จ้าวซานเหอค่อนข้างภาคภูมิใจในตัวมันเอง มันโอบอุ้มเซียหยุนซุ่ยด้วยแขนข้างหนึ่ง ขณะที่ไล่ติดตามฉื่อชิงไป รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหื่นกามปกคลุมบนใบหน้าของมัน
มันยกมือขึ้น เกิดเป็นสายลมพัดผ่านฉื่อชิง โชยพัดเสื้อผ้าของนางจนฉีกขาดออก มันหัวเราะเสียงดังออกมา
เมื่อได้เห็นความดื้อรั้น และความอ่อนแอของฉื่อชิง ก็ทำให้มันมีแต่ความตื่นเต้น มันสร้างสายลมพุ่งไปที่นางต่อไป ทำให้เสื้อผ้าของนางฉีกขาดมากขึ้นไปกว่าเดิม นางกัดริมฝีปากขณะที่หนีไป ในที่สุด ความรู้สึกสิ้นหวังก็เริ่มพุ่งขึ้นมาจากภายในจิตใจ
การเคลียคลอกับเซียหยุนซุ่ย รวมถึงคำพูดด่าทอที่ออกมาจากปากของฉื่อชิงเป็นระยะ ทำให้ดวงตาของจ้าวซานเหอสาดประกายเจิดจ้ามากยิ่งขึ้น
แต่มันก็ไม่รีบร้อน ดูเหมือนฉื่อชิงจะไม่ได้โชคดีเหมือนครั้งที่แล้ว นางไม่สามารถหนีรอดจากเงื้อมมือมันได้ ดังนั้น มันจึงเพลิดเพลินกับการไล่ตามจับนาง นั่นเป็นสิ่งที่มันชื่นชอบเป็นอย่างมาก ยิ่งเหยื่อของมันอ่อนแอมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งนางกระเสือกกระสนดิ้นรนมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งโหดร้ายมากขึ้นเท่านั้น
“ฉื่อชิง, ข้าได้หมายตาเจ้า ตั้งแต่วันที่เจ้าเข้ามายังสำนักชิงหลัว ข้ายังได้กระจายคำพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกไป ทำไมเจ้าถึงคิดว่าไม่มีใครมายุ่งเกี่ยวกับเจ้าตลอดหลายปีมานี้? แต่เจ้าก็ยังคงปฏิเสธความหวังดีจากข้า! เจ้าช่างไม่รู้จักชื่นชมถนอมมันไว้ เจ้าไม่อาจกล่าวหาว่าข้าโหดร้ายได้”
มันแผดเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา เมื่อมันอยู่ในสำนัก มันก็กลัวเกี่ยวกับเรื่องการละเมิดกฎของสำนัก โดยเฉพาะเมื่อมีผู้คนอยู่ล้อมรอบมากมาย แต่ในสถานที่นี้ มันไม่มีสิ่งใดให้ต้องเกรงกลัว
ยิ่งไปกว่านั้น มันยังได้เป็นศิษย์แกนหลักของสำนักชิงหลัว ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงกว่าศิษย์สายใน มันสามารถที่จะเรียกลมเรียกฝนท่ามกลางกลุ่มศิษย์ด้วยกันได้
นอกเหนือจากนั้น หนึ่งในปรมาจารย์ของตระกูลจ้าวของมัน ก็เป็นผู้อาวุโสของสำนักชิงหลัว รวมถึง เมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว สมาชิกของตระกูลจ้าวได้บรรลุขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง และกลายมาเป็นปรมาจารย์ของสำนัก จากนั้นก็ไปนั่งเข้าฌาณเพียงลำพัง และยังไม่ได้ออกมาจนบัดนี้ เนื่องจากปรมาจารย์ขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งนี้ ทำให้ตระกูลจ้าวมีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับสำนักชิงหลัว
ในความเป็นจริง ถึงแม้จะเป็นศิษย์แกนหลัก แต่จ้าวซานเหอก็ไม่ได้มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นเป็นพิเศษแต่อย่างใด ไม่มีใครในสำนักที่มีพรสวรรค์เช่นมัน จะสามารถบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณได้ แต่ด้วยการช่วยเหลือของปรมาจารย์ขั้นสร้างแกนลมปราณ พร้อมด้วยเม็ดยาพื้นฐานลมปราณอีกมากมาย ทำให้ในที่สุด มันก็ก้าวถึงขั้นพื้นฐานลมปราณ
หลังจากที่เป็นผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ จ้าวซานเหอก็ค่อนข้างจะพอใจกับตัวมันเอง มันได้ก้าวหน้าขึ้นในสำนัก และกลายเป็นกลุ่มคนส่วนน้อยที่ไม่อาจตอแยได้ ทุกคนต้องยอมมัน ถ้ามันต้องการลม มันก็จะได้ลม ถ้ามันต้องการฝน มันก็จะได้ฝน
ภายในตระกูลจ้าว มีบุตรชายเพียงสองคนในรุ่นปัจจุบันนี้ หนึ่งเป็นมัน อีกคนมาจากสาขาอื่นของตระกูลจ้าว ลูกพี่ลูกน้องของมัน จ้าวปินอู่
เหมือนกับมัน จ้าวปินอู่ก็เป็นศิษย์แกนหลักด้วยเช่นกัน ในแง่ของพรสวรรค์ จ้าวปินอู่เหนือกว่าและดีกว่าจ้าวซานเหอ และถูกมองว่าเป็นสมาชิกที่สำคัญของตระกูลที่จะถูกเชิดชู จ้าวซานเหอรู้เรื่องนี้ดี แน่นอนว่า การชิงดีชิงเด่นไม่ได้เกี่ยวข้องกับมัน มันได้แช่ตัวเองอยู่แต่ในเรื่องกามราคะ ปกติแล้ว ถ้ามันพอใจศิษย์สตรีคนไหนในสำนัก นางก็จะไม่ปฏิเสธมัน ถึงแม้นางจะไม่ยินดี การปฏิเสธมันก็เป็นเรื่องที่ไม่มีประโยชน์
เหล่าปรมาจารย์ไม่ได้สนใจกับเรื่องเช่นนี้มากนัก ถ้ามันสามารถอธิบายเรื่องทั้งหมดกับตระกูลได้ ในกรณีที่ศิษย์สตรีตั้งครรภ์ขึ้นมาจริงๆ นางก็จะมีตำแหน่งสูงขึ้นมาจากก่อนหน้านั้นในทันที
จากสถานการณ์ที่โชคดีต่างๆ เหล่านี้ จ้าวซานเหอก็เหมือนกับลูกเศรษฐีที่ถูกตามใจอยู่ภายในสำนัก ถึงมันจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในโลกด้านนอก แต่ชื่อเสียงภายในสำนักของมัน ก็ค่อนข้างเลวร้ายเป็นอย่างยิ่ง
“ดูสิ, ดวงดาวกำลังโผล่ออกมา ถึงเวลาแล้ว พวกเราจะใช้ดวงดาวเป็นเทียนแต่งงาน และสถานที่นี้ก็จะเป็นเหมือนห้องสมรสของพวกเรา เจ้าว่าอย่างไร?” มันหัวเราะขึ้นอีกครั้ง ยกนิ้วขึ้นส่งคมมีดแห่งสายลมไปยังฉื่อชิงอีกครั้ง
ร่างของนางสั่นสะท้าน และโลหิตไหลซึมออกมาจากปาก จริงๆ แล้ว จ้าวซานเหอได้ควบคุมพลังลมปราณที่มันใช้ไปอย่างระมัดระวัง มิเช่นนั้นมันก็อาจจะสังหารนางได้
ขณะที่ร่างของนางสั่นสะท้าน เมฆหลากสีใต้เท้าของนาง ทันใดนั้น ก็แยกออกจากกัน ฉื่อชิงตกลงไปบนพื้น เซียหยุนซุ่ยส่งเสียงหัวเราะอย่างไพเราะออกมา พุ่งตรงมาจับฉื่อชิงไว้ ผลักให้ล้มลงไปบนพื้นที่สกปรก ฉื่อชิงไม่อาจตะเกียกตะกายขึ้นมาได้
ใบหน้านางซีดขาว และร่างกายของนางก็ค่อนข้างขาวซีด แต่ความเย็นชาก็ยังเต็มอยู่ในดวงตา ขณะที่นางมองไปยังจ้าวซานเหอที่กำลังเดินเข้ามา มันเริ่มถอดเสื้อผ้าของมันขณะที่เดินมา ความสิ้นหวังเต็มอยู่ในจิตใจของฉื่อชิง และนางพยายามที่จะกัดลิ้นตัวเอง แต่เซียหยุนซุ่ยก็ง้างกรามของนางไว้
“ไม่ใช่ตอนนี้, ศิษย์น้องฉื่อ เจ้าไม่อาจทำเช่นนั้น ถ้าเจ้าต้องการจะฆ่าตัวตายจริงๆ แล้ว เจ้าก็ควรรอจนศิษย์พี่จ้าวมีความสุขก่อน” เซียหยุนซุ่ยหัวเราะ นางพูดจาด้วยความนุ่มนวล แต่เต็มไปด้วยความเลวทรามชั่วร้าย
“ยอดเยี่ยม, ยอดเยี่ยม” จ้าวซานเหอหัวเราะ มองไปยังเซียหยุนซุ่ยด้วยความพึงพอใจ มันลูบไล้ไปบนใบหน้าของนาง ทำให้ดวงตาของนางส่องประกาย เหมือนเป็นการกระตุ้นความต้องการของนาง
จ้าวซานเหอมองที่ฉื่อชิง ซึ่งถูกตรึงอยู่ที่พื้นอย่างหมดหนทางโดยเซียหยุนซุ่ย มันจ้องไปยังส่วนโค้งส่วนเว้าของนาง และหัวเราะออกมา
“ถ้าข้าให้เม็ดยาบางอย่างกับเจ้า” มันพูด ”ข้าก็ไม่ต้องวุ่นวายกับการดิ้นรนขัดขืนของเจ้า แต่ว่าข้าจะไม่ให้เจ้ากินอย่างแน่นอน” เสื้อผ้าของมันตอนนี้หลุดออกมาจากร่างไปหมดแล้ว
ร่างของฉื่อชิงสั่นสะท้าน และน้ำตาก็ไหลลงมาจากดวงตา นางไม่สามารถดิ้นรนขัดขืน พื้นฐานฝึกตนของเซียหยุนซุ่ยสูงกว่านาง รวมถึง นางเหน็ดเหนื่อยจากการหลบหนี และกำลังถูกตรึงไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีทางที่จะหนีไปได้
ความเย็นชาบนใบหน้าของนางจางหายไป แทนที่ด้วยความขมขื่นและความสิ้นหวัง ดวงตาของนางว่างเปล่า ทันใดนั้น ดูเหมือนนางจะมองเห็นสำนักเอกะเทวะ และเมิ่งฮ่าว กำลังยืนอยู่บนภูเขาตะวันออก นางคิดถึงภูเขาต้าชิง และนักศึกษาหนุ่มที่กำลังหย่อนเถาวัลย์ลงไปจากหน้าผา
นางจำครั้งแรกที่เห็นเมิ่งฮ่าวได้ นางกำลังยืนอยู่ด้านหลังเขา ขณะที่เขามองหาเถาวัลย์ นางมองเห็นเขาโยนเถาวัลย์ลงไปจากหน้าผา และได้ยินเขาพูดเกี่ยวกับเซียนอมตะกับผู้คนที่ด้านล่าง
ในตอนนั้น นางคิดว่านักศึกษาผู้นี้ช่างน่าสนใจนัก ดังนั้น นางจึงได้นำเขาไปด้วย
นางคิดไปถึงการจ้องมองมาของฝูงชน เมื่อเมิ่งฮ่าวยื่นส่งเม็ดยาให้นาง…และนางคิดถึงสายตาที่จ้องมองกลับมายังนาง ก่อนที่เขาจะเข้าไปในประตูสีดำนั้น
“มันจบสิ้นหมดแล้ว…” หยาดน้ำตาไหลหลั่งลงมา ทำให้ใบหน้าของนางเหมือนจะซีดขาวมากขึ้นไปอีก นางไม่อาจจะหยุดการสั่นสะท้านของตัวเองได้ นางกำลังกลัว จากวันที่นางจากสำนักเอกะเทวะมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ นางไม่เคยมีความสุขมาก่อน และตอนนี้ ก็ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังมาถึงจุดจบ
เมื่อนางยังเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ นางก็รู้ตัวดีว่า นางไม่ได้เป็นคนฉลาดมากนัก และจริงๆ แล้ว บางครั้งก็จะโง่เขลาเป็นอย่างมาก ดังนั้น นางจึงต้องปกปิดมันด้วยรอยยิ้มอันเย็นชา นางใช้ความเย็นชาและความเงียบ เพื่อปกปิดความไม่ค่อยฉลาดของตัวเองไว้ และเพื่อทำให้โลกนี้ง่ายขึ้น
นางไม่ชอบสิ่งที่ซับซ้อน เพราะนางไม่ค่อยจะเข้าใจมัน นางชอบความสงบและความเงียบ นางชอบที่จะฝึกฝนพลังฝึกตนด้วยตัวเอง ขณะที่นางทำเช่นนี้ นางก็มองความเปลี่ยนแปลงที่ผ่านไป สังเกตถึงการไหลไปของกระแสชีวิต และรำลึกถึงความทรงจำที่สวยงามจากในอดีต
นี่คือนาง ฉื่อชิง เปลือกนอกที่เย็นชา และจิตใจที่เรียบง่าย
นางพยายามอย่างมากที่จะไม่ร้องไห้ ร่างกายสั่นสะท้าน และปิดตาลง นางไม่ต้องการมองไปยังจ้าวซานเหอ และความแข็งแรงอย่างมากมายของมัน นางเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นรวบรวมลมปราณธรรมดาในสำนักซึ่งไม่เคยมีความสุข นางไม่มีความแข็งแกร่งที่จะต่อต้าน…ไม่มีแม้แต่ความสามารถที่จะตายไป
ขณะที่นางปิดตาลง เซียหยุนซุ่ยก็หัวเราะขึ้นมา และพูดด้วยเสียงเรียบเฉยและซับซ้อน “เฮ้, เจ้าไม่อาจตอบโต้ จึงแค่ปิดตาลง นั่นเป็นสิ่งที่ข้าเคยทำมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน ถ้าเจ้าต้องการตำหนิใครบางคน เจ้าก็ควรตำหนิการทำตัวห่างเหินของเจ้า และตำหนิพื้นฐานฝึกตนของเจ้าเอง เจ้ามันช่างอ่อนแอนัก…”
เสียงหัวเราะของจ้าวซานเหอดังออกมา มันโบกสะบัดมือขวา และลำแสงสีชมพูก็กระจายออกมา ปกคลุมพื้นที่บริเวณนั้นไว้ภายในรัศมีสิบจ้าง สร้างเป็นเกราะป้องกันสีชมพูแวววาว ซึ่งปกปิดทุกสิ่งทุกอย่างไว้ภายใน คนทั้งสามถูกปิดบังซ่อนเร้นไว้โดยสิ้นเชิง จากด้านนอก พื้นที่นี้ดูไม่ออกว่ามีสิ่งใดผิดปกติเลยแม้แต่น้อย
ในเวลาเดียวกันกับที่เกราะปิดบังนั้นปรากฎขึ้น ลำแสงอันรุนแรงก็พุ่งผ่านท้องฟ้าบริเวณใกล้เคียงนั้นมา มันเสียดสีกับอากาศจนเกิดเป็นเสียงแหลมเล็กออกมา เมิ่งฮ่าวที่มีสีหน้าเย็นชากำลังอยู่กลางอากาศ
เขามาถึงภายในชั่วพริบตา จ้องกวาดพื้นดินไปรอบๆ เขาขมวดคิ้ว ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่ผิดปกติในพื้นที่บริเวณนี้ เขากำลังจะจากไป ด้วยดวงตาที่สาดประกาย เขาหยิบเอาแผ่นหยกออกมา และตรวจสอบมัน ในตอนนี้เองที่เขาสังเกตเห็นจุดสีขาวที่เป็นตัวแทนของฉื่อชิง รวมถึงอีกสองคน ได้หายไป
เขาไม่แน่ใจว่าทำไม แต่ความรู้สึกที่ไม่ไว้วางใจลึกๆ พุ่งขึ้นมาในจิตใจ เขามองลงไปยังพื้นดิน จากนั้นก็โบกสะบัดมือ เมื่อทำเช่นนั้น มังกรเปลวไฟยาวสิบจ้างก็ส่งเสียงดังกระหึ่มออกมา พุ่งลงไปด้านล่าง เสียงระเบิดดังออกมา และฝุ่นทรายก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน
แต่ก็มีพื้นที่แห่งหนึ่ง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสิบจ้าง ไม่มีฝุ่นทรายฟุ้งขึ้นมา เห็นได้ชัดว่ามันแตกต่างจากพื้นที่บริเวณรอบๆ นั้น
จ้าวซานเหอได้หลบซ่อนอยู่ด้านในของเกราะป้องกัน กำลังมีความยินดี มันเลียริมฝีปาก และดวงตาก็ลุกโชน ขณะที่มันเตรียมตัวจะทับลงไปบนตัวฉื่อชิง ทันใดนั้น เสียงระเบิดก็ได้ยินมาจากด้านนอก มันขมวดคิ้ว มองขึ้นไป ม่านตามันหดเล็กลง
เซียหยุนซุ่ย มองขึ้นไปด้วยความประหลาดใจเช่นเดียวกัน นางมีปฏิกิริยากับสถานการณ์นี้อย่างรวดเร็ว เกือบจะโดยอัตโนมัติ นางดึงกระบี่ที่แหลมคมออกมา และวางไปบนลำคอของฉื่อชิง
เป็นเพราะว่านางได้เห็นบุรุษหนุ่มที่ด้านนอก สวมใส่เสื้อผ้านักศึกษาสีดำ ดวงตาของเขาสาดประกายด้วยความต้องการสังหาร และขณะที่เขายกมือขึ้นมา นางก็เห็นหนึ่งในนิ้วทั้งห้านั้นถูกชโลมไปด้วยโลหิต เขาแตะไปที่พื้นผิวของเกราะเวท และแรงระเบิดก็สั่นสะเทือนไปทั่ว เขาอ้าปากขึ้น และหมอกสายฟ้าก็พุ่งออกมา กระแทกเข้าไปในเกราะสีชมพู
แรงระเบิดที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั้งพื้นดินและท้องฟ้า ก็ดังกึกก้องออกมาอีก เกราะป้องกันไม่อาจต้านทานพลังนั้นได้ และแตกกระจายออกในเสียงระเบิดนั้น ท่ามกลางความสิ้นหวัง ฉื่อชิงลืมตาขึ้นมา นางจ้องไปด้วยความว่างเปล่า
ขณะที่เกราะเวทแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หลังเกราะป้องกันที่แตกออกเป็นชิ้นๆ นั้น นางเห็นคนผู้หนึ่ง รังสีสังหารและความต้องการปลิดชีวิต พลุ่งพล่านออกมาจากคนผู้นั้น ด้านหลังร่างของเขาเป็นเถาวัลย์สีแดงคล้ำจำนวนมากมายที่บิดตัวไปมา!
เขาดูเหมือนเซียนแห่งความตาย ผู้ซึ่งกำลังโผล่ออกมาจากนรกโลกันต์ เต็มไปด้วยโทสะและความบ้าคลั่ง เมื่อเขามาถึง สายลมอันรุนแรงก็พัดกรรโชกทุกสิ่งทุกอย่าง
“พวกเจ้าทั้งสองคน…กำลังหาที่ตาย?!?!” ดูไม่เหมือนว่าเสียงของเมิ่งฮ่าวจะมีโทสะมากกว่าที่เคยเป็นมา มันดังออกมาเหมือนเสียงคำรามที่เต็มอยู่ในสองหู ราวกับว่ามันได้กระจายออกมาจากขุมนรก!
“เมิ่งฮ่าว…” ฉื่อชิงพูด ยิ้มออกมา รอยยิ้มของนางงดงาม และไม่มีความเย็นชาใดๆ เช่นยามปกติ มันเป็นเพียงรอยยิ้มที่เรียบง่าย
เรียบง่าย และ มีความสุข