เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ประมาณสองชั่วยาม แรงดึงดูดก็ปรากฎขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงเวลานั้น เมิ่งฮ่าวก็ยังคงบินผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่าต่อไป
สถานที่นี้ช่างแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ดวงตะวันสาดแสงเจิดจ้าอยู่บนท้องฟ้า แต่ถ้ามองให้ละเอียดก็จะพบว่า ยังมีเงาเลือนลางของดวงจันทร์อยู่ภายในดวงตะวัน ดูเหมือนภายในอีกหนึ่งชั่วยาม พวกมันก็จะแยกออกจากกัน
หลังจากเดินทางไปอีกครึ่งชั่วยาม พื้นที่ราบขนาดใหญ่ก็ปรากฎขึ้นที่เบื้องหน้า
พื้นที่ราบนั้นเต็มไปด้วยต้นหญ้าที่งอกยาวขึ้นมา สูงถึงครึ่งตัวคน มันเอนไหวไปมาในสายลม ทำให้พื้นที่ราบนั้นดูคล้ายกับทะเล มีเพียงเสียงเดียวที่ได้ยินก็คือเสียงกระซิบของสายลม ภายในพื้นที่ราบนั้นมีบริเวณหนึ่งที่ไร้ต้นหญ้างอกเงย บุคคลสามคนนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น
สองคนเป็นสตรี และหนึ่งคนเป็นบุรุษ บุรุษอยู่ในวัยกลางคนและสวมใส่ชุดยาวสีเทา มีใบหน้าที่ไร้อารมณ์ความรู้สึก และปิดตาลงเข้าฌาณ บรรยากาศอันหนาวเย็นราวน้ำแข็งกระจายออกมาจากร่างของมัน ซึ่งอยู่ในขั้นสุดท้ายของพื้นฐานลมปราณ มันเป็นหนึ่งในสามผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของพื้นฐานลมปราณ ที่เดินทางมายังสถานที่นี้บนหลัวผานสีม่วง
สำหรับสตรีทั้งสอง หนึ่งเป็นสตรีวัยกลางคนและอ้วนเล็กน้อย มีหน้าตาธรรมดา ดูเหมือนหญิงสาวชาวไร่ นางเป็นอีกผู้หนึ่งที่อยู่ในกลุ่มของสามผู้แข็งแกร่งขั้นสุดท้ายของพื้นฐานลมปราณ
ท่าทางกระวนกระวายเต็มอยู่บนใบหน้าของนาง ขณะที่มองไปยังหญิงสาวคนสุดท้าย ซึ่งสวมผ้าคลุมหน้าปกปิดไว้ครึ่งใบหน้า ทำให้มีรูปลักษณ์ที่ดูเลือนลางลี้ลับ
“สหายเต๋า, ท่านเชิญข้ามา เพื่อให้ข้ามานั่งรออยู่ที่นี่? ข้าไม่เชื่อว่าเป้าหมายของพวกเราจะอันตรายเหมือนถ้ำพยัคฆ์วังมังกรอย่างแน่นอน สหายเต๋าซือคงและข้าไม่เพียงพอจริงๆ?” นางหัวเราะเสียงเย็นชา บุรุษวัยกลางคนท่าทางเย็นชา ลืมตาขึ้นมาจากการเข้าฌาณ สองตาสาดประกายขณะที่มันมองไปยังหญิงสาวคลุมหน้านั้น
“สหายเต๋าหลี่, ช่วยรออีกสักนิดเถอะ” หญิงสาวคลุมหน้ากล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าได้เชิญมาทั้งหมดห้าคน ถ้าพวกมันยังมาไม่ถึง พวกเราก็ไม่อาจดำเนินการได้ เพียงแค่พวกเราสามคน โอกาสที่จะสำเร็จมีเพียงน้อยนิด”
สตรีแซ่หลี่แค่นเสียงออกมา และดูเหมือนกำลังจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็ไม่ยอมพูด
“อดทนอีกสักนิด” หญิงสาวคลุมหน้ากล่าว “ดวงตะวันและจันทราจะสิ้นสุดการซ้อนทับกันภายในหนึ่งชั่วยาม ถ้าพวกมันยังไม่มา พวกเราก็ไม่มีทางเลือก นอกจากต้องพยายามด้วยตัวของพวกเราเอง”
ครึ่งชั่วยามผ่านไป จุดของลำแสงหลากสีก็ปรากฎขึ้น ภายในของมันเป็นแนวของสีม่วง ใครก็ตามที่กำลังใกล้เข้ามาคงสวมใส่ชุดยาวสีม่วงเป็นแน่
บุคคลผู้นี้เข้ามาใกล้ด้วยความเร็วสูงสุด มาถึงภายในช่วงไม่กี่อึดใจ เป็นบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา และมีรอยยิ้มน้อยๆ อยู่บนใบหน้า จากเสื้อคลุมยาวสีม่วงของมัน เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่บุคคลธรรมดา หลังจากที่ร่อนลงไปที่พื้น ดวงตาของมันก็กวาดผ่านคนทั้งสาม มันส่งยิ้มให้และจากนั้นก็ประสานมือคารวะ
“ข้ามาสาย” คนผู้นั้นกล่าว “ได้โปรดให้ยกโทษด้วย สหายเต๋า, ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องรอคอย, ศิษย์น้องหาน” นี่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากศิษย์แกนหลักของสำนักชิงหลัวเซี่ยเจี๋ย มันมองไปยังหญิงสาวที่คลุมหน้าด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย เมื่อมันได้เปิดเผยตัวตนของนาง
การปรากฎกายของมันทำให้สตรีแซ่หลี่ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย นางยืนขึ้นและคารวะกลับไปที่มัน บุรุษท่าทางเย็นชา เพียงแค่พยักหน้าให้มันเล็กน้อย
หญิงสาวคลุมหน้าขมวดคิ้ว ขณะที่สองคนนั้นมองมาที่นาง
นางหัวเราะเบาๆ ปลดผ้าคลุมหน้าลงมา ใบหน้าของนางช่างสวยงามและละเอียดอ่อนเป็นอย่างยี่ง ผิวของนางเป็นเงางามราวหยกเนื้อดี ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะสว่างเจิดจ้าขึ้นมา เนื่องจากความงามของนาง
“หานเป้ย ขอคารวะสหายเต๋าทั้งหลาย” นางกล่าว “เดิมทีข้าไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนเพราะมีเหตุผลส่วนตัว แต่เมื่อศิษย์พี่เซี่ยพูดขึ้นมา ข้าก็คงต้องแสดงตัวตนเพื่อให้ทุกท่านสบายใจ” หญิงสาวนางนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหานเป้ย รูปลักษณ์ที่มีเสน่ห์น่าลุ่มหลง พร้อมด้วยรอยยิ้มที่งดงามบนใบหน้าของนางในตอนนี้ ทำให้ทุกคนไม่อาจตัดใจถือโทษโกรธเคืองนางได้
เซี่ยเจี๋ยยิ้ม “ข้าไม่ได้ระวังว่าศิษย์น้องต้องการปิดบังตัวตน ข้ารีบพูดไป ได้โปรดอย่าได้ขุ่นเคือง”
“ไม่เป็นไร” นางกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม “เมื่อพิจารณาถึงการกระทำของสำนักในสถานที่แห่งนี้ ผู้น้องเกรงว่าการเปิดเผยตัวตนจะทำให้เกิดการเข้าใจผิด แต่เมื่อศิษย์พี่เซี่ยอยู่ที่นี่แล้ว ข้าก็ไม่ต้องกังวลใดๆ อีก โอกาสที่จะสำเร็จของพวกเราตอนนี้ก็มีมากขึ้นกว่าเดิม” สตรีแซ่หลี่มีสีหน้าหมองคล้ำลง และบุรุษชุดเทาก็ขมวดคิ้วขึ้น
คำพูดของนางราวกับหมอนนุ่นที่มีเข็มอยู่ด้านใน เซี่ยเจี๋ยกำลังจะพูดบางอย่าง แต่ก็ไม่ยอมพูด และหันหน้าไป ทุกคนทำเช่นเดียวกัน ยกเว้นบุรุษชุดเทา
ลำแสงหลากสีใกล้เข้ามา ตามด้วยเสียงหวีดหวิวของสายลม ซึ่งส่งผลให้ต้นหญ้าส่ายไหวไปมา กลายเป็นชายชรา ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฉือโหย่วเต้า
มันก้าวเท้าไปยังคนกลุ่มนั้น ดวงตาสาดประกาย มันมองไปรอบๆ ชั่วครู่ และจากนั้นก็เพ่งสายตาไปจ้องที่หานเป้ย
“ที่แท้ก็กลายเป็นการเชื้อเชิญจากสหายเต๋าหานนี่เอง ข้าคิดว่าท่านคงมีคำอธิบายว่าสำนักชิงหลัวได้มาทำอะไรในสถานที่นี้นะ”
หานเป้ยยิ้ม “ด้วยตัวท่านเองและวิชาพิเศษเฉพาะของท่าน, สหายเต๋าฉือ งานของพวกเราต้องสำเร็จได้อย่างง่ายดายเป็นแน่ สำหรับคำอธิบาย ขอให้ท่านวางใจได้ ข้าจะชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดในไม่ช้านี้”
เมื่อได้เห็นฉือโหย่วเต้า สตรีแซ่หลี่ก็รีบคารวะมันด้วยการประสานมือ เซี่ยเจี๋ยยิ้มและทำเช่นเดียวกัน บุรุษชุดเทาแค่เพียงพยักหน้าให้ เหมือนกับว่ามันไม่ได้นำพาใครหรือสิ่งใดๆ
“ทุกคนมาพร้อมกันหมดแล้ว?” เซี่ยเจี๋ยถามพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าได้ยินว่ายังมีอีกหนึ่งคน” สตรีแซ่หลี่กล่าว ยิ้มอย่างประจบเอาใจไปที่เซี่ยเจี๋ย
“โอ?” เซี่ยเจี๋ยกล่าว ดวงตามันหดแคบลง คนทั้งสามนี้เป็นผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของพื้นฐานลมปราณ และเท่าที่มันจำได้ก็ไม่มีใครอื่นอีกในท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกตนเร่ร่อนทั้งหมด “เป็นไปได้หรือไม่ว่า หานเป้ยได้เชิญศิษย์สำนักชิงหลัวคนอื่นมาด้วย?” มันคิด “คนผู้นั้นเป็นใคร…?” มันมองไปยังหานเป้ย “ใครเป็นคนสุดท้ายที่พวกเรากำลังรออยู่” มันถามพร้อมรอยยิ้ม “ศิษย์น้องหานจะช่วยอธิบายได้หรือไม่?”
“ใช่แล้ว” สตรีแซ่หลี่พูดสอดแทรกเข้ามา “ข้าก็สนใจเหมือนกันว่าใครจะเป็นสหายเต๋าคนสุดท้ายนะ ถ้ามันเป็นคนสำคัญ แน่นอนว่าข้าก็คงขอคบหาเป็นสหาย ถ้าไม่ใช่ ข้าก็ต้องขอถามว่า ทำไมพวกเราถึงต้องนั่งรอมัน?”
ผู้ฝึกตนชุดเทาปิดตาลง ไม่สนใจพวกมัน ฉือโหย่วเต้ายืนครุ่นคิดอยู่ที่นั่น ดวงตาของมันสาดประกาย
หานเป้ยเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็กล่าวขึ้น “ข้าก็ไม่รู้ว่ามันเป็นใครเช่นกัน เช่นเดียวกับที่ข้าก็ไม่รู้ตัวตนของพวกท่านในตอนแรก แขกของข้าอาจจะไม่มีความสำคัญ แต่ถ้าพวกเราไม่มีมันอยู่ในกลุ่ม พวกเราก็คงต้องกลับไปพร้อมมือเปล่าในวันนี้ ด้วยคนผู้นี้ โอกาสสำเร็จของพวกเราก็จะเพิ่มขึ้นสามในสิบส่วน” นางพูดด้วยเสียงราบเรียบ แต่เด็ดเดี่ยวราวเหล็กไหล
“โอ?” เซี่ยเจี๋ยพูดขึ้นมาด้วยความสนใจ “แล้วทำไมศิษย์น้องหานถึงติดต่อคนที่สำคัญเช่นนี้ได้?”
สตรีแซ่หลี่หัวเราะขึ้นมาอย่างเย็นชา ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยการดูถูก เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกว่าหานเป้ยพูดโอ้อวดเกินจริง นางไม่เชื่อว่าผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณจะมีประโยชน์มากนัก ถ้าเป็นผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีบุคคลเช่นนั้นมาเข้าร่วมด้วย
“บุคคลผู้นี้จะเป็นผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณเทียมหรือไม่?” สตรีแซ่หลี่ถามด้วยท่าทางดูถูก “สหายเต๋าหาน ท่านน่าจะระมัดระวังไว้บ้าง มีผู้คนมากมายในโลกนี้ที่มีเพียงชื่อเสียงอันจอมปลอม” ไม่ใช่ว่านางไม่ชอบหานเป้ยเป็นการส่วนตัว แต่จริงๆ แล้ว นางเกลียดหญิงสาวที่สวยงามทุกคน
“ข้าไม่มั่นใจว่าคนผู้นี้จะอยู่ในขั้นสร้างแกนลมปราณเทียมหรือไม่” หานเป้ยกล่าวตอบเสียงราบเรียบ จ้องเขม็งไปยังสตรีแซ่หลี่ “ไม่ว่าอย่างไร มันก็เป็นคนที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ขอให้ท่านมั่นใจได้”
สตรีแซ่หลี่ไม่พูดอะไรอีก ทันใดนั้น เซี่ยเจี๋ยก็เงยหน้าขึ้น และมองตรงไปยังเส้นขอบฟ้า เช่นเดียวกับฉือโหย่วเต้า ในไม่ช้า สายตาของทุกคนก็จ้องไปยังลำแสงซึ่งพุ่งตรงมาที่พวกมัน
นี่คือเมิ่งฮ่าว แน่นอนว่า เขาแหวกฝ่าอากาศมาพร้อมเสียงแหลมเล็ก ดวงตากวาดผ่านไปทั่วพื้นที่แถบนั้น ในไม่ช้า เขาก็มองเห็นพื้นที่ว่างเปล่าบนที่ราบกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้า ด้านบนมีดวงตะวันและจันทราส่องแสงซ้อนทับกันอยู่ เช่นเดียวกับที่มีบุคคลห้าคนอยู่ที่นั่น
เขามองไปที่พวกมันขณะที่ร่อนลงไปบนพื้น สีหน้าสงบนิ่งเหมือนเคยเมื่อเดินตรงเข้าไป
เมื่อมันเห็นเมิ่งฮ่าว สีหน้าของฉือโหย่วเต้าก็เปลี่ยนไป แสงสดใสปรากฎขึ้นในดวงตาของหานเป้ย และริมฝีปากของนางก็เผยอยิ้มออกมา สำหรับเซี่ยเจี๋ย ความเย็นชาปกคลุมใบหน้าของมัน เมื่อมองไปที่เมิ่งฮ่าว
“สหายเต๋าทั้งหลาย, สบายดี?” เขาพูดราบเรียบ “ข้าติดขัดเล็กน้อยตอนเดินทางมา ทำให้ช้าไปบ้าง” เขาชำเลืองมองไปยังคนทั้งหมด หยุดอยู่ชั่วครู่เมื่อมองไปยังหานเป้ย
“ขั้นต้นของพื้นฐานลมปราณ?” สตรีแซ่หลี่กล่าวพร้อมขมวดคิ้ว สีหน้าหยิ่งผยองมีท่าทางดูถูกปรากฎขึ้นบนใบหน้า นางไม่อาจทนรอจนต้องพูดอย่างหยาบคายออกมา “นี่เป็นบุคคลสำคัญที่สหายเต๋าหานยืนยันว่าเป็นคนสำคัญยิ่ง? นางคิดว่าขั้นต้นพื้นฐานลมปราณอันต่ำต้อยมีความสำคัญมาก? ช่างน่าหัวร่อนัก หรือผู้เยาว์นี้เพิ่งจะไปเดินสะดุดบนพื้นที่แถวนี้มา?”
เมิ่งฮ่าวมองไปยังนางโดยไม่พูดจา
“ข้าก็อยากรู้เป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน” เซี่ยเจี๋ยพูดพร้อมรอยยิ้ม ดวงตาของมันสาดประกายขึ้นมาจนเกือบจะมองไม่เห็น
เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยเจี๋ย สตรีแซ่หลี่ก็มีความหยิ่งอวดดีเพิ่มมากขึ้น “ผู้ฝึกตนขั้นต้นพื้นฐานลมปราณก็จะยิ่งทำให้กลุ่มของพวกเราตกต่ำลง หานเป้ยอาจจะแนะนำมันมา แต่ข้า, หลี่ จะขอทดสอบมันด้วยตัวเอง และจะขอดูว่ามันมีความสามารถอันใด”
นางเริ่มเดินตรงไปยังเมิ่งฮ่าว “รวบรวมเศษพลังจากพื้นฐานฝึกตนของเจ้ามาให้หมด” นางกล่าว “ถ้าเจ้ายังมีชีวิตอยู่จากการโจมตีเพียงครั้งเดียวของข้า ข้าก็จะเห็นด้วยว่าเจ้ามีคุณสมบัติเข้าร่วมกับพวกเรา ถ้าไม่ เจ้าก็จะถูกสังหารโดยสำนักชิงหลัวอยู่ดี ความตายน่าจะเป็นทางออกของปัญหาทั้งหมดนี้ของเจ้า!”
เมื่อนางพูดจบ นางก็เดินมาถึงตัวเมิ่งฮ่าว นางยกมือขวาขึ้นมา และแสงเจิดจ้าบาดตาสีส้มก็ปรากฎขึ้น กลายเป็นแส้สีชมพูสะบัดไปมา ก่อให้เกิดเสียงขวับเควี้ยวขึ้นมา