“เมิ่งฮ่าว!” หวังเถิงเฟยคิด ดวงตาของมันทันใดนั้นก็เปล่งแสงอย่างลี้ลับออกมา มันรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากนิ้วชี้ที่มือขวาขึ้นมาในทันที นิ้วชี้เป็นสีดำสนิท และด้านในก็มองเห็นกลิ่นอายสีดำไหลวนไปมา
การที่ได้เห็นเมิ่งฮ่าวอยู่ที่นี้ ก็เป็นสิ่งที่หวังเถิงเฟยไม่เคยคาดคิดมาก่อน หลายปีได้ผ่านไป แต่มันก็ยังจำเขาได้ในทันที นี่เป็นผู้ฝึกตนบัดซบจากแคว้นจ้าว ซึ่งได้ขโมยขุมทรัพย์ของมันไป และทำลายแผนการที่มันวาดไว้อย่างดีจนหมดสิ้น
ทันทีที่มันเห็นเมิ่งฮ่าว ลมหายใจของหวังเถิงเฟยก็เร่งร้อนขึ้น มันเคยคิดว่าเมิ่งฮ่าวจะหายไปพร้อมกับแคว้นจ้าว มันจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะมาปรากฎตัวขึ้นในที่นี้? ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้อยู่ในกลุ่มของสำนักกูตู๋เจี้ยน ความคิดมากมายวิ่งผ่านจิตใจของมันตลอดชั่วไม่กี่อึดใจ จากนั้นมันก็รวบรวมสติ และมองไปทางอื่น
“เมื่อมันอยู่ที่นี่” หวังเถิงเฟยคิด “ข้าต้องหาโอกาสนำมันมาเป็นเครื่องสังเวยให้กับดรรชนีของข้า” สีหน้าของมันเยือกเย็น มันค่อยๆ เริ่มแสดงถึงความไม่ยอมรับในตัวเมิ่งฮ่าว เช่นเดียวกับที่มันได้ทำเมื่อหลายปีมาแล้ว ราวกับว่ามันจะอยู่เหนือเมิ่งฮ่าวตลอดไปชั่วกัลปาวสาน ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในแคว้นจ้าว หรือดินแดนด้านใต้ มันไม่เคยสนใจเมิ่งฮ่าวเลยแม้แต่น้อย มันเป็นสมาชิกของตระกูลหวัง มันเป็นผู้ถูกเลือก มันเป็นผู้ที่เหนือกว่า สำหรับเมิ่งฮ่าว ไม่ว่าเขาจะมีความสัมพันธ์อันใดกับสำนักกูตู๋เจี้ยน สำหรับมัน เมิ่งฮ่าวไม่ใช่อะไร นอกเหนือไปจากแมลงเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น
มันมีท่าทางสง่างาม และภาวะอารมณ์อันไร้ที่ติ มันยืนอยู่ที่นั่น ค่อยๆ กลายเป็นจุดดึงดูดความสนใจอย่างช้าๆ มันเผยอยิ้มน้อยๆ ออกมา ด้วยสีหน้าที่เฉยเมย ความไม่สนใจในตัวเมิ่งฮ่าว ซึ่งเกิดขึ้นในจิตใจของมัน ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นการดูถูก และหยิ่งผยอง มันเชิดหน้าขึ้น และแสดงให้เห็นว่า เมิ่งฮ่าวไม่มีอะไรสำหรับมัน และมันสามารถจะบดขยี้เขาได้ตามอำเภอใจเมื่อไหร่ก็ได้
ในเวลาเดียวกันนั้น หวังซีฟ่านก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย มันมองไปยังเมิ่งฮ่าวอีกครั้ง และความลี้ลับก็ปรากฎขึ้นในดวงตาของมัน รอยยิ้มดึงมุมปากของมันขึ้น เป็นรอยยิ้มเช่นเดียวกับหวังเถิงเฟย เต็มไปด้วยการดูถูกไม่นำพา
ตอนนี้มันจำได้ถึงภาพเมื่อหลายปีมาแล้ว มันจำได้ว่า มดเล็กๆ ตัวนี้ เกือบจะถูกมันบดขยี้อยู่บนยอดเขา ของภูเขาตะวันออกสำนักเอกะเทวะ แต่ก็ถูกสกัดไว้โดยเฮ่อหลัวฮว่า
“น่าสนใจ” มันพูดพร้อมหัวเราะเสียงหึๆ ออกมา คำพูดของมันไม่ได้ดังก้องออกไป ได้ยินเพียงหวังเถิงเฟยเพียงคนเดียว “พวกเรามาพบกับเจ้าเด็กที่อวดดีผู้นี้อีกแล้ว เถิงเฟย, นี่เป็นโอกาสที่เจ้าจะรวบยอดทั้งหมดจากเมื่อหลายปีมาแล้ว สังหารมัน เพื่อพิสูจน์ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าได้บอกเจ้าเป็นความจริง เจ้าเป็นผู้ถูกเลือก และมันก็ไม่ใช่อะไรนอกจากแมลงตัวเล็กๆ เท่านั้น”
หวังเถิงเฟยยิ้ม “ข้าได้เลิกคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นมานานแล้ว” มันพูดเสียงราบเรียบ “แต่ข้าก็ควรจะเอาศีรษะมันมาจริงๆ” มันมองไปยังเมิ่งฮ่าวอีกครั้ง และดวงตาก็เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในความสามารถที่จะสังหารเขาออกมา มันช่างง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ มันมองไปทางอื่น ไม่สนใจเมิ่งฮ่าว และจ้องไปยังที่ห่างไกล มันทำท่าครุ่นคิดอีกครั้ง ราวกับว่า มันกำลังต่อสู้กับเรื่องราวบางอย่างอยู่ในจิตใจ
“อย่าได้คิดมากไป” หวังซีฟ่านพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้าต้องเชื่อมั่นในตัวฉู่อวี้เยียน”
หวังเถิงเฟยเงียบไปนาน จากนั้นก็คำรามออกมา “ถ้าข้ารู้ว่ามันเป็นใคร ข้าจะฉีกมันออกเป็นพันๆ ชิ้น!!” ดวงตามันเต็มไปด้วยความเย็นชา, ความเกลียดชัง และความอัปยศอดสู รังสีสังหารกระจายออกมาจากร่างมัน เข้มข้นรุนแรงกว่าตอนที่มันได้เห็นเมิ่งฮ่าว เรื่องนี้เป็นสิ่งที่มันไม่อาจจะเพิกเฉยได้ เป็นบางสิ่งที่มันไม่อาจจะทำใจให้เยือกเย็นลงได้
ใบหน้าเมิ่งฮ่าวยังคงสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย การที่ได้เห็นหวังเถิงเฟยในที่นี้ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน แต่ก็เป็นเหตุให้ความรู้สึกต่างๆ ลอยขึ้นมาภายในจิตใจของเขา
ความเป็นศัตรูระหว่างเขา และหวังเถิงเฟย ไม่มีอะไรที่เขาต้องสนใจมากมายนัก ผ่านไปแล้วหลายปี และในตอนนี้ เมิ่งฮ่าว ก็รู้สึกว่าจริงๆ แล้ว เขาก็เลือดร้อนไปบ้างในช่วงเป็นวัยรุ่น ยังมีบางเรื่องที่เขาได้ทำผิดไปอย่างแน่นอน
ตอนนี้ พลังฝึกตนของเมิ่งฮ่าวอยู่ขั้นกลางของพื้นฐานลมปราณ และประสบการณ์ต่อสู้ก็ทำให้เขาอยู่ในระดับเดียวกับเต้าจื่อ แต่ก็มีเพียงคนส่วนน้อยที่รู้เรื่องนี้ ในความคาดคิดของเมิ่งฮ่าว ถ้าเขาสามารถกำจัดหวังเถิงเฟย ตั้งแต่อยู่ในขั้นรวบรวมลมปราณ ทุกวันนี้ก็ไม่ต้องแม้แต่จะไปคิดเกี่ยวกับมัน
สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็คือ การคัดเลือกบุตรเขยของตระกูลซ่ง และไข่มุกสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ ซึ่งซ่งเหล่าไกว้ได้พูดไว้เมื่อครู่นี้ ว่ามันสามารถขจัดพิษที่แปลกที่สุดในโลกนี้ได้ และนั่นก็ทำให้จิตใจของเมิ่งฮ่าวสั่นระรัวด้วยความกระตือรือร้น
เขาไม่มั่นใจว่าไข่มุกสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ จะสามารถขจัดพิษของดอกปี่อ้านได้หรือไม่ แต่เมื่อคิดว่าตระกูลซ่งได้เสนอมันเป็นของรางวัล มันก็ต้องเป็นสิ่งของที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ข้าอยากรู้นักว่าจริงๆ แล้ว มันสามารถขจัดพิษ…ถ้ามันขจัดได้ บางทีข้าก็ไม่จำเป็นต้องแฝงตัวเข้าไปในสำนักจื่อยิ่น การได้อยู่ในสำนักกูตู๋เจี้ยนก็ไม่เลวนัก” จิตใจของเขาหนักอึ้งด้วยความมุ่งหวัง ขณะที่เขาเดินไปบนวิถีแห่งการฝึกตน อุปสรรคอันยิ่งใหญ่ต่อไปของเขาก็คือ ขั้นสร้างแกนลมปราณ ซึงเป็นสะพานที่ยากเย็นแสนเข็ญในการก้าวผ่านไป และการเข้าสังกัดสำนักที่แข็งแกร่ง ก็เป็นสิ่งที่ช่วยได้อย่างแน่นอน
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
ด้านบนขึ้นไป ซ่งเหล่าไกว้, ผู้อาวุโสฝาน และผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งจากตระกูลหวัง กลายเป็นลำแสงพุ่งตรงไปยังความมืด ซึ่งปกคลุมไปรอบๆ ตระกูลซ่ง
สมาชิกอีกสองคน ที่มาพร้อมกับซ่งเหล่าไกว้ พวกมันแยกออกจากกัน หนึ่งคนเดินตรงมายังกลุ่มสำนักกูตู๋เจี้ยน และอีกคนก็ตรงไปยังกลุ่มตระกูลหวัง
พวกมันประสานมือ และค้อมตัวลง พูดพร้อมรอยยิ้ม “สหายเต๋าจากสำนักกูตู๋เจี้ยน และตระกูลหวัง ได้โปรดติดตามพวกเราไป พวกเราจะเข้าไปยังเทือกเขาตระกูลซ่งด้วยกัน”
ทุกคนบินขึ้นไปในอากาศ สมาชิกต่างๆ ของสำนักกูตู๋เจี้ยน และตระกูลซ่ง เห็นได้ชัดว่าคุ้นเคยกัน ทั้งสองกลุ่มรวมเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ เสียงพูดคุยและหัวเราะได้ยินมา ขณะที่พวกมันกลายเป็นลำแสง พุ่งตรงไปยังตระกูลซ่ง
เมิ่งฮ่าวและเฉินฟ่านอยู่ที่ขอบรอบนอกของกลุ่ม ค่อนข้างห่างไกลออกไปจากผู้ฝึกตนตระกูลหวัง หวังเถิงเฟยบินไปด้วยใบหน้าเย็นชา มันขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่ากำลังยุ่งอยู่กับการครุ่นคิด มากกว่าที่จะมาสนใจเมิ่งฮ่าว
ทั้งหมดบินไปด้วยความเร็วสูงสุด ในไม่ช้า ก็มาถึงพื้นที่สว่างที่อยู่ในโลกด้านนอก ซึ่งติดกับความมืดของตระกูลซ่ง ทันทีที่พวกเขาผ่านเข้าไป ใจเมิ่งฮ่าวก็เต้นแรงขึ้น เขาเพิ่งจะพบว่า ความแตกต่างหลัก ระหว่างโลกด้านนอก และในตระกูลซ่ง ก็คือ ลมปราณในที่นี้…เขาสามารถรู้สึก และดูดซับมันได้!!
เรื่องที่ไม่คาดฝันนี้ ทำให้จิตใจของเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน แน่นอนว่า หลังจากการฝึกตนของเขาในหลายปีที่ผ่านมา เขาสามารถป้องกันความรู้สึกไม่ให้แสดงออกมาบนใบหน้า ดังนั้นสีหน้าของเขาในตอนนี้จึงยังคงสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย
“มันกลายเป็นว่า…ข้าสามารถดูดซับพลังลมปราณได้ในสถานที่แห่งนี้! นี่เป็นสถานที่อันสมบูรณ์แบบสำหรับข้า ที่จะฝึกวิถีแห่งเซียน!” การค้นพบนี้เกินกว่าจินตนาการทั้งหมดของเมิ่งฮ่าว เขาเพียงแค่เตรียมตัวโคจรพลังลมปราณ และเริ่มดูดซับปราณเข้าไป เมื่อความคิดเกิดประกายแวบขึ้นในจิตใจ เขาก็หยุดการดูดซับปราณนั้นในทันที
หนึ่งในเครื่องมือซึ่งเมิ่งฮ่าวได้พัฒนาขึ้น หลังจากที่ได้หลบหนีออกมาจากหลุมพรางและกับดักต่างๆ ทั้งหมดตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็คือ ความระมัดระวังตัว ดังนั้น เขาต้องระวังในสถานที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน
เขามองไปรอบๆ และในไม่ช้าก็เริ่มรวบรวมเบาะแสได้บางส่วน ขณะที่ศิษย์สำนักกูตู๋เจี้ยนบินตรงไป พวกมันต่างก็ขมวดคิ้วกันทุกคน
“พวกเราไม่อาจดูดซับลมปราณในสถานที่แห่งนี้ได้…” เฉินฟ่านกระซิบกับตัวเอง “ข้าเคยได้ยินมาก่อนว่าตระกูลซ่งแปลกประหลาด และก็ดูเหมือนว่ามันเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่า มีเพียงสมาชิกของตระกูลซ่งเท่านั้น ถึงจะสามารถหายใจเพื่อดูดซับลมปราณในที่นี้ได้ สำนักและตระกูลอื่นๆ ไม่สามารถทำได้ ไม่ใช่ว่าลมปราณในที่นี้เป็นของต้องห้าม แต่เป็นพวกเราที่ไม่สามารถดูดซับมันได้เอง”
เวลาผ่านไปไม่นาน เมื่อได้เห็นภูเขาทั้งหมด และเมืองต่างๆ ที่เต็มไปด้วยผู้ฝึกตนผ่านไปที่เบื้องล่างเขา เมิ่งฮ่าวก็เต็มไปด้วยความรู้สึกอันลี้ลับ หลังจากบินผ่านภูเขาจำนวนมากมาย พวกเขาก็มาถึงเมืองหลวงของตระกูลซ่ง
ภายในเมืองหลวงมีพื้นที่จัตุรัสขนาดใหญ่อยู่ ผู้ฝึกตนมากมายจากนอกตระกูลซ่งได้มาถึง และอยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นสมาชิกของสำนักจินซวง และสำนักเซี่ยเยา
สถานที่แห่งนี้มีชีวิตชีวาขึ้นมาด้วยกลุ่มคน และเสียงพูดคุยที่เต็มอยู่ในอากาศ
แม้แต่ก่อนที่ผู้ฝึกตนสำนักกูตู๋เจี้ยน และตระกูลหวังจะร่อนลงไป เสียงก็ดังลอยขึ้นมาในอากาศ “แน่นอนว่า มันเป็นเรื่องจริง ข้า, โจวต้าหยา เห็นทุกสิ่งทุกอย่างด้วยสองตาของข้าเอง ในวันนั้น ฉู่อวี้เยียนไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าของนางเอง แต่นางกำลังสวมใส่เสื้อผ้าของบุรุษ! ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนนางจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ฝึกตนบุรุษผู้นั้น พวกเจ้าไม่เชื่อข้า? ข้า, โจวต้าหยา ขอสาบานว่า ถ้ามีคำพูดใดผิดไปจากนี้ พวกเจ้าสามารถควักลูกตาของข้าออกไปได้เลย!”
บุคคลที่กำลังพูดอยู่นั้น เป็นผู้ฝึกตนหนุ่ม มันกำลังพูดอย่างเมามัน จนน้ำลายกระเซ็นออกมาจากปาก มันจ้องไปยังสมาชิกตระกูลซ่งที่อยู่รอบๆ ด้วยความฮึกเหิม ดวงตาสาดประกาย ขณะที่มันพูด มันโบกไม้โบกมือขึ้นลงไปมาอย่างรวดเร็ว สมาชิกตระกูลซ่งสิบกว่าคนที่ล้อมรอบอยู่ ต่างก็มองไปด้วยความประหลาดใจ
ผู้ฝึกตนจากสำนักเซี่ยเยา อยู่ด้านข้างออกไป พวกมันนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่นด้วยความเงียบสงบ และในท่ามกลางพวกมันก็เป็น หลี่ชือฉี ซึ่งอยู่ในชุดยาวสีขาว!
ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกายหลี่ชือฉีมีอยู่สองคน หนึ่งคนคือพี่ชายของซ่างหลัว และอีกคนไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหวังโหย่วฉาย
หวังโหย่วฉายกำลังมองไปยังกลุ่มคนจากสำนักจินซวงอย่างเงียบๆ ในท่ามกลางพวกมันมีศิษย์ที่ค่อนข้างอ้วน ใบหน้ามีสิวขึ้นเล็กน้อย รูปร่างไม่ได้สูงนัก และตอนนี้มันกำลังยิ้มอย่างพออกพอใจไปยังโจวต้าหยา นี่ไม่ใช่ใครนอกจาก หลี่ฟูกุ้ย
เมื่อคนทั้งสองได้เข้ามาพบกันก่อนหน้านี้ เจ้าอ้วนก็พบกับความประหลาดใจว่า หวังโหย่วฉายได้ตอบรับอย่างเย็นชา กับความพยายามของมันที่จะเริ่มต้นพูดคุย และยังได้แสร้งเป็นไม่รู้จักมัน ในตอนนั้น มันไม่แน่ใจว่าต้องทำอย่างไร ได้แต่แอบถอนหายใจอยู่ลึกๆ ด้านใน
“พวกท่านคงคิดไม่ถึงกับสีหน้าของฉู่อวี้เยียน” โจวต้าหยาพูดต่อไป “ข้าเดาว่า พวกท่านคงได้แต่พูดว่ามันช่างมหัศจรรย์นัก และบุรุษผู้นั้น มันก็ช่างหล่อเหลาไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง เป็นมังกรในท่ามกลางเหล่าบุรุษ จริงๆ นะ พวกมันโอบกอดซึ่งกันและกัน และพูดคำหวานต่อกัน ขณะที่มือของพวกมันควานไปมาซึ่งกันและกันอย่างเมามัน, พวกมันเริ่มหอบหายใจ…” ขณะที่มันพูด โจวต้าหยาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น
หลี่ฟูกุ้ย ทันใดนั้น ก็ส่งเสียงกระแอมไอออกมา และพูดจาเสียงดังฟังชัดว่า “ข้าสามารถเป็นประจักษ์พยานในเรื่องนี้” มันกล่าว “ข้าได้อยู่ในที่นั้นด้วย อ้าย, ตอนแรกข้าก็คิดว่าจะกล่าวตักเตือนพวกมัน ก็เหมือนกับที่เหล่าสหายเต๋าทั้งหลายรู้ดี, สหายเต๋าฉู่อวี้เยียนเป็นคนรักของสหายเต๋าหวังเถิงเฟย และแน่นอนว่า สหายเต๋าหวังเถิงเฟย และข้า เป็นสหายสนิทกัน”
“ดังนั้น, เมื่อข้าได้เห็นเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น ข้าต้องการจะพูดออกมา แต่…อ้าย, พวกท่านต้องไม่มีทางรู้ว่าพวกมันทั้งสองคนมีท่าทีอย่างไร เห็นได้ชัดว่า ความรู้สึกระหว่างคนทั้งสองเป็นความรักที่แท้จริง” ขณะที่เสียงของมันดังออกมา ใบหน้าของสมาชิกตระกูลซ่ง ต่างก็เต็มไปด้วยสีหน้าแปลกๆ
พวกมันรู้จักเจ้าอ้วน แน่นอนว่า มันเป็นสมาชิกของสำนักจินซวง ซึ่งไม่มีใครกล้าไปตอแยด้วย มันเป็นของวิเศษของสำนัก และด้วยเช่นนั้น ทำให้มันมีตำแหน่งที่สูงส่งเป็นอย่างยิ่ง ใครก็ตามที่ไปมีเรื่องกับมัน ก็จะต้องเผชิญพบกับความโกรธเกรี้ยวของทั้งสำนักจินซวง การทำเช่นนั้นก็เหมือนกับการไปถูขนแมวย้อนกลับ
นี่เป็นเพราะสำนักจินซวงมีทายาทสายโลหิตอยู่สิบแปดคน ด้วยการรวมพลังของพวกมันเข้าด้วยกัน สำนักจินซวงก็จะสามารถสร้างพลังของเวทอาคมกองหนุนเต๋าอันยิ่งใหญ่ออกมาได้ จากข่าวลือที่พูดกันมา พลังของเวทอาคมนี้ช่างน่าเหลือเชื่อนัก มันสามารถแม้แต่จะสังหารเซียนอมตะได้!
แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ สำนักจินซวงก็มีสายโลหิตอยู่เพียงแค่สิบเจ็ดคน คนสุดท้ายได้หายไป และไม่ว่าทางสำนักจินซวงจะค้นหาอย่างยากลำบากเพียงใด ก็ไม่อาจหาเจอ ไม่มีใครที่จะตกทอดเป็นทายาทสืบต่อ ดังนั้น หลายปีมาแล้วที่พลังขั้นสูงสุดของเวทอาคมของสำนักจินซวง ไม่สามารถปลดปล่อยออกมาได้ แต่กลายเป็นว่า หลี่ฟูกุ้ย เหมาะสมที่จะได้รับการเป็นทายาทสืบต่อ ดังนั้น มันจึงถูกปฏิบัติราวกับเป็นของวิเศษของสำนัก ผู้ดูแลกฎของสำนักก็มักจะปฏิบัติต่อมันด้วยอัธยาศัยอันดี และปกป้องคุ้มครองมันเป็นอย่างดี ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่า ทั่วทั้งสำนักพร้อมที่จะให้บริการมันตลอดเวลา
ยิ่งไปกว่านั้น…เจ้าอ้วนไม่ชอบจะฝึกวิถีเซียน และไม่ต้องการให้มีผู้พิทักษ์เต๋ามาคุ้มครองมัน
เมื่อไหร่ที่มันออกไปด้านนอกสำนัก ศิษย์กลุ่มใหญ่ของสำนักจินซวงก็จะติดตามไปด้วย ทางสำนักมักกังวลว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับมัน สิ่งที่มากที่สุดซึ่งเคยเกิดขึ้นก็คือ ครั้งหนึ่งหลังจากที่มีใครบางคนมาตอแยหลี่ฟูกุ้ย ผู้คุมกฎของสำนักก็ได้สังหารมันหมดทั้งสำนัก หลังจากนั้น ก็ได้ประกาศไปทั่วทั้งดินแดนด้านใต้ว่า ใครก็ตามที่บังอาจแม้แต่จะไปแตะต้องหลี่ฟูกุ้ย ก็จะเป็นการตอแยโทสะของทั่วทั้งสำนักจินซวง