาณมาช่วยขจัดให้ ซึ่งสามารถขจัดพิษนี้ออกไปได้อย่างง่ายดาย โดยการใช้พลังของขั้นตัดวิญญาณ”
“อืม, ดูจากการที่เจ้าใช้หินลมปราณจำนวนมากมายขนาดนี้ไปอย่างง่ายดาย ข้าก็จะบอกเจ้าถึงวิธีที่สี่ ถ้าเจ้าค่อนข้างโชคดี ได้รับเม็ดยาขจัดพิษ ซึ่งปรุงโดยเจ้าโอสถจอมปีศาจ เจ้าก็สามารถใช้มันขจัดพิษนี้ออกไปได้อย่างสมบูรณ์”
“อย่างไรก็ตาม” ชายชรากล่าวเสียงราบเรียบ “เจ้าโอสถจอมปีศาจ เป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงส่ง ในสำนักจื่อยิ่น คงยากมากที่จะได้พบเจอ”
เมิ่งฮ่าวคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็ไม่พูดจา ดึงถุงสมบัติออกมาอีก เขาหวงแหนหินลมปราณเป็นอย่างมาก แต่มันก็เป็นเพียงของนอกกาย ที่ไม่สามารถเทียบได้กับชีวิตของตัวเอง
ชายชรารับถุงสมบัติไว้ ดวงตาส่องประกาย และรอยยิ้มก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้า
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังจะถามอะไร”
“ข้าจะซื้อมันได้ที่ไหน!” เมิ่งฮ่าวถามเสียงเย็นชา ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ไม่มีทางที่คนภายนอกจะรู้เรื่องนี้ แต่ข้ามีศักดิ์ฐานะที่พิเศษ ดังนั้นข้าจึงได้ยินข่าวมา อีกหนึ่งเดือน จะมีขบวนพ่อค้าจากทะเลทรายตะวันตกมาถึงที่นี่ และศาลาร้อยสมบัติก็จะเป็นเจ้าภาพในการประมูลสินค้า หนึ่งในสิ่งของที่พวกมันจะขายก็คือ ต้นชุนชิว”
“ศาลาร้อยสมบัติ?” ดวงตาเมิ่งฮ่าวส่องประกาย เมื่อเขาคิดไปถึงไป่เจินเก๋อ (ศาลาร้อยสมบัติ) ที่อยู่ในเมืองตงเซี่ยวของแคว้นจ้าว
เมิ่งฮ่าวยืนขึ้น และเหลือบมองไปที่ชายชราเป็นครั้งสุดท้าย หันหลังกลับ และเดินไปที่ประตู เมื่อเขาเปิดมันออก สิ่งแรกที่เห็นก็คือ หญิงสาวที่สวยงามดูสุภาพอ่อนโยน ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง
“ขั้นพื้นฐานลมปราณระดับกลาง!” เมิ่งฮ่าวคิดในใจ สีหน้าเรียบเฉย ขณะที่เดินตรงไป ใบหน้าของหญิงสาวในชุดขาวก็ปกติธรรมดา เมื่อเมิ่งฮ่าวจากไป นางก็เดินเข้าไปในร้าน ขณะที่เดินอยู่นั้น คิ้วของนางก็ขมวดขึ้นมาเล็กน้อย เหลียวหลังกลับมามองยังชิวหลิน และเมิ่งฮ่าว ขณะที่พวกเขาเดินจากไป
“มันดูคุ้นๆ แต่ข้าก็จำไม่ได้ว่าเคยเห็นมันที่ไหนมาก่อน”
ฉู่อวี้เยียนไม่ได้สนใจมากนัก ปีที่นางเห็นเมิ่งฮ่าว บนยอดเขาตะวันออกของสำนักเอกะเทวะ เขาเพิ่งจะอยู่ในระดับหก ขั้นรวบรวมลมปราณ ถึงแม้ว่าเขาจะฉกฉวยโอกาส การเข้าร่วมเป็นศิษย์สายในไปจากหวังเถิงเฟย ฉู่อวี้เยียนก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับเขามากเท่าไหร่ จากนั้นก็ผ่านไปหกปี และนางก็ลืมเขาไปนานแล้ว
นางลืมเมิ่งฮ่าวไปแล้ว แต่เขายังไม่ลืม!
เมิ่งฮ่าวไม่อาจลืมบุรุษวัยกลางคน ที่เป็นผู้พิทักษ์เต๋า ซึ่งยืนอยู่ที่นั่นในคืนนั้น และยังไม่ลืมหญิงสาวที่ดูเหมือนจะใกล้ชิดกับหวังเถิงเฟยคนนั้น
“นั่นต้องเป็นนางอย่างแน่นอน…” เมิ่งฮ่าวเดินเร็วขึ้น สีหน้าเย็นชา แต่ความคิดวิ่งไปอย่างรวดเร็ว เมื่อดูจากปฏิกิริยาของนาง ก็เห็นได้ชัดว่านางจำเขาไม่ได้ ซึ่งเขาได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายในเร็วๆ นี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของพลังฝึกตน คงเป็นเรื่องยากสำหรับใครหลายคน ที่จะเชื่อมโยงเมิ่งฮ่าวในตอนนี้ กับคนเก่าเมื่อหลายปีก่อน
“ดูเหมือนนางจะใกล้ชิดกับหวังเถิงเฟย นางต้องเป็นศิษย์ของสำนักใหญ่อย่างแน่นอน ข้าไม่มีใครหนุนหลัง ดังนั้นข้าต้องไม่ไปกระตุ้นความสนใจของนาง แต่พลังฝึกตนของนางอยู่ในระดับกลาง ของขั้นพื้นฐานลมปราณ ข้าสงสัยว่า…พลังฝึกตนของหวังเถิงเฟยในตอนนี้ จะเป็นอย่างไร?”
เขาคิดกลับไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในปีนั้น และรอยยิ้มอันเย็นชาที่ยากจะสังเกตเห็นได้ ก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้า
ชิวหลินเดินอยู่ด้านข้างเขา ดูท่าทางกำลังคิดถึงอะไรบางอย่าง มันมองกลับไป และทันใดนั้นก็หยุดเดินในทันที
“ข้ารู้แล้ว! นั่นคือ ฉู่อวี้เยียน!” มันกล่าว
“ฉู่อวี้เยียน?” เมิ่งฮ่าวถาม สีหน้าเขาแวบขึ้นเมื่อมองกลับไปยังชิวหลิน “เจ้าหมายถึงหญิงสาวที่ด้านหลังนั่น?”
“ใช่แล้ว” ชิวหลินพูดด้วยความตื่นเต้น “นางคือผู้ถูกเลือกจากสำนักจื่อยิ่น และเป็นหนึ่งในสี่ของหญิงสาวที่สวยที่สุดในดินแดนด้านใต้ ต้องเป็นนางอย่างแน่นอน!”
“โอ?” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกาย
“จากข่าวลือนานมาแล้ว” ชิวหลินพรั่งพรูออกมา
“ตอนที่นางถือกำเนิด ดอกบัวแห่งสวรรค์ก็เบ่งบานพอดี พรสวรรค์ของนางสูงอย่างน่าเหลือเชื่อ และมีความงามที่ไม่ธรรมดา นางเป็นศิษย์ของเจ้าโอสถจอมปีศาจ! เป็นคู่หมั้นของหวังเถิงเฟย ผู้ถูกเลือกจากตระกูลหวังอันยิ่งใหญ่ ปีที่คนทั้งสองหมั้นกัน ทั่วทั้งดินแดนด้านใต้ได้พูดถึงเรื่องนี้กันตลอด”
ดูเหมือนมันจะรอบรู้เรื่องราวต่างๆ ในดินแดนด้านใต้ แต่ตอนที่มันพูด มันไม่ได้สังเกตดูสิ่งที่ปรากฎขึ้นในดวงตาของเมิ่งฮ่าวเลยแม้แต่น้อย
ทั้งสองเดินต่อไป และชิวหลินก็พูดถึงเรื่องราวต่างๆ มากมายที่เกี่ยวข้องกับฉู่อวี้เยียน ด้วยคำเรียกร้องจากเมิ่งฮ่าว มันก็นำเขาไปยังโรงเตี๊ยม ซึ่งอยู่ในมุมที่ใกลออกไปจากในเมือง เมิ่งฮ่าวถามมันเกี่ยวกับเรื่องการประมูลเล็กน้อย จากนั้นก็จ่ายหินลมปราณไป เมื่อชิวหลินจากไป ก็เป็นเวลาดึกแล้ว
เมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องของโรงเตี๊ยม กระพริบตาไปมา จิตใจเต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ มากมายที่ชิวหลินบอกมาเกี่ยวกับฉู่อวี้เยียน เวลาธูปไหม้หมดสองดอกผ่านไป เขาขมวดคิ้ว
“จะมีทางใช้ฉู่อวี้เยียน เพื่อเข้าพบเจ้าโอสถจอมปีศาจ เพื่อให้ข้าได้รับเม็ดยาขจัดพิษได้ยังไง…” เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับเจ้าโอสถจอมปีศาจ ก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องคิดไปถึง เม็ดยาพื้นฐานลมปราณของติงซิ่น
“ติงซิ่นก็เป็นศิษย์ของเจ้าโอสถจอมปีศาจเช่นเดียวกัน…” เมิ่งฮ่าวหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น เขาได้สังหารศิษย์ของมันไป และยังได้มีเรื่องกับสำนักจื่อยิ่นอีกด้วย การขจัดพิษด้วยวิธีนี้ คงยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง
ผ่านไปสักพัก เขาก็เริ่มเข้าฌาณ เมิ่งฮ่าวพบว่าหลังจากที่บรรลุพื้นฐานลมปราณ เขาต้องการพลังลมปราณมากขึ้นกว่าเดิม มากยิ่งกว่าตอนที่เขาต้องการในขั้นรวบรวมลมปราณ เพื่อให้บรรลุถึงระดับกลางของพื้นฐานลมปราณ เขาจำเป็นต้องสร้างเสาแห่งเต๋าขึ้นมาสี่ต้น
“ตอนนี้ ข้ามีเสาแห่งเต๋าเพียงต้นเดียว เนื่องจากรอยร้าวบนเสาแห่งเต๋า ทำให้ข้ามีพื้นฐานไร้ตำหนิ รวมถึงข้าสำเร็จขั้นพื้นฐาน หลังจากที่ก้าวถึงระดับสิบสาม ขั้นรวบรวมลมปราณ ยิ่งไปกว่านั้น พลังฝึกตนของข้า ก็อยู่บนพื้นฐานของคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ ทำให้เสาแห่งเต๋าของข้าเป็นสีทอง
การรู้แจ้งของข้าก็ลึกล้ำขึ้น และมีจิตสัมผัสเพิ่มมากขึ้น ข้าคิดว่า คงมีไม่มากที่คนระดับต้น ขั้นพื้นฐานลมปราณจะมาสู้กับข้าได้”
“ข้าไม่เคยต่อสู้กับใครที่อยู่ในระดับกลาง ขั้นพื้นฐานลมปราณ ดังนั้นจึงไม่ค่อยมั่นใจ แต่ก็คิดว่าข้าคงจัดการได้” ดวงตาของเขาส่องประกาย เมื่อคิดไปถึงการต่อสู้กับบุรุษร่างกำยำแซ่ซาน
ในตอนนั้น เขาก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นกับพลังของพื้นฐานไร้ตำหนิ เมื่อเวลาการสร้างเสาแห่งเต๋าต้นที่สองมาถึง เขาก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม
“ข้าต้องการเม็ดยาที่เหมาะสม สำหรับขั้นพื้นฐานลมปราณเบื้องต้น” เขากล่าว สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ หลับตาลง และพ่นธวัชสายฟ้าออกมาจากปาก
สนามพลังของหมอกสายฟ้าก็กระจายออกมา ภายในนั้นเต็มไปด้วยประจุไฟฟ้ากระพริบไปมา ถ้ามีใครพยายามที่จะมาโจมตีเขา สายฟ้าเหล่านี้ก็จะพุ่งออกมาปกป้องเขาในทันที
ภายในกลุ่มหมอก เมิ่งฮ่าวพยายามที่จะใช้เวทผนึกอสูรรุ่นแปดอีกครั้งหนึ่ง และก็ล้มเหลวอีกเช่นเคย อย่างไรก็ตาม ด้วยความล้มเหลวในแต่ละครั้ง ก็ดูเหมือนว่าเขาเข้าใกล้ความรู้แจ้งไปเรื่อยๆ
ราตรีกาลผ่านไปตามปกติ เมื่ออรุณรุ่งมาเยือน เมิ่งฮ่าวก็ลืมตาขึ้น เขาออกจากโรงเตี๊ยมเพื่อสำรวจไปจนทั่วทั้งเมืองของผู้ฝึกตน ในแคว้นตงหลายแห่งนี้ เขาต้องการหาเม็ดยาที่เหมาะสม สำหรับพื้นฐานลมปราณ และหวังว่าจะเรียนรู้บางสิ่งที่เกี่ยวกับต้นชุนชิวเพิ่ม
ครึ่งเดือนผ่านไป ในช่วงนั้นเขาก็ได้สำรวจไปเกือบทุกร้านที่อยู่ในเมือง สถานที่นี้เต็มไปด้วยเม็ดยา และอาวุธเวทมากมายหลายแบบอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ราคาก็แพงมาก หลังจากพิจารณาถึงตัวเลือกของเขาเป็นเวลานาน เมิ่งฮ่าวก็ซื้อเม็ดยาทั่วไปซึ่งมีประโยชน์ สำหรับขั้นพื้นฐานลมปราณมา
ยานี้เรียกว่า เม็ดยาจื้อจู้ (รวมสร้าง) และเหมาะสมสำหรับขั้นพื้นฐานลมปราณเบื้องต้น
“มีเม็ดยาไม่น้อย ที่เหมาะสมสำหรับขั้นพื้นฐานลมปราณ แต่ก็ดูเหมือนว่ามันมีประสิทธิภาพแค่ธรรมดา เม็ดยาที่มีคุณภาพสูงส่วนใหญ่ก็เป็นของสำนักต่างๆ เอง เป็นเรื่องยากที่คนภายนอกจะไปเอามาได้ โอกาสเดียวที่จะได้มาก็คือช่วงการประมูลเท่านั้น”
อีกครึ่งเดือนก็ผ่านไป เมิ่งฮ่าวเริ่มคุ้นเคยกับเมืองนี้มากขึ้น ตอนนี้เขานั่งอยู่ในห้องอาหารของโรงเตี๊ยมที่เขาเข้าพัก ข้างหน้าต่าง มองลงไปยังฝูงชนด้านล่าง ในมือถือจอกสุรา เขาค่อยๆ จิบ ขณะที่คิดไปเรื่อยๆ
“ข้ากลืนเม็ดยาลงไปมากมายในหลายปีมานี้ ข้าต้องใช้เม็ดยาเกินคนอื่นๆ ทั่วไปมากยิ่งนัก เพื่อบรรลุพลังฝึกตนขั้นสูงๆ ขึ้นไป” เขาขมวดคิ้ว มันไม่ใช่ว่าเมืองนี้ไม่มีเม็ดยา ที่เหมาะสมสำหรับขั้นพื้นฐานลมปราณ หรือราคาสูงมากเกินไป แต่เป็นปัญหาของเหรียญกษาปณ์ห้าชนิด
ในเมืองนี้มีเหรียญกษาปณ์อยู่ห้าชนิด เพื่อใช้กำหนดว่า ใครจะมีโอกาสซื้อสินค้าอะไร ถ้าไม่มีเหรียญกษาปณ์พวกนี้ ถึงแม้ว่าจะมีหินลมปราณมากมายเพียงใด ก็ไม่สามารถซื้อได้ นี่เป็นกฎของเมืองนี้ และเป็นวิถีทางที่สำนักจื่อยิ่นสามารถควบคุมการกระจายเม็ดยาภายในแคว้นนี้
“เหรียญกษาปณ์ห้าชนิดนี้ ทางเดียวที่จะได้มาก็คือต้องทำความดี ช่างน่ารำคาญนัก!” เมิ่งฮ่าว ยกจอกสุรา และจิบลงไป ขมวดคิ้วลึกมากขึ้น
“โชคดีที่ไม่ต้องใช้เหรียญกษาปณ์ในการประมูลสินค้า ถ้าข้ายังมีหินลมปราณเพียงพอ ที่จะจ่ายค่าผ่านทาง ข้าก็สามารถเข้าไปได้” สายตาของเมิ่งฮ่าว กวาดมองไปที่ถนนด้านล่าง
ขณะที่เขาพึมพำกับตัวเอง เวลาก็ผ่านไป ในไม่ช้า ห้องอาหารของโรงเตี้ยมก็เริ่มเต็มไปด้วยผู้ฝึกตน มานั่งคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน
ชิวหลินได้เลือกโรงเตี๊ยมที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงให้กับเมิ่งฮ่าว ที่นี่มีการบริการเครื่องดื่มเพียงอย่างเดียว จริงๆ แล้ว ก็บริการแค่เครื่องดื่มเพียงชนิดเดียว ซึ่งเรียกว่า ผิ่นหลิง (ลิ้มรสวิญญาณ)
รสชาติของสุรานี้ ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ มันไม่ได้ร้อนแรงมากนัก แต่มันเข้มข้นมาก อบอวลไปด้วยพลังลมปราณ ซึ่งไม่ได้มีพลังลมปราณมากมาย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้สุรานี้มีราคาค่อนข้างแพง
“ข้าได้ข่าวว่าขบวนสินค้าจากทะเลทรายตะวันตกมาถึงวันนี้ พวกมันนำผู้คนมามากกว่าที่เคยในปีก่อนๆ ที่ผ่านมา ข้าพนันได้เลยว่าต้องมีของวิเศษมากมาย ให้ซื้อหาที่งานประมูลของหอร้อยสมบัติเป็นแน่”
“ทรัพยากรในทะเลทรายตะวันตก ไม่ได้มีมากมายเท่าในดินแดนด้านใต้ แต่พวกมันก็มีวัตถุดิบที่หาได้แต่ในพื้นที่แถบนั้นอยู่มากมาย ซึ่งเป็นที่ต้องการมากในแคว้นพวกเรา เมื่อพวกมันนำมาแสดงให้เห็นเมื่อไม่กี่ปีก่อน พวกมันก็มักจะนำตัวแทนจากกลุ่มพ่อค้าที่แตกต่างกัน จากหลายสำนัก หลายแคว้น เกือบร้อยกลุ่มมาด้วย วิชาเวทของผู้ฝึกตนพวกนั้นก็แปลกประหลาดมาก ข้าหวังว่าพวกเราจะมีโอกาสได้เรียนรู้บางอย่างจากพวกมันบ้าง”
“ข้าไม่คิดเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าพวกมันนำผู้คนมามากกว่าปกติ ต้องมีเหตุผลที่จะทำเช่นนี้ ข้าคิดว่ามีโอกาสแปดถึงเก้าในสิบส่วน ที่พวกมันต้องการทำอะไรสักอย่างกับซากศพของเซียนผู้นั้น”
เสียงการพูดคุยเต็มอยู่ในห้องอาหาร และส่วนใหญ่ก็พูดกันถึงเรื่องการประมูล ซึ่งจะจัดขึ้นในอีกครึ่งเดือนข้างหน้า และเรื่องที่เกี่ยวกับการมาถึงของกลุ่มพ่อค้าจากทะเลทรายตะวันตก จะเกี่ยวข้องกับงานประมูลนี้อย่างไร
เมิ่งฮ่าวกำลังจะเดินจากไป เขาไม่ได้สนใจเรื่องกลุ่มพ่อค้า แต่เมื่อเขาได้ยินการพูดถึงซากศพของเซียน ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย นั่งกลับลงไป และรินสุราให้ตัวเองอีกหนึ่งจอก จิบไปหนึ่งคำ และนั่งฟังต่อไป
“ซากศพของเซียน…เฮ้ เฮ้, เมื่อเร็วๆ นี้ ไม่ได้มีการนองเลือดที่นั่น แต่เมื่อสามปีที่แล้ว ห้าสำนักใหญ่ และสามตระกูลดัง พยายามที่จะเข้าไปในพื้นที่บริเวณนั้น แต่พวกมันก็เจอกับความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า จนต้องล่าถอยกลับไป อย่างไม่มีทางเลือก
“ซากศพของเซียน ต้องตกลงมาจากสวรรค์ในปีนั้นอย่างแน่นอน เพราะว่ามันต้องการเข้าไปในถ้ำกำเนิดใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งเขตอันตรายของดินแดนด้านใต้ แต่มันได้ตกลงมาไกลออกไปถึงพันหลี่จากถ้ำนั้น จริงๆ แล้ว ซากศพนั้นไม่เพียงกระตุ้นความสนใจจากห้าสำนักใหญ่ และสามตระกูลดังเท่านั้น สิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้นภายในถ้ำกำเนิดใหม่ ก็ได้สร้างความสนใจด้วยเป็นครั้งคราว”
“ทุกคนต้องการชิ้นส่วนของร่างเซียนนั้น แม้จะเพียงแค่เล็กน้อยก็ตาม เพื่อเพิ่มความหวังในการสำเร็จเป็นเซียนอมตะ!” ขณะที่เมิ่งฮ่าวนั่งฟังเสียงพูดคุยในห้องอาหารนั้น สิ่งที่ดูแปลกๆ ก็ปรากฎขึ้นในดวงตา เขาคิดกลับไปถึงเวลาที่อยู่ในแคว้นจ้าว เมื่อพื้นดินเกิดการสั่นสะเทือนครั้งแล้วครั้งเล่าติดต่อกัน เขาเคยรู้สึกว่ามีบางสิ่งจากสวรรค์ ได้ตกลงมากระแทกยังพื้นดิน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าได้ยินข่าวอะไร? เมื่อซากศพของเซียนนั้นตกลงมา บางคนได้เห็นมันด้วยตาตัวเอง พวกมันบอกว่า ม่านตาของซากศพนั้นเป็นสีเทา และด้านในก็มีดาวเจ็ดดวงส่องประกายอยู่!”
เมื่อเมิ่งฮ่าวได้ยินดังนั้น เขากำลังยกจอกสุรา เพื่อจะจิบอีกครั้ง ทันใดนั้น ร่างของเขาก็สั่นสะท้าน มือก็สั่นตามไปด้วย ทำให้สุราในจอกหกออกมาจนหมด