วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560

ตอนที่ 34 : ชื่อเมื่อหนึ่งพันปีก่อน

Posted By: wuxiathai - 22:34
เจ้าอ้วนยิ้มด้วยความยินดี รู้สึกมีความสุขอย่างน่าเหลือเชื่อ ภาคภูมิใจราวกับว่า การที่เมิ่งฮ่าวได้ กลายเป็นศิษย์สายใน ก็เหมือนกับที่ตัวเองได้เป็น
ซ่างกวนซิวยืนอยู่ในฝูงชนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หลังจากเวลาผ่านไปชั่วครู่ มันก็ก้มหน้าลง หันหลังและเดินจากไป เมื่อมันจากไป สีหน้าของมันก็เคร่งเครียดยิ่งขึ้น แต่มันก็ไม่สามารถทำอะไรได้จริงๆ ตอนนี้เมิ่งฮ่าวได้เป็นศิษย์สายในแล้ว แม้แต่มันที่มีสถานะเป็นผู้อาวุโสของสำนัก ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปสอบปากคำเขาได้ ตอนนี้เมิ่งฮ่าวได้เป็นศิษย์อย่างแท้จริง ของสำนักเอกะเทวะ
“ข้าบรรลุถึงระดับขั้นเจ็ดของการรวบรวมลมปราณ ก่อนที่ข้าจะอายุได้สามสิบปี ข้าเคยเป็นศิษย์อันดับหนึ่งสำนักสายใน แต่ตอนนี้…” ซ่างกวนซิวถอนหายใจออกมา มันเกลียดการยอมแพ้ แต่มันก็ไม่มีทางเลือก
ในขณะนั้น ได้มีบางสิ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีใครสังเกตเห็น ทั้งซ่างกวนซิว หรือผู้อาวุโสโอวหยาง หรือแม้แต่เจ้าสำนักเฮ่อหลัวฮว่า ไกลออกไปจากสำนักเอกะเทวะ บนยอดสูงสุดของภูเขาสีดำ ที่มีต้นไม้ ปกคลุมอยู่ มีบุคคลลึกลับซึ่งทรงพลังผู้หนึ่ง ยืนอยู่ด้านนอกของถ้ำซึ่งว่างเปล่า
บุคคลผู้นี้ดูคลุมเครือ ใบหน้าไม่ชัดเจน แต่ร่างของมันเปล่งรังสีที่แตกต่าง อย่างมากมายจากพลังลมปราณของสวรรค์และปฐพี เป็นรังสีที่จริงๆ แล้ว ดูเหมือนจะถูกปฏิเสธจากสวรรค์ สายลมที่พัดอยู่รอบๆ ร่างผู้นั้นได้เปลี่ยนไป เต็มไปด้วยรอยร้าวที่ดูเลือนลางหมุนวนอยู่รอบๆ ตัวมัน…และแน่นอนว่าพวกที่มุงดูอยู่รอบพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัส ไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์นี้ได้
“สำนักเอกะเทวะ…ช่างเป็นชื่อที่โอหังยิ่งนัก” ร่างสีแดงเหมือนโลหิต เปล่งเสียงอันแหบแห้งออกมา ทำให้บรรยากาศรอบด้านเต็มไปด้วยความน่ากลัวของภูติฝีปีศาจ
“เป็นชื่อที่ถูกเปลี่ยนไปเมื่อหนึ่งพันปีมาแล้ว เพื่อป้องกันสวรรค์ไม่ให้ลงทัณฑ์ จากการไม่ยอมกลับชาติมาเกิดใหม่ แต่มันก็ยังคงเป็น…สำนักผนึกอสูร! และศิษย์ของสำนักผนึกอสูร ก็ยังกล้าที่จะกินแกนลมปราณของมังกรปีกวารี และยอมรับทายาทของมัน…ช่างน่าสนใจจริงๆ! ดูเหมือนว่ามันไม่ได้เปล่าประโยชน์ที่ข้าได้ช่วยมันไป เมื่อสองครั้งที่ผ่านมา”
ขณะที่เสียงของมันยังคงดังออกมาอย่างต่อเนื่อง ประกายสายฟ้าสีแดงก็เริ่มที่จะฟาดลงมา สายฟ้าอันน่ากลัว ฟาดลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มันก็ผ่าลงไปยังที่ห่างไกล มากกว่าหกพันหลี่ ราวกับว่าสวรรค์ไม่มีพลังเพียงพอที่จะสัมผัสร่างของคนผู้นี้ได้
ร่างสีแดงนั้นดูเหมือนว่ากำลังขมวดคิ้วอยู่ จากนั้นก็แหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า “ไม่ช้าก็เร็ว, เจ้าจะต้องถูกท้าทาย, สวรรค์!” จากนั้นมันก็หันไปทางดินแดนทิศใต้ และก้าวเท้าไปข้างหน้าสองสามก้าว
“ร่างที่แท้จริงของข้า กำลังอยู่ในช่วงหลับใหล และในเวลาแห่งความน่าเบื่อหน่ายนี้ ร่างจำลองศักดิ์สิทธิ์ของข้า ก็ได้กวาดล้างไปทั่วทั้งชั้นสวรรค์และผืนปฐพี สิ่งที่ข้าเพิ่งได้เห็นช่างน่าสนใจ น่าสนใจยิ่งนัก” เสียงหัวเราะดังออกมา และร่างนั้นก็หายไป จากไปในช่วงการกระพริบตาเพียงหนึ่งครั้ง
การมาถึงและจากไปของร่างเลือนลางนั้น การกระเพื่อมของสวรรค์ การผ่าลงมาของสายฟ้า พวกที่มุงดูอยู่รอบพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัส ไม่สามารถมองเห็นอันใดแม้แต่น้อย!
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้า เจ็ดวันก็ผ่านไป
ในช่วงเวลาเจ็ดวันนี้ ทุกๆ คนในเขตสำนักสายนอก ได้พูดถึงความสำเร็จของเมิ่งฮ่าว ราวกับเขาได้ขึ้นสวรรค์ ที่กลายมาเป็นศิษย์สายใน
ทุกคนที่ได้เห็นเหตุการณ์นั้นด้วยตาของตัวเอง ก็ยังคงหลงเหลือความตกใจอยู่ในส่วนลึกของจิตใจพวกมัน แม้จะผ่านไปเจ็ดวันแล้วก็ตาม พวกมันก็มักจะจ้องมองไปที่ภูเขาตะวันออก ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉา
ยังคงมีบางคนที่รู้สึกเสียใจกับหวังเถิงเฟย แต่พวกมันก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เหมือนราวกับว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งนั้น ชื่อของหวังเถิงเฟยก็ได้กลายเป็นสิ่งของที่อยู่ในอดีตไปแล้ว
ศิษย์สายนอกบางคนที่เคยเป็นศัตรูกับเมิ่งฮ๋าว ยิ่งมีความกระวนกระวายใจมากกว่าก่อนหน้านี้ เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่เมิ่งฮ่าวก็ไม่ได้ปรากฎตัวในเขตสำนักสายนอกมานานแล้ว ดังนั้นสิ่งที่พวกมันพอจะทำได้ทั้งหมดก็คือ ตามหาเจ้าอ้วนเพื่อประจบเอาใจ
ชื่อของเจ้าอ้วนก็โด่งดังเป็นที่รู้จักของศิษย์สายนอกในเวลาเพียงไม่กี่วัน มันกลายเป็นเจ้าของร้านคนใหม่ที่เขตส่วนรวมของศิษย์ระดับขั้นต่ำ กลายเป็นผู้ที่รับช่วงต่อจากเมิ่งฮ่าว มันมีความสุขในการที่ได้ดูแลร้านต่อไป โดยมักจะถูตะไบฟันของมันอย่างอิ่มเอิบยินดี และมันยังได้ย้ายไปอาศัยอยู่ในบ้านที่ดีกว่าเดิมในเขตสำนักสายนอก
เมิ่งฮ่าวค่อนข้างจะวุ่นวายในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าสำนักเอกะเทวะจะอยู่ในช่วงตกต่ำ แต่ก็ยังคงมีกฎที่ต้องทำตามมากมาย เมิ่งฮ่าวได้อาบน้ำและสวมใส่ชุดใหม่ เขาได้ไปคุกเข่าโขกศีรษะให้กับรูปของปรมาจารย์เอกะเทวะ และเหล่าปรมาจารย์คนอื่นๆ ของสำนัก แน่นอนว่ามีรายละเอียด และขั้นตอนซับซ้อนมากมาย ในทั้งหมดที่กล่าวมานี้
ตลอดช่วงเวลานี้ เขาไม่ได้เห็นศิษย์พี่หญิงฉื่อเลย ดูเหมือนว่านางไปนั่งเข้าฌาณเพียงลำพัง อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้พบกับศิษย์พี่เฉินฟ่าน ซึ่งอยู่ในชุดยาวสีเงิน
จากครั้งที่เมิ่งฮ่าวได้เห็นศิษย์พี่เฉินในเขตสำนักสายนอก ความประทับใจของเมิ่งฮ่าวต่อศิษย์พี่เฉินก็คือ ศิษย์พี่เฉินไม่ค่อยยิ้มแย้มและเป็นคนที่ล้าสมัย แต่หลังจากที่ได้รู้จักกันมากขึ้น เมิ่งฮ่าวก็พบว่า ไม่ว่าเขาจะถามปัญหาอะไรก็ตาม ศิษย์พี่เฉินก็จะอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดด้วยความอดทน
เมิ่งฮ่าวเริ่มรู้สึกชอบศิษย์พี่เฉินอย่างแท้จริง เขาคิดย้อนกลับถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า ศิษย์พี่เฉินสนใจเพียงแค่เรื่องธรรมะและเต๋า ไม่ได้สนใจเรื่องราวของโลกมนุษย์ปุถุชนทั่วไป ดูแล้วคงเชื่อถือไม่ได้
หลังจากเจ็ดวันได้ผ่านไป เมิ่งฮ่าวก็ได้รับถ้ำแห่งเซียนในเขตสำนักสายในบนภูเขาตะวันออก ซึ่งมีฟองน้ำพุลมปราณที่เต็มไปด้วยพลังลมปราณอันแน่นหนา มากกว่าถ้ำแห่งเซียนก่อนหน้านี้ของเขา
น่าเสียดายที่อารมณ์ดีของเขาต้องเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อครั้งแรกที่เขาได้รับหินลมปราณและเม็ดยาของศิษย์สายใน เขายืนอยู่ที่นั่น จ้องมองลงไปที่หินลมปราณและเม็ดยาอย่างโง่งม
เห็นได้ชัดว่าหินลมปราณพวกนี้ดีกว่าที่แจกให้กับศิษย์สายนอก ทั้งใหญ่กว่าและไม่ได้โปร่งใสโดยสิ้นเชิง แต่เต็มไปด้วยกลุ่มหมอกควันของลมปราณที่เลือนราง สีหน้าเมิ่งฮ่าวเริ่มซีดลง
“นี่เป็นหินลมปราณระดับกลาง?” เมิ่งฮ่าวพึมพำ “และศิษย์สายในได้รับหนึ่งก้อนต่อปี…มันมีค่าเท่ากับหินลมปราณระดับต่ำ หนึ่งร้อยก้อนของศิษย์สายนอก…” ศีรษะเขามึนงงเมื่อเขาได้ดูดซับข้อมูล จากชิ้นหยกโบราณที่อยู่ตรงหน้าของเขา ซึ่งได้อธิบายถึงวิธีการ การระบุและแยกความแตกต่างระหว่างหินลมปราณชนิดต่างๆ เพื่อให้ผู้ฝึกตนใช้ในการรวบรวมลมปราณ
“เหนือหินลมปราณระดับกลาง ก็เป็นหินลมปราณระดับสูง…ซึ่งไม่เคยมีอยู่ในแคว้นจ้าวแห่งนี้ และมีค่าเท่ากับหินลมปราณระดับต่ำ หนึ่งหมื่นก้อนเป็นอย่างน้อย…ช่างเป็นหินลมปราณที่ล้ำค่านัก” เมิ่งฮ่าวเริ่มเกิดความสับสนอยู่ภายในจิตใจ และเขาก็เอาหินลมปราณก้อนใหญ่สองสามก้อน ที่เขามีเหลืออยู่ออกมาจากถุงเก็บสมบัติ สีหน้าของเขายิ่งดูยิ่งบิดเบี้ยว
“เราสามารถบอกมูลค่าของหินลมปราณ จากการดูขนาดและส่วนประกอบภายในของมัน หินลมปราณระดับสูงจะมีขนาดใหญ่สุด และข้างในก็มีหมอกหนาของลมปราณก่อตัวอยู่ อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งของก้อนหินพลังลมปราณที่อยู่ด้านในก็ไม่มีการรั่วไหลออกมา และมีแต่ผู้ฝึกตนที่อยู่ระดับพื้นฐานลมปราณเท่านั้นที่ใช้มันได้”
เมิ่งฮ่าวมองดูหินลมปราณที่อยู่ในมือของเขาอย่างเงียบๆ ขนาดของมันใหญ่กว่าหินลมปราณระดับกลางอย่างน้อยก็สามเท่า และข้างในก็เต็มไปด้วยหมอกลมปราณก่อตัวอยู่จนเต็ม ดูสุกใสแพรวพราว และไม่มีหยดของพลังลมปราณรั่วไหลออกมาเลย
“นี่…นี่คงไม่ใช่หินลมปราณระดับสูงนะ!…ข้าข้าสิ้นเปลืองหินลมปราณระดับสูงไปตั้งสองพันก้อน!” เมิ่งฮ่าวเริ่มใจเสีย และพยายามที่จะปลอบใจตัวเอง โดยการคิดไปถึงความไม่ธรรมดาของกระบี่ไม้ และการที่หวังเถิงเฟยอยากได้มันมากเพียงไร จากนั้นเมื่อคิดไปถึงราคาที่เขาต้องจ่ายให้กับกระจกทองแดงในการผลิตกระบี่ไม้ เขาก็ยังคงไม่เข้าใจถึงราคาของหินลมปราณที่เขาต้องจ่ายไปอยู่ดี…
“แต่ทำไมหินลมปราณก้อนนี้ถึงได้ดูเหมือนว่าจะใหญ่กว่า และข้างในก็มีการก่อตัวของหมอกลมปราณมากกว่า หินลมปราณระดับสูงที่ได้อธิบายอยู่ในแผ่นหยก?”  ใจของเขาเต้นรัว และไม่กล้าที่จะคิดถึงมันไปมากกว่านี้ สีหน้าของเขาซีดขาว และรู้สึกเจ็บปวดลึกเข้าไปถึงแก่นกาย
เขาต้องใช้เวลาสักพักกว่าที่จะควบคุมตัวเองได้ ครั้นแล้วเขาก็เก็บหินลมปราณกลับเข้าไปในถุงเก็บสมบัติ
“มันก็แค่หินลมปราณระดับสูงสองพันก้อนเอง” เมิ่งฮ่าวพึมพำ “ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรหรอก” แต่ขณะที่เขาพูดคำว่า “แค่” น้ำเสียงนั้นช่างขมขื่นยิ่งนัก
หลายวันโบยบินผ่านไป
“ศิษย์น้อง ข้าได้ดูการต่อสู้ของเจ้า เจ้าใช้อาวุธเวทไปมากมาย ถ้ามันหมดแล้ว เจ้าอาจจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยุ่งยาก เจ้าควรไปที่หอเวทให้บ่อยมากขึ้นนะ มันมีบันทึกโบราณเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันปีของสำนักเอกะเทวะอยู่ที่นั่น ซึ่งเจ้าควรที่จะไปศึกษาเอาไว้บ้าง”
“ศิษย์น้อง ข้ามักจะเห็นเจ้าไปล่าสัตว์ตัวเล็กๆ และเอามันมาทำเป็นอาหาร นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ผู้ฝึกตนเช่นพวกเรา ควรที่จะดูดซับพลังลมปราณแห่งผืนฟ้าและพื้นดิน และละทิ้งร่างกายของมนุษย์ปุถุชนทั่วไป ถ้าเจ้ากินเนื้อสัตว์เป็นประจำ เจ้าไม่กลัวว่ามันจะไปทำลายพลังลมปราณของเจ้าหรือไร?”
“ศิษย์น้อง เจ้ามีถุงเก็บสมบัติมากมายบนร่างของเจ้า เจ้าไม่ควรทำเช่นนี้ เจ้าควรจะเก็บของทุกอย่างไว้ในถุงใบเดียว ซึ่งทำให้เป็นการง่ายที่จะหยิบมันออกมา”
หลายวันผ่านไป เมิ่งฮ่าวบังคับตัวเองไม่ให้คิดเกี่ยวกับหินลมปราณ มันใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่เขาจะเข้าใจศิษย์พี่เฉินฟ่านมากยิ่งขึ้น และไม่ช้าเขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ร่วมกับศิษย์พี่เฉินฟ่าน ถูกสั่งให้ต้องทำโน่นห้ามทำนี่อยู่ตลอดเวลา ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าศิษย์พี่เฉินฟ่าน ไม่มีอะไรที่เหมือนกับข่าวลือที่ได้พูดกันในเขตพื้นที่ของสำนักสายเลยนอกแม้แต่น้อย
ถึงแม้ว่าศิษย์พี่เฉินฟ่านจะให้ความสนใจเกี่ยวกับเต๋าเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้เป็นคนเงียบขรึม จริงๆ แล้ว เมื่อศิษย์พี่เฉินฟ่านเริ่มพูดจา ก็จะพูดติดต่อกันไปเป็นชั่วโมง, สองชั่วโมง, สามชั่วโมงไปเรื่อยๆ บางครั้งก็พูดติดต่อกันไปตลอดวัน
ในไม่ช้าก็มาถึงจุดที่ถ้าเมิ่งฮ่าวไม่ไปหาเฉินฟ่าน, ศิษย์พี่เฉินฟ่านก็จะมาหาเขาถึงในถ้ำแห่งเซียน และการพูดจาก็เริ่มต้นขึ้น
เมิ่งฮ่าวไม่สามารถปฏิเสธได้ ทำได้แต่เพียงบังคับตัวเองให้ยิ้มและรับฟังอย่างเงียบๆ บางครั้งเขาก็หลับไปในขณะที่ฟังอยู่ เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่า ศิษย์พี่เฉินฟ่านก็ยังคงพูดอยู่ เขาจึงได้แต่รู้สึกผิดเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
“ในสำนักสายในมีศิษย์น้อยมาก ดังนั้นศิษย์พี่เฉินฟ่านจึงหาคนพูดด้วยไม่ได้ ทำให้กลายเป็นคนที่มีนิสัยแปลกๆ…” ตอนนี้เมิ่งฮ่าวเข้าใจแล้วว่า ทำไมศิษย์พี่หญิงฉื่อถึงมักจะไปนั่งเข้าฌาณเพียงลำพัง แม้แต่เขาก็ยังคิดว่าควรจะไปนั่งเข้าฌาณ เพื่อที่จะหลบหน้าศิษย์พี่เฉิน
เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาออกจากถ้ำแห่งเซียน ศิษย์พี่เฉินก็จะอยู่ที่หน้าถ้ำเพื่อหาเขาเป็นเพื่อนคุย
“เมื่อไหร่ศิษย์พี่หญิงฉื่อถึงจะออกจากการเข้าฌาณสักทีนะ” เมิ่งฮ่าวคิดพร้อมรอยยิ้ม “ข้าเกือบจะรอไม่ไหวที่จะได้เห็นสีหน้าของนาง เมื่อได้เห็นข้า” ตอนนี้เมิ่งฮ่าวใส่ชุดยาวสีเงิน และสายผมที่ยาวสยายของเขาก็พลิ้วไปมาอยู่ด้านหลังของเขา เมื่อเขานั่งอยู่บนก้อนหินบนยอดเขา จ้องมองไปที่ดวงตะวันที่ใกล้จะลาลับฟ้า โดยไม่สนใจศิษย์พี่เฉินที่กำลังพูดโดยอย่างต่อเนื่อง
“ศิษย์น้อง เจ้าคงกำลังอยากรู้ว่าเมื่อไหร่ ที่ศิษย้น้องหญิงฉื่อจะออกจากการเข้าฌาณเป็นแน่” ศิษย์พี่เฉินเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม มองไปที่เมิ่งฮ่าว
“ใช่…หือ, อะไรนะ?”
ทันใดนั้นศิษย์พี่เฉินก็เปลี่ยนเรื่องพูด ปล่อยให้เมิ่งฮ่าวตกอยู่ในความเงียบ
“ไม่จำเป็นต้องอายหรอก, ศิษย์น้อง” ศิษย์พี่เฉินสัพยอกด้วยรอยยิ้ม “ศิษย้น้องหญิงฉื่อชิงเป็นผู้ที่มีความสวยงามตามธรรมชาติ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าจะมีความสนใจในตัวนาง”
เมิ่งฮ่าวชอบศิษย์พี่เฉิน ผู้ที่มีอารมณ์ไม่ซับซ้อน และเข้าหาได้ง่าย เมื่อพวกเขาได้พบกันครั้งแรก ศิษย์พี่เฉินก็มีความยินดีที่จะดูแลเมิ่งฮ่าวในฐานะศิษย์ผู้น้อง
“ฉื่อชิง?” เมิ่งฮ่าวไอออกมา ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนเรื่องพูด “ไม่, ไม่, ข้าไม่เคย…อืม, ใช่แล้ว ศิษย์พี่เฉิน เมื่อสักครู่ท่านได้พูดบางอย่างที่เกี่ยวกับ หลังจากที่ผู้ฝึกตนสำเร็จการรวบรวมลมปราณ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป?”
“หลังจากที่การรวบรวมลมปราณ กลายเป็นพื้นฐานลมปราณ ร่างกายของมนุษย์ธรรมดาก็จะถูกสลัดออกไป นี่เป็นขั้นการฝึกลมปราณที่แท้จริง และก็เป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริงด้วย” ศิษย์พี่เฉินยิ้มไปที่เมิ่งฮ่าวพร้อมกับส่ายหน้า ไม่พูดหยอกล้อเมิ่งฮ่าวอีกต่อไป แต่พูดอย่างอบอุ่นว่า
“ในช่วงขั้นตอนของการสร้างพื้นฐานลมปราณ เสาแห่งเต๋าเก้าต้นจะปรากฎขึ้น ข้างในแกนทะเลสาบลมปราณที่ลึกจนหยั่งไม่ถึงของเจ้า เสาแห่งเต๋าจะเกิดขึ้นมาในร่างกายของเจ้า และนี่ก็เป็นระดับพื้นฐานลมปราณ แน่นอนว่า มันมีระดับพื้นฐานอยู่หลายแบบ ขึ้นอยู่กับวิธีการต่างๆ ที่ใช้ในการสร้างเสาแห่งเต๋า ถ้าปรากฎรอยร้าวขึ้นเก้าจุด มันก็คือ สุดยอดขั้นพื้นฐาน ถ้ารอยร้าวมีสิบแปดจุด ก็จะเป็น รอยร้าวขั้นพื้นฐาน ถ้ามีรอยร้าวมากกว่าสิบแปดจุดขึ้นไป เรียกว่า แตกหักขั้นพื้นฐาน ทั้งหมดนี้ สุดยอดขั้นพื้นฐาน ดีที่สุด, รอยร้าวขั้นพื้นฐาน ดี, แตกหักขั้นพื้นฐาน ธรรมดาทั่วไป
“สำนักเอกะเทวะ เคยมีตำราที่อธิบายถึงวิธีการสร้าง สุดยอดขั้นพื้นฐาน ซึ่งเขียนโดยปรมาจารย์เอกะเทวะ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วในแคว้นจ้าว แม้แต่ดินแดนด้านใต้ก็ยังได้ยินชื่อเสียงของท่าน น่าเศร้าใจ…เมื่อท่านปรมาจารย์ได้หายตัวไป ตำราเล่มนั้นก็หายไปด้วย”
เฉินฟ่านอธิบายทุกสิ่งอย่างช้าๆ และเต็มไปด้วยรายละเอียด นี่เป็นบุคลิกส่วนตัวของศิษย์พี่เฉิน และเมิ่งฮ่าวก็คุ้นเคยกับมันในตลอดหลายๆ วันที่ผ่านมา
“หลังจากพื้นฐานลมปราณ ก็เป็นเส้นทางไปสู่ การสร้างแกนลมปราณ ท่านเจ้าสำนักอยู่ในระดับนี้ หลังจากนั้น เมื่อเจ้าก้าวหน้าไปถึงระดับ วิญญาณแรกก่อตั้ง เจ้าก็จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ และจะเป็นเซียนที่แท้จริงในพื้นปฐพีนี้”
“แล้วหลังจากระดับ วิญญาณแรกก่อตั้ง จะเป็นอะไร?” เมิ่งฮ่าวถาม รับฟังอย่างตั้งใจ และมึความปรารถนาอย่างแรงกล้าอยู่ในใจ
“หลังจากระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง ก็คือตัดวิญญาณ ซึ่งเป็นระดับที่ท่านปรมาจารย์บรรลุถึง มันเป็นระดับที่ยากมากที่สุด เป็นระดับที่ชีวิตเหมือนกับแขวนอยู่บนเส้นด้าย ตัดวิญญาณ เกี่ยวข้องกับการที่ต้องละทิ้งตัดขาดจากหลายสิ่งหลายอย่าง ก่อนที่จะฝึกสำเร็จ ซึ่งทำให้ปีนั้น ท่านปรมาจารย์เอกะเทวะ ได้จากสำนักไปเพื่อนั่งเข้าฌาณเพียงลำพัง และยังคงไม่กลับมาจวบจนถึงบัดนี้”
เฉินฟ่านพูดอย่างใจเย็นตลอดของการอธิบาย แสดงออกอย่างชัดเจนถึงการอบรมสั่งสอน
“บางทีในสักวันหนึ่ง ข้า, เมิ่งฮ่าว จะมีโอกาสบรรลุถึงระดับตัดวิญญาณ” เขาพึมพำ “หลังจากนั้นเป็นอะไรอีก?”
“ระดับหลังจากตัดวิญญาณห่างไกลมาก” เฉินฟ่านพูดเสียงเบา “ข้าไม่ทราบรายละเอียด เจ้าต้องไปที่ดินแดนด้านใต้เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับมัน อย่างไรก็ตาม จุดหลักของมันก็คือ การขึ้นสวรรค์ของเซียน”
“การขึ้นสวรรค์ของเซียน?”
“การขึ้นสวรรค์ของเซียน”
สายลมแห่งขุนเขาพัดมาอย่างอ่อนโยน ทำให้เส้นผมของศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองสะบัดพริ้วไปมา ชักนำเสียงของพวกเขาลอยไปยังที่ห่างไกล
“ศิษย์น้อง ถ้าเจ้าได้ออกไปสู่โลกภายนอก เพื่อฝึกฝนตัวเองต่อไปในวันใดวันหนึ้งข้างหน้านี้ เจ้าต้องไม่จำกัดขอบเขตของตัวเองให้อยู่แต่ในแคว้นจ้าวแห่งนี้”
ศิษย์พี่เฉินมองดูเมิ่งฮ่าวอย่างเมตตา “อย่าลืมว่า แคว้นจ้าวเป็นแคว้นที่อยู่ห่างไกล จากดินแดนด้านใต้ ของอาณาเขตหนานซาน พลังลมปราณของที่นี่ไม่ได้หนาแน่นสมบูรณ์ และมีผู้ฝึกตนไม่มากนัก”
“ดินแดนด้านใต้ จึงจะเป็นดินแดนแห่งเซียนอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่ากฎแห่งป่าของที่นั่นจะโหดร้ายและป่าเถื่อน แต่มันก็เป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งที่สุด ในพื้นที่ทิศใต้ของอาณาเขตหนานซานอย่างแท้จริง มีผู้กล้าอยู่มากมาย เช่นเดียวกับผู้ถูกเลือก เมื่อเปรียบเทียบกับที่นั่น แคว้นจ้าวค่อนข้างจะเงียบและสงบสุขเกินไป ผู้ฝึกตนเช่นพวกเรา ควรจะต้องปีนป่ายไปให้ถึงยอดเขา และเหยียบย่ำกองกระดูกเพื่อความสำเร็จ”
ประกายแสงแปลกๆ เติมเต็มอยู่ในดวงตาของศิษย์พี่เฉิน ราวกับว่าไม่ได้พูดกับเมิ่งฮ่าว แต่กำลังพูดกับตัวเองอยู่
เมิ่งฮ่าวรู้สึกถูกกระตุ้นเล็กน้อยจากคำพูดของศิษย์พี่เฉิน ก่อนหน้านี้เขาค่อนข้างโง่เขลา แต่เมื่อมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ถูกอธิบายอย่างชัดเจน หลงเหลืออยู่ในหัวของเขา ราวกับว่าทันใดนั้น แผนที่ขนาดใหญ่ก็ได้ม้วนกลิ้งออกมาแสดงอยู่ตรงหน้าของเขา หนึ่งในแผนที่เป็นอาณาจักรต้าถังในดินแดนตะวันออกอันห่างไกล และกลุ่มผู้กล้าในดินแดนด้านใต้
“การทีจะดำเนินตามเส้นทางของวิถีแห่งเซียน จำเป็นต้องตัดขาดจากโลกมนุษย์ ตอนนี้เจ้าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอีกต่อไปแล้ว เจ้าคือผู้ฝึกตน จุดหมายปลายทางของเจ้าก็คือการต่อต้านสวรรค์ ถ้าเจ้าไม่เข้มแข็งเพียงพอ เจ้าก็จะไร้คุณสมบัติในการคงอยู่ ถ้าเจ้าไม่แข็งแกร่ง เจ้าก็ไม่สามารถฝึกฝนตัวเองได้ ถ้าเจ้าไม่แกร่งกร้าว เจ้าก็ไม่มีสิทธืมีชีวิตอยู่ แต่จะพบเจอกับการถูกเหยี่ยบย่ำซ้ำเติม เจ้ายินดีที่จะมีชีวิตอยู่เช่นนี้หรือไม่?”
ศิษย์พี่เฉินจ้องไปที่เมิ่งฮ่าว เมื่อคำพูดของศิษย์พี่เฉินจ้องผ่านเข้าไปในหูของเมิ่งฮ่าว และจมลึกลงไปในจิตใจของเขา ดวงตาของเขาก็เริ่มทอประกาย และเขาก็เริ่มคิด
“ข้าเป็นนักศึกษาจากเมืองหยุนเจี๋ย พ่อแม่ของข้าก็หายไปตอนที่ข้ายังเป็นเด็ก และความฝันของข้าก็มักจะอยากเป็นผู้ร่ำรวย ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อย่างแร้นแค้นอีกครั้ง และอยากจะไปเยือนอาณาจักรต้าถังในดินแดนตะวันออกที่ห่างไกลสักครั้งในชิวิต”
สายลมเย็นตอนกลางคืนพัดพาผมที่ยาวสยายของเขาสะบัดพริ้ว เมื่อเขาตกอยู่ในภวังค์ เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในปีนั้น บนยอดเขาของภูเขาต้าชิง

About wuxiathai

Organic Theme is officially developed by Templatezy Team. We published High quality Blogger Templates with Awesome Design for blogspot lovers.The very first Blogger Templates Company where you will find Responsive Design Templates.

Copyright © 2015 ผนึกสวรรค์ สยบมาร สะท้านเทพ

Designed by Templatezy | Distributed By Gooyaabi Templates