ใบหน้าเมิ่งฮ่าวยังคงสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย เขาไม่ได้ขยับตัวแม้แต่น้อยนิด มองอย่างเรียบเฉยไปยังคนแซ่หลี่ที่กำลังเยาะเย้ยอยู่ และโจวซานเยี่ยที่มีสีหน้าดุร้าย ซึ่งยืนอยู่ที่ข้างกายมัน
เฉินฟ่านดูท่าทางมีโทสะ มันรู้ว่าศิษยพี่หลี่ และโจวซานเยี่ยไม่ได้ชอบมันมากเท่าไหร่ แต่ก็ไม่กล้ามาหาเรื่องมัน เนื่องจากมีดบินเล่มนั้น จึงทำให้พวกมันไม่กล้าทำอะไรมากมายนัก
แต่เมื่อมีเมิ่งฮ่าวอยู่ด้านข้าง ก็ทำให้เกิดความยุ่งยากนับไม่ถ้วนจากความมุ่งร้ายของคนทั้งสอง
“ถ้าเจ้าต้องการต่อสู้ เจ้าทั้งสองก็มาต่อสู้กับข้าเป็นอย่างไร?” เฉินฟ่านพูดเสียงเย็นชา
“เมื่อเป็นศิษย์ร่วมสำนัก พวกเราก็ไม่มีอะไรให้เรียนรู้จากอีกฝ่าย” ผู้แซ่หลี่หัวเราะ “ข้าอยากจะรู้ว่าข้าสามารถรับมือคนภายนอกผู้นี้ได้สักท่าสองท่าหรือไม่ ศิษย์น้องเฉิน เจ้าคงไม่อาจจะไม่ยอมให้พวกเราแลกเปลี่ยนวิชากันจริงๆ ใช่หรือไม่?”
เฉินฟ่านแค่นเสียงอย่างเย็นชาออกมา คว้าจับเมิ่งฮ่าวเตรียมจากไป เมิ่งฮ่าวยิ้ม เขาพบว่าสถานการณ์ในตอนนี้น่าสนุกนัก แต่เฉินฟ่านก็ดูเหมือนจะพยายามป้องกันความปลอดภัยให้กับเมิ่งฮ่าว และเขาก็ไม่ต้องการจะปฏิเสธความหวังดีของมัน เขากำลังจะเดินตามเฉินฟ่านไป เสียงของโจวซานเยี่ยก็ดังเข้มขึ้นมา
“ถ้าเจ้าหวาดกลัว พวกเราก็เข้าใจ” ศิษย์สำนักกูตู๋เจี้ยนที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นทั้งหมดหัวเราะเสียงดังออกมา “เชนนี้เป็นอย่างไร ศิษย์พี่หลี่จะจำกัดพลังไว้ที่ขั้นกลางของพื้นฐานลมปราณ ซึ่งก็น่าจะยุติธรรมดี จริงๆ แล้ว พวกเราก็แค่ต้องการดูว่าคนภายนอกเช่นเจ้าจะมีวิชาเวทอันใด ศิษย์น้องเฉิน นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า เจ้าไม่อาจจะให้มันหลบซ่อนอยู่ด้านหลังเจ้าตลอดไป”
ศิษย์สำนักกูตู๋เจี้ยนโดยทั่วไปแล้ว มักจะไม่ได้ใกล้ชิดกับคนภายนอก พวกมันส่วนมาก ถึงแม้จะไม่ต้องการเยาะเย้ยศิษย์พี่เฉิน แต่ก็ยังคงตื่นเต้นเมื่อได้เห็นภาพที่กำลังเกิดขึ้นตรงเบื้องหน้า
เฉินฟ่านไม่สนใจพวกมัน ฉุดดึงเมิ่งฮ่าวให้ไปต่อ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของโจวซานเยี่ย ก็ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องหยุดลงในทันที เขาหมุนตัว และมองไปยังผู้แซ่หลี่ และโจวซานเยี่ย ซึ่งพยายามกลบบังสีหน้าก้าวร้าวที่ปรากฎขึ้นบนใบหน้าไว้
“เมื่อไม่ใช่การต่อสู้ถึงตาย พวกเราก็จำเป็นต้องมีเดิมพัน” เขากล่าว พยายามทำเสียงให้เหมือนกับไม่อาจจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้นี้ได้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ศิษย์สำนักกูตู๋เจี้ยนที่มุงดูอยู่รอบๆ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมามากกว่าเดิม พวกมันหลายคนมีพลังฝึกตนต่ำกว่าเมิ่งฮ่าว แต่พวกมันก็เป็นศิษย์ของสำนักกูตู๋เจี้ยน ซึ่งเป็นสำนักอันดับหนึ่งในดินแดนด้านใต้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกมันรู้สึกว่า ค่อนข้างจะเหนือกว่าคนจากสำนักอื่นๆ
โจวซานเยี่ยหัวเราะ เช่นเดียวกับบุรุษวัยกลางคนแซ่หลี่
“เยี่ยมมาก” คนแซ่หลี่พูด “ถ้าเจ้าเลิกหลบซ่อนอยู่ด้านหลังศิษย์น้องเฉิน และกล้าต่อสู้กับข้า ก็ไม่เป็นไรถ้าจะเดิมพันเล็กๆ น้อยๆ ข้ามีกระบี่วิเศษ รวมทั้งหินลมปราณอีกหมืนก้อน!” มันหัวเราะ ตบไปที่ถุงสมบัติ กระบี่สีฟ้าปรากฎขึ้น หมุนวนไปรอบๆ ตัว ดูไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่ แต่ก็ดูไม่ธรรมดาเช่นกัน
“ศิษย์น้อง, เจ้า…” เฉินฟ่านกล่าวขึ้น
มันกำลังจะพูดต่อ แต่เมิ่งฮ่าวที่มีสองตาแดงก่ำ จ้องมองมา และพูดแทรกขึ้นว่า “หินลมปราณแค่หยิบมือ และกระบี่ไม่เพียงพอสำหรับเมิ่งฮ่าว เพิ่มเดิมพันลงไปอีก และข้าจะต่อสู้กับท่าน!”
เสียงของเขาดังก้องออกไป คำพูดของเขา และสีหน้าที่แสดงออกมาในตอนนี้ เป็นสิ่งที่เขามักจะใช้เมื่อนานมาแล้ว เขาได้เผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้มากมาย เมื่ออยู่ในแคว้นจ้าว ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่ได้ใช้หอกทองคำที่อยู่ในถุงจักรวาลเลย…
กลุ่มคนที่มุงดูรอบๆ หัวเราะเสียงดังออกมา คนแซ่หลี่มองไปยังเมิ่งฮ่าว สีหน้าเยาะเย้ยของมันขยายเพิ่มมากขึ้น
“ก็ดี” มันพูด “ไม่ว่าเจ้าวางเดิมพันอะไร ข้าก็จะวางลงไปด้วยมูลค่าเท่ากัน”
ด้านข้างมัน, โจวซานเยี่ยหัวเราะ “ไม่มีปัญหา” มันพูด “ไม่ว่าเจ้าจะวางสิ่งใด ถ้าศิษย์พี่หลี่วางเดิมพันด้วยมูลค่าเท่ากัน ข้าก็จะวางด้วยเช่นกัน!” มันชำเลืองไปยังเฉินฟ่าน และลึกลงไปในดวงตาของมัน ความต้องการสังหารเริ่มหมุนวนไปมา
เมิ่งฮ่าวอ้าปากค้าง กลอกตาไปมารอบๆ ราวกับว่าเขาต้องการจะหลบหนีไป “ท่านเอาจริง?!” เขากล่าว น้ำเสียงเหมือนพยายามบังคับตัวเองอยู่
“ตอนนี้เจ้าอยู่ในสำนักกูตู๋เจี้ยน” โจวซานเยี่ยพูดด้วยท่าทางหยิ่งยโส “จริงๆ แล้วเจ้าคิดว่าพวกเราจะโกหก?”
เฉินฟ่านจับแขนเมิ่งฮ่าว และกำลังจะพูดอะไรออกมา
เมิ่งฮ่าวมองไปที่มัน และพูดเสียงสั่นเครือ “ศิษย์พี่เฉิน, ได้โปรดให้ข้ายืมมีดบินของท่าน ได้หรือไม่?”
เฉินฟ่านมองไปยังเมิ่งฮ่าวนานสักครู่ ในที่สุด มันก็ยกมือขึ้น และมีดบินสีดำก็ปรากฎขึ้น เป็นมีดซึ่งสามารถปล่อยพลังของขั้นสร้างแกนลมปราณออกมาได้
มีดบินเล่มนี้มีความสำคัญต่อเฉินฟ่านเป็นอย่างยิ่ง ถ้าทำหายไป ตำแหน่งในสำนักของมันก็จะเริ่มไม่มั่นคงในทันที ผลกระทบของมันก็คงเป็นหายนะอย่างร้ายแรง แต่มันก็ใช้เวลาตัดสินใจเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ก่อนที่จะวางมีดบินลงไปในมือของเมิ่งฮ่าว
การแสดงออกถึงความรักที่เหมือนพี่น้องนี้ ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องมองไปยังเฉินฟ่านอย่างลึกซึ้ง ความรู้สึกอบอุ่นกระจายเต็มไปทั่วร่างของเขา สร้างเป็นความทรงจำที่จะคงอยู่ตลอดชั่วชีวิตอย่างไม่อาจลบเลือนไปได้
“ศิษย์น้อง” เฉินฟ่านกล่าว สายตาเปล่งประกายการให้กำลังใจออกมา “ถ้าเจ้าต้องต่อสู้จริงๆ ก็ทำไปด้วยความสบายใจ ถ้าเจ้าแพ้ ก็ไม่เป็นไร มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าเจ้าชนะ ก็เป็นเรื่องที่ดี!” ถึงแม้มันจะไม่ค่อยเชื่อมากนักว่าเมิ่งฮ่าวจะชนะก็ตามที แต่นี่ก็เป็นรูปแบบของมัน
ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวคนทั้งสองเงียบงัน ขณะที่ฝูงชนจ้องไปยังมีดบินสีดำที่อยู่ในมือของเมิ่งฮ่าวด้วยความงุนงง
ความเงียบนี้คงอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนที่เสียงหึ่งๆ ของการพูดคุยจะดังเต็มอยู่อากาศ
“นั่นเป็นมีดบินแกนลมปราณของท่านปรมาจารย์โจว!!”
“นั่นเป็นสัญญลักษณ์ของเจ็ดบุตรกระบี่เดียวดาย และศิษย์พี่เฉินก็มอบให้คนแปลกหน้านั้นวางเป็นเดิมพันจริงๆ…”
“การเดิมพันครั้งนี้ช่างน่าเหลือเชื่อนัก!!”
ดวงตาของศิษย์ที่อยู่รอบๆ สาดกระกายเจิดจ้า และมีหลายคนใช้แผ่นหยกสื่อสารเพื่อแจ้งให้ศิษย์คนอื่นๆ รู้ว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้น
“นี่เป็นเดิมพันของข้า ตอนนี้ถึงตาของท่านแล้ว ไม่มีเดิมพัน ไม่มีการต่อสู้!” เสียงเมิ่งฮ่าวเด็ดเดี่ยว และดวงตาก็เปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมประนีประนอม สำหรับพวกที่มุงดู ก็รู้สึกว่าเขาถูกบังคับให้ทำเช่นนี้ และเขากำลังพยายามที่จะบอกให้ผู้แซ่โจวและหลี่ ปล่อยเขาไว้ตามลำพัง
ร่างของโจวซานเยี่ยสั่นสะท้าน ขณะที่มันมองไปยังมีดบินสีดำในมือเมิ่งฮ่าว มันสั่นระริกด้วยความอยากได้ เช่นเดียวกับบุรุษวัยกลางคนแซ่หลี่ พวกมันสบสายตากันด้วยความตื่นเต้น ชำเลืองมองไปด้วยความตกใจ
พวกมันไม่เคยคาดคิดว่า เฉินฟ่านจะหยิบเอามีดบินออกมาจริงๆ และส่งให้ศิษย์น้องเพื่อเป็นเดิมพัน
“ถ้าท่านไม่มีอะไรจะเดิมพัน ก็ไม่อาจตำหนิข้าว่าไม่ให้ความร่วมมือ” เมิ่งฮ่าวกล่าวย้ำ เตรียมจะยื่นส่งมีดบินกลับไปให้ศิษย์พี่เฉิน เห็นได้ชัดว่าโจวซานเยี่ยไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น มันยื่นมือออกมา และกระชากชุดยาวของมันออก เผยให้เห็นจี้หยกที่แขวนอยู่รอบคอของมัน
“นี่คือหยกช่วยชีวิต ที่สร้างโดยบิดาข้า จากโลหิตของพลังฝึกตนของท่าน มันไม่มีพลังการโจมตี แต่มันสามารถต่อต้านการโจมตีจากขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งได้! ถ้าเจ้าชนะ มันก็เป็นของเจ้า ข้ายังจะให้โลหิตจากพลังฝึกตนของข้าเพื่อใช้กลั่นสกัดมัน! ข้า, โจว พูดแล้วไม่เคยคืนคำ!”
สุ้มเสียงของมันหนักแน่นจนสามารถตอกตะปูเฉือนแผ่นเหล็กกล้าได้ ขณะที่ดังออกมา เฉินฟ่าน และพวกที่มุงดูอยู่รอบๆ อ้าปากค้าง เฉินฟ่านจ้องไปยังหยกช่วยชีวิต มันเป็นของวิเศษที่อาจารย์ของมันมอบให้กับบุตรชายเพื่อปกป้องคุ้มครองมัน ในแง่ของคุณค่า แน่นอนว่ามันเกินกว่ามีดบินมาก
เมิ่งฮ่าวมีท่าทางที่เต็มไปด้วยความตกใจ เขาเริ่มหายใจหนักหน่วงขึ้น ทำให้โจวซานเยี่ยหัวเราะอย่างเย็นชา ดวงตาสาดประกายความเย็นเยียบออกมา
ในเสียงที่ดูเหมือนจะถูกบังคับ เมิ่งฮ่าวกล่าว “นั่นยังไม่เพียงพอ ท่านเพิ่งพูดว่าท่านทั้งสองจะเดิมพัน ด้วยสิ่งของที่มีคุณค่าเท่ากับสิ่งที่ข้าเดิมพันไป!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บุรุษวัยกลางคนแซ่หลี่ หัวเราะเสียงดังออกมา มันมองไปยังเมิ่งฮ่าวอย่างเย็นชา จากนั้นก็มองไปด้วยท่าทางมุ่งร้าย ยังเฉินฟ่านที่มีใบหน้าซีดขาว ในตอนนี้ มันมั่นใจว่ากำลังทำอะไรอยู่ มันรู้จักบุคลิกของเฉินฟ่านดีว่า เฉินฟ่านต้องไม่ทำอะไรที่อ้อมค้อม ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่า สีหน้าท่าทางของเฉินฟ่าน ได้แสดงถึงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา
“ข้า, หลี่ ไม่มีของวิเศษเช่นศิษย์น้องโจว แต่ข้าก็ยังสามารถรวบรวมหินลมปราณได้ สหายศิษย์ทั้งหลาย ถ้าพวกท่านสามารถให้ข้ายืมหินลมปราณ มันก็จะเป็นประโยชน์ต่อพวกท่าน ข้าจะคืนกลับไปด้วยการเพิ่มหินลมปราณหนึ่งก้อนต่อทุกๆ ร้อยก้อนที่พวกท่านให้มา” มันหัวเราะขึ้นอีกครั้ง มองไปยังศิษย์ที่อยู่รายรอบนับร้อย ต่างก็คารวะมันด้วยความเคารพ หลายคนบินมาที่มัน และจากนั้นก็เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่มีปัญหา, ศิษย์พี่หลี่ แน่นอนว่าพวกเราต้องช่วยท่าน”
“ฮา ฮา ฮา! ข้าไม่มีหินลมปราณมากนัก มีแค่ไม่กี่พันเอง นี่เป็นทั้งหมดที่ข้าได้สะสมไว้ตั้งแต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ถ้าท่านต้องการ, ศิษย์พี่หลี่, มันก็เป็นของท่าน”
“ไม่ต้องกังวล, ศิษย์พี่หลี่, พวกเราต้องช่วยท่านอยู่แล้ว”
เสียงของผู้ฝึกตนนับร้อยดังอยู่ทั่วในอากาศ พวกมันทั้งหมดหยิบหินลมปราณออกมา มีจำนวนระหว่างหนึ่งร้อยไปจนถึงหนึ่งพัน ในที่สุด พวกมันก็วางหินลมปราณซ้อนกันจนมีจำนวนหลายหมื่นก้อน
“หินลมปราณพวกนี้ไม่อาจจะเทียบกับมูลค่าของ ของวิเศษจากศิษย์น้องโจว แต่ไม่เป็นไร ข้าจะไม่เอาเปรียบเจ้า ข้ามีอาวุธเวทในถุงสมบัติ ซึ่งมีค่ามากกว่าหินลมปราณหลายหมื่นก้อน มูลค่าคร่าวๆ ของมันน่าจะประมาณห้าแสนหินลมปราณ!”
มันโบกสะบัดแขนเสื้อ จากนั้นก็พุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า กลายเป็นลำแสงพุ่งตรงไปยังสนามประลอง ท่ามกลางเสียงร้องอย่างตื่นเต้นของผู้ฝึกตนที่อยู่รายรอบ มันร่อนลงที่จุดกึ่งกลางของสนามประลอง และหันหน้ามาจ้องไปยังเมิ่งฮ่าว
เฉินฟ่านมองไปยังเมิ่งฮ่าว ด้วยรอยยิ้มที่เต็มฝืน มันกำลังจะให้คำแนะนำบางอย่าง แต่เมิ่งฮ่าวก็วางมีดบินไว้บนพื้น และจากนั้นก็ลอยขึ้นไปในอากาศ พุ่งตรงไปยังสนามประลอง
ไม่มีใครเคลื่อนไหวไปหยุดเขา
ขณะที่เขาเข้าไป ผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้น ก็แหงนหน้ามองมา บุรุษวัยกลางคนแซ่หลี่ยืนอยู่ที่นั่นอย่างหยิ่งยโส มันกดนิ้วลงไปยังช่องว่างระหว่างคิ้ว ทันใดนั้น พลังฝึกตนของมันก็ลดลงไปจากขั้นสุดท้ายพื้นฐานลมปราณ เป็นขั้นกลางของพื้นฐานลมปราณ ขณะที่มันมีเสาแห่งเต๋าหกต้น
“ข้า, หลี่ไม่ใช่คนที่ชอบรังแกใคร” มันกล่าวอย่างไม่แยแส “ดังนั้น ข้าจะใช้เพียงพลังของขั้นกลางพื้นฐานลมปราณ ต่อสู้กันโดยที่ข้าจะไม่ใช้พลังของขั้นสุดท้ายพื้นฐานลมปราณ”
“จริงๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น” เมิ่งฮ่าวพึมพำ เขายืนอยู่ที่นั่นในสนามประลอง สีหน้าของเขาแตกต่างเป็นอย่างมากกับก่อนหน้านี้ ไม่มีอะไรที่เสแสร้งเกี่ยวกับสีหน้าของเขาในตอนนี้ เขายิ้ม และภายในรอยยิ้มนั้นก็เป็นความสุข รวมถึงมีความเขินอายอยู่เล็กน้อย
ผู้คนที่นี่ไม่คุ้นเคยกับความเขินอายนี้ แต่คนจากสำนักจื่อยิ่น ซึ่งได้แลกเปลี่ยนกับเขาเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ในแคว้นจ้าว ต้องรู้จักมันเป็นอย่างดี มันทำให้หนังศีรษะของพวกมันต้องด้านชา ถ้าพวกมันได้มาเห็น ก็คงต้องคิดว่ากำลังตกอยู่ในฝันร้าย และอาจจะมีโทสะอย่างรุนแรงพุ่งขึ้นมา
“อีกสักครู่, ท่านจะต้องกลืนคำพูดลงไป…” เมิ่งฮ่าวกล่าวด้วยท่าทางเขินอาย ดูคล้ายกับนักศึกษาหนุ่มซึ่งได้ยืนอยู่บนภูเขาต้าชิงเมื่อหลายปีก่อน ดูเหมือนเขาจะอึดอัดใจเล็กน้อย ขณะที่ก้าวเท้าตรงไป