เช้าตรู่ของวันใหม่ ดวงตะวันยามรุ่งอรุณแอบมองมา และแสงตะวันก็ตกกระทบมาบนยอดเขาต้อนรับเขียวขจี ภูเขาเป็นสีเขียว แต่ก็ไม่มีเสียงร้องของวิหค หรือกลิ่นหอมของดอกไม้แต่อย่างใด จิตใจเมิ่งฮ่าวลอยฟูฟ่อง ขณะที่เขามองออกไปจากระเบียงชั้นสอง เห็นต้นไม้เขียวชอุ่มของเทือกเขาโดยรอบ
ภูเขาเป็นลูกคลื่น ปกคลุมไปด้วยต้นไม้สีเขียวราวมรกต สว่างไสวไปด้วยแสงแดดอันสดใส แสงเรืองรองนั้นตกกระทบไปบนชุดยาวสีดำของเมิ่งฮ่าว ทำให้แสงสีม่วงเปล่งประกายออกมามากขึ้น ใครก็ตามที่มองมาก็ยากที่จะบอกได้ว่า เขากำลังสวมชุดดำหรือชุดสีม่วง
สายลมภูเขาพัดพาเส้นผมที่ยาวของเขาให้พริ้วไหวไปมา ทำให้ดูราวกับว่าเมิ่งฮ่าวปรารถนาที่จะลอยไปตามสายลม ขณะที่เขาจ้องมองออกไปยังที่ห่างไกล แสงสีม่วงก็เจิดจ้าขึ้นมาในดวงตา
นี่คือสัญลักษณ์ของลมปราณม่วงบูรพา ซึ่งช่วยเปลี่ยนเสาแห่งเต๋าทั้งหกต้นของเขาให้กลายเป็นสีม่วง
หลังจากผ่านไปนาน เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นก็ออกจากที่พัก ขณะที่เขาเริ่มเดินลงมาจากเส้นทางบนภูเขา ซึ่งเชื่อมต่อกับภูเขาต้อนรับเขียวขจี เขาพบกับศิษย์สำนักชิงหลัวหลายคน ซึ่งพวกมันก็รีบประสานมือคารวะเขาในทันที ด้วยสีหน้าสุภาพเรียบร้อย แต่ก็ยังคงรักษาความภาคภูมิใจที่พวกมันรู้สึกว่าได้เป็นศิษย์ของสำนักชิงหลัวอยู่บางส่วน เห็นได้ชัดว่า ทางสำนักได้แจ้งต่อศิษย์ไปทั่วถึงวิธีการปฏิบัติต่อแขกผู้มาเยือน
เมิ่งฮ่าวยิ้ม คารวะกลับไป และเดินตามเส้นทางต่อไป
ไม่ช้าเขาก็โผล่ออกมาจากภูเขาต้อนรับเขียวขจี และพบว่าตัวเองกำลังอยู่ท่ามกลางหนึ่งร้อยภูเขา ซึ่งเป็นเขตหวงห้ามของศิษย์แกนหลัก
เมื่อมองไปรอบๆ ยังศิษย์สำนักชิงหลัว และสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด รวมถึงธูปยักษ์ซึ่งกำลังเผาไหม้อยู่ด้านบน เมิ่งฮ่าวก็ต้องแอบถอนหายใจอยู่ด้านใน ก่อนที่จะเข้าสังกัดสำนักจื่อยิ่น เขาไม่เคยคาดคิดว่าในวันหนึ่ง เขาจะสามารถเดินทอดน่องอยู่ในสำนักชิงหลัวด้วยท่าทางสบายๆ เช่นนี้ได้
“โชคดีที่เจ้าผีโต้งลอกคราบไปเมื่อนานมาแล้ว ถ้ามันเกิดขึ้นในตอนนี้ ตัวตนของข้าก็คงจะถูกเปิดเผยขึ้นในทันที” เขาเดินอยู่ท่ามกลางสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในที่สุดก็มาหยุดอยู่ตรงด้านข้างของเขตพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัส ที่นั่น เขามองเห็นศิษย์สำนักชิงหลัวหลายสิบคน กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ หานเป้ยก็รวมอยู่ด้วย
ชายชราที่อยู่ตรงกลางกำลังให้คำสั่งสอน อธิบายถึงข้อความในตำราต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิชาเวทของสำนักชิงหลัว เมิ่งฮ่าวเคยเห็นชายชราผู้นี้มาก่อน มันเป็นผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณ ผู้ซึ่งติดตามปรมาจารย์จือหลัวมาต้อนรับเขาเมื่อวานนี้
เสียงราบเรียบของชายชราดังออกมา “เวทของสำนักชิงหลัว สามารถแบ่งออกเป็นเจตจำนงของยมโลกสีเขียว และคำสอนของตะกร้าแห่งสวรรค์ ยมโลกเป็นตัวแทนของวิญญาณแห่งพื้นปฐพีทั้งเก้า ตะกร้าเป็นตัวแทนของเจตจำนงแห่งสวรรค์ทั้งเก้า ดังนั้น ในสำนักชิงหลัว (ตะกร้าเขียว) เวทยมโลกใช้สำหรับสังหาร และเจตจำนงแห่งสวรรค์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พวกเจ้าต้องจารึกวิชาศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้ในใจ ขณะที่ฝึกฝนพลังฝึกตน ในอนาคตข้างหน้า เส้นทางของพวกเจ้าก็จะนำไปสู่สรวงสวรรค์” ในตอนนี้เองที่มันมองมาเห็นเมิ่งฮ่าว
มันพยักหน้าเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามันรู้ดีว่าเมิ่งฮ่าวเป็นใคร ไม่พูดอะไร แต่มองเขาเหมือนเป็นผู้ที่มาเที่ยวชม ในที่สุดสายตาของมันก็มาหยุดอยู่ที่หานเป้ย มันส่งสายตาที่มีความหมายไปให้นาง และนางก็แอบถอนหายใจ จากนั้นก็ลุกขึ้น เดินตรงมายังเมิ่งฮ่าว
สีหน้าของชายชรายังคงเหมือนเดิม ขณะที่มันพูดถึงวิชาของสำนักต่อไป มันไม่เคยยินยอมให้บุคคลภายนอกคนใด มาฟังเรื่องราวที่เป็นความลับของสำนักเช่นนี้มาก่อน แต่เมื่อพิจารณาถึงศักดิ์ฐานะของเมิ่งฮ่าว ก็ไม่เหมาะสมที่จะขับไล่เขาออกไป ดังนั้น มันจึงขอให้หานเป้ยช่วยนำเขาจากไป
จริงๆ แล้ว หานเป้ยไม่ต้องการจะยอมรับคำสั่งนี้ แต่นางก็ไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้จริงๆ ด้วยการไม่แสดงสีหน้าความรู้สึกใดๆ ออกมา นางเดินมาถึงเมิ่งฮ่าว รอยยิ้มอันงดงามราวบุปผาเบ่งบานก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้า
“ฟางต้าชือ, ท่านตื่นเช้านัก! ทำไมท่านไม่ติดตามข้ามา? ข้าจะนำท่านไปเที่ยวชมรอบๆ สำนัก” นางมีความงดงามราวบุปผา เสียงของนางก็นุ่มนวล ทำให้ผู้ฟังรู้สึกยินดี
เมิ่งฮ่าวก็ตระหนักดีว่า ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง ที่เขาจะอยู่ที่นี่และรับฟังวิชาของสำนักชิงหลัว เขาพยักหน้าให้หานเป้ยด้วยความยินดี จากนั้นก็กล่าวขึ้น “การมีบุปผาที่งดงามเช่นท่านเดินร่วมทาง ช่างเป็นเกียรติของข้านัก”
คนทั้งสองเดินจากไปช้าๆ
เมื่อพวกเขาอยู่ห่างไกลจากเขตสี่เหลี่ยมจัตุรัส หานเป้ยยิ้มและกล่าวว่า “ฟางต้าชือ ท่านช่างมีอารมณ์กวีนัก ข้าไม่สมควรที่จะถูกเรียกว่าบุปผา” ดวงตาของนางส่องประกาย และชุดผ้าไหมสีฟ้าของนางก็โชยพริ้วไปมาทำให้นางดูเหมือนบุปผาอย่างแท้จริง
หานเป้ยเป็นผู้ที่มีความงดงามตามธรรมชาติ รอยยิ้มของนางพราวระยับ นางอาจจะเป็นบุปผา แต่สำหรับเมิ่งฮ่าว นางเป็นดอกกุหลาบ ซึ่งเต็มไปด้วยหนามที่มีพิษ เขาไม่เคยลืมคำพูดที่อ่อนหวานเมื่อนางเอ่ยคำว่า “เซี่ยหลาง (ชายคนรักแซ่เซี่ย)” ในดินแดนสงบสุขสำนักชิงหลัวเมื่ออดีตที่ผ่านมา
เพื่อตอบคำพูดของนาง เมิ่งฮ่าวหัวเราะออกมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่พูดจา เขาเพียงมองไปที่นางจากบนลงล่าง
“ฟางต้าชือ อย่าบอกข้านะว่าท่านยังคงคิดถึงสถานที่ ที่ท่านปรารถนาจะได้เห็นข้ามาก่อนหน้านี้?” นางหัวเราะเบาๆ แต่ลึกลงไปในดวงตาของนาง เมิ่งฮ่าวมองเห็นความวิตกกังวลที่นางแอบซ่อนไว้ นางไม่คิดว่าเมิ่งฮ่าวจะรับรู้ได้ แต่จากการที่รู้จักนางเป็นอย่างดี เขาก็สังเกตเห็นได้จากการมองเพียงแค่แวบเดียว
จิตใจเมิ่งฮ่าวหมุนคว้างขึ้นมาในทันที เขารู้ว่าหานเป้ยไม่ใช่หญิงสาวที่รู้สึกกังวลอะไรได้อย่างง่ายดาย เขาคิดกลับไปยังเวลาทั้งหมดที่เขาได้เห็นนางมาก่อนหน้านี้
“ข้ารู้สึกลำบากใจที่อยู่ต่อหน้าท่าน, สหายเต๋าหาน” เขากล่าว “ก็เพียงแค่ ข้ารู้สึกสนใจในตัวท่านอย่างแท้จริง” เขามองไปยังนาง ปล่อยให้แสงแห่งความสนใจสาดประกายอยู่ในดวงตา
เมื่อหานเป้ยเห็นเช่นนี้ จิตใจของนางก็เข้าใจได้ในทันที จากตอนที่เมิ่งฮ่าวเข้ามาในสำนัก ความรู้สึกไม่สบายใจได้ปกคลุมจิตใจนาง ตอนนี้ นางยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้น แต่นางมีทักษะในการวางแผนอุบายอย่างลึกล้ำ และนางก็พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อจะเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ นางพยายามไม่ขมวดคิ้ว และปกคลุมใบหน้าด้วยรอยยิ้ม
เดินทอดน่องด้วยกันต่อไป นางกล่าวตอบ “ฟางต้าชือ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติยิ่งกับคำพูดของท่าน แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจจริงๆ ว่าข้ามีอะไรที่ทำให้ท่านสนใจ?” นางมองมาที่เขา ขยิบตาให้
“แซ่หานเป็นแซ่ที่พิเศษมาก” เมิ่งฮ่าวกล่าวช้าๆ มองไปยังดวงตะวันที่กำลังลอยขึ้นมาในที่ห่างไกลออกไป
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าหานเป้ยก็ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย นางยิ้มและกล่าวตอบ “พิเศษอย่างไร?”
“มันพิเศษเพราะว่า มันเป็นหนึ่งในเก้าครอบครัวใหญ่” สีหน้าของเขาก็ปกติเหมือนเดิม แต่คำพูดทำให้หานเป้ยต้องขมวดคิ้ว และถอนหายใจออกมา เมิ่งฮ่าวรู้ว่ากิริยาเช่นนี้ ก็หมายความว่า นางพยายามปกปิดปฏิกิริยาที่แท้จริงของนางไว้
จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน และยิ่งรู้สึกมากขึ้นถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สู้ดีนักกำลังเกิดขึ้น
“ท่านพูดถูก” หานเป้ยกล่าว มองมาที่เขา “บรรพบุรุษของข้าอยู่ท่ามกลางเก้าครอบครัวใหญ่”
คนทั้งสองมาหยุดอยู่ด้านนอกของแนวป่าภูเขาสีเขียวมรกตที่ยืดยาวออกไป สายลมโชยพัดมาอย่างอ่อนโยน ทำให้เกิดเป็นเสียงของใบไม้พลิ้วไหว ที่ห่างไกลออกไป เสียงสายน้ำไหลรินได้ยินมา เป็นเสียงของธรรมชาติที่รวมเข้าด้วยกันเป็นบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายเสียงดนตรี
ห้อมล้อมไปด้วยความงดงามเช่นนี้ เมิ่งฮ่าวไม่พูดอะไร เขามองไปยังหานเป้ย และนางก็มองเขากลับมา
หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็หัวเราะ หันหน้าไปมองแนวป่าสีเขียว เขาเดินช้าๆ ไปยังลำธารที่ไหลผ่านภูเขามาจากทิศตะวันออก มองลงไปในกระแสน้ำ ซึ่งมีฝูงมัจฉาแหวกว่ายไปมา รอบๆ ก้อนหินที่เรียบลื่นราวกับเตียงนอนในสายน้ำ ความครุ่นคิดปรากฎขึ้นในดวงตา
“มีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับหานเป้ย” เขาคิด “นางรู้สึกกังวลข้าได้ย่างไร? มันไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับฟางมู่ และนางก็ไม่รู้ว่าข้าคือเมิ่งฮ่าว ถ้าเช่นนั้น…มันต้องมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับแผนกเม็ดยาบูรพา!”
หานเป้ยยืนอยู่ข้างกายเขา สีหน้าของนางสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย เวลาธูปไหม้หมดดอกผ่านไป ทันใดนั้น นางก็ตบไปที่ถุงสมบัติ แผ่นหยกเรืองแสงก็ปรากฎขึ้น หลังจากที่มองมันชั่วครู่ นางก็ยื่นส่งให้เมิ่งฮ่าวพร้อมกับโค้งตัวให้เล็กน้อย
“สถานที่แห่งนี้สันโดษและเงียบสงบ ฟางต้าชือ ถ้าท่านต้องการ ท่านสามารถอยู่ที่นี่ได้ต่อไป แต่โชคร้ายที่ข้ามีบางเรื่องที่ต้องไปจัดการ และข้าก็ไม่ต้องการจะรบกวนการครุ่นคิดของท่าน แผ่นหยกนี้มีแผนที่ของสำนักชิงหลัวอยู่ ได้โปรดใช้มันเพื่อไปชมทิวทัศน์ให้เพลิดเพลิน ข้าต้องขอตัวจากไปในตอนนี้แล้ว” นางยื่นส่งแผ่นหยกให้เขา จากนั้นก็หมุนตัวและเตรียมจากไป
ขณะที่นางทำเช่นนั้น เมิ่งฮ่าวก็กล่าวเหมือนไม่ตั้งใจว่า “หนึ่งในสหายของท่านในแผนกเม็ดยาบูรพาฝากข้ามาพูดทักทายท่าน สำหรับเรื่อง…” คำพูดของเขาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความนัย และคลุมเครือไม่ชัดเจน อันที่จริง ไม่ว่าความหมายใดๆ ก็อาจจะออกมาจากปากของเขาได้ทั้งสิ้น
แต่ทันทีที่หานเป้ยได้ยิน จิตใจของนางก็เริ่มหนักอึ้ง นางหันหลังให้เมิ่งฮ่าว ดังนั้นนางจึงปล่อยให้ดวงตาหดเล็กลง แต่ก็ทำท่าเหมือนนางไม่ได้คิดอะไร ค่อยๆ หันหน้ามาอย่างช้าๆ เมื่อทำเช่นนั้น ใบหน้าของนางก็ปกคลุมด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ฟางต้าชือ, ข้าไม่เข้าใจว่าท่านหมายถึงอะไร” นางกล่าว กระพริบตา สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง ราวกับว่านางกำลังพยายามเป็นอย่างมาก เพื่อจะนึกว่าสหายที่เมิ่งฮ่าวกล่าวถึงคือใคร
ถ้านางไม่ได้แสดงสีหน้าเช่นนี้ เมิ่งฮ่าวก็จะเลิกคาดเดา แต่เมื่อนางแสดงปฏิกิริยาเช่นนั้นเขาก็สามารถสรุปได้ในทันที
ต้องมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นกับหานเป้ยอย่างแน่นอน
จากการที่เขาเข้าใจในตัวนาง เขารู้ว่าถ้านางไม่เก็บงำความวิตกกังวลไว้ในส่วนลึก นางก็จะหาทางรวบรวมข้อมูลจากหัวข้อสนทนาเช่นนั้นให้มากกว่านี้ แต่นางกลับแสดงท่าทางประหลาดใจออกมาในทันที
เขาหัวเราะ “อืม ข้าคงเข้าใจผิดคิดว่าท่านเป็นอีกผู้หนึ่ง” เขาไม่กล่าวอะไรอีก ในตอนนี้ เขาไม่แน่ใจว่าหานเป้ยกำลังแอบซ่อนความลับอะไรไว้ ซึ่งคงต้องไตร่ตรองให้มากกว่านี้ เขารู้ว่าการพูดมากไปอาจทำให้ผิดพลาดได้ ด้วยเช่นนั้น หานเป้ยก็อาจจะสรุปได้ว่านางกำลังถูกปั่นหัวเล่น และอาจจะนำมาซึ่งความยุ่งยากโดยไม่จำเป็น
เมื่อได้ยินคำพูดเมิ่งฮ่าว หานเป้ยก็ส่งยิ้มที่คลุมเครือมาให้เขา ไม่พูดอะไรอีก นางโค้งตัวลงอีกครั้ง จากนั้นก็หมุนตัวและจากไป จนกระทั่งจากไปไม่ไกลนัก สีหน้าของนางก็ซีดขาว และเคร่งเครียดขึ้นด้วยความวิตกกังวล
“แผนกเม็ดยาบูรพา…” นางพึมพำ ขณะที่เร่งความเร็วจนหายลับตาไป
เมิ่งฮ่าวมองจนนางหายลับไป และดวงตาก็ส่องประกายด้วยความครุ่นคิด
หานเป้ยแสดงท่าทางแปลกๆ ตั้งแต่ตอนที่เขาเข้ามาในสำนักชิงหลัว นางไม่ต้องการให้ใครสังเกตเห็นความวิตกกังวลของนาง แต่เมิ่งฮ่าวก็สามารถบอกได้ว่า เขาเพิ่งจะพุ่งตรงเข้าไปในความลับอะไรสักอย่างที่นางแอบซ่อนไว้ในส่วนลึกของจิตใจ
หลังจากครุ่นคิด, คิด, คิด เขาก็ไม่อาจจะสรุปได้ว่า หานเป้ยมีความสัมพันธ์อะไรกับแผนกเม็ดยาบูรพา เขามองลงไปยังแผ่นหยกที่นางมอบให้ อ่านข้อมูลด้านในด้วยจิตสัมผัส แผนที่ของภูเขาต่างๆ ของสำนักชิงหลัวก็ปรากฎขึ้นในจิตใจ
บางพื้นที่ก็ถูกทำเครื่องหมายด้วยสัญลักษณ์เวท บ่งชี้ว่าเป็นสถานที่ต้องห้าม หลังจากผ่านไปสักพัก เมิ่งฮ่าวก็เงยหน้าขึ้น และเดินจากไป
เขาเดินทอดน่องอยู่คนเดียว ทั่วทั้งสำนักชิงหลัว จนกระทั่งใกล้เวลาเที่ยง ที่ห่างไกลออกไป เขามองเห็นยอดเขาต้อนรับเขียวขจี และกำลังจะกลับไป ทันใดนั้น ดวงตาก็หดแคบลง เขาหมุนตัวและมองออกไปยังที่ห่างไกล
ในทันใดนั้นเอง เสียงแผดร้องอย่างโหยหวนก็ฉีกกระชากความสงบสุข และความเงียบภายในสำนักชิงหลัวลงโดยสิ้นเชิง ที่เชิงด้านล่างของภูเขาที่ห่างไกลออกไป เสียงคำรามได้ยินออกมา พื้นดินสั่นสะเทือน และผู้ฝึกตนที่บ้าคลั่งบินตรงไป เส้นผมของมันกระจายไปทั่วทั้งศีรษะ
“สังหารข้า! สังหารข้า!” มันแผดร้อง เสียงของมันสร้างความสั่นสะเทือนให้กับพื้นดินรอบๆ บริเวณนั้น ขณะที่มันบินตรงไป ลำแสงมากมายก็ลอยขึ้นไปในอากาศ และพุ่งตรงไปที่มัน
เมิ่งฮ่าวหรี่ตาจ้องมองไป เพราะเขาจำผู้ฝึกตนนั้นได้ มันไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก เต้าจื่อสำนักชิงหลัว โจวเจี๋ย!