ขณะที่เมิ่งฮ่าวอุ้มอ๋าวเฉี่ยนเดินออกไปจากด่านที่ห้า หวังลี่ไห่ก็โผล่ออกมาด้วยเช่นกัน โลหิตศักดิ์สิทธิ์ของมัน เต่าเฉียนอู่ที่ดูท่าทางดุร้าย ก็เต็มไปด้วยบาดแผลด้วยเหมือนกัน
ที่ด้านหน้าของเมิ่งฮ่าว และหวังลี่ไห่ ก็คือหลี่เต้าอี ซึ่งยังไม่ผ่านเข้าไปยังด่านที่หก
ด้านหลังของคนทั้งสอง ยังมีอีกห้าคนที่ยังคงติดอยู่ในด่านที่ห้า
หวังลี่ไห่จ้องไปยังเมิ่งฮ่าว และดวงตาของมันก็หดแคบลงเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิที่ด้านข้าง หลังจากที่เขาโผล่ออกมาจากด่านอาคม พลังของสวรรค์และปฐพีในพื้นที่รอบๆ บริเวณนั้นก็พุ่งเข้ามายังเมิ่งฮ่าว ซึ่งเขาก็ทำให้มันไหลเข้าไปในตัวอ๋าวเฉี่ยนที่ใกล้จะตายไป
เมิ่งฮ่าวหยิบเม็ดยาออกมามากมาย และก็ป้อนให้อ๋าวเฉี่ยนกลืนลงไปทีละเม็ด เพื่อช่วยให้มันฟื้นฟูร่างกายกลับมา
โชคดีที่ลมปราณบนพื้นที่ลานกว้างนี้มีอยู่อย่างหนาแน่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ด้านนอกของด่านที่ห้านี้ อ๋าวเฉี่ยนดูดซับปราณที่เข้มข้นจากเมิ่งฮ่าว และบาดแผลของมันก็เริ่มสมานดีขึ้นอย่างช้าๆ กระดูกที่หักไปก็ฟื้นคืนกลับมา หลังจากผ่านไปสักพัก อ๋าวเฉี่ยนก็ไม่ได้ใกล้ตายอีกต่อไป มีพลังคืนกลับมาบางส่วน มันเลียฝ่ามือของเมิ่งฮ่าว จากนั้นก็พยายามที่จะยืนขึ้น และเริ่มดูดซับลมปราณด้วยตัวมันเอง
ในโลกภายนอกของดินแดนด้านใต้ ทุกคนต่างก็สับสนวุ่นวาย ดวงตาเกือบหมื่นคู่ต่างก็จ้องไปยังเมิ่งฮ่าว และหวังลี่ไห่ เสียงพูดคุยอย่างตื่นเต้นเต็มอยู่ในอากาศ
เวลาผ่านไป เจ็ดวันหลังจากนั้น ซ่งเจียก็ออกมาจากด่านที่ห้า เฟิ่งโลหิตของนางไม่ได้โผล่อออกมาด้วย…
นางนั่งลงขัดสมาธิในทันที ในที่สุดหลังจากนั้น ลำแสงสีเขียวก็โผล่ออกมาจากแท่นบูชาหินสีเขียวที่อยู่ห่างไกล มันลอยต่ำตรงมายังซ่งเจีย ซึ่งกำลังพ่นโลหิตออกมาจากแก่นลมปราณ ผีเสื้อเวทสีโลหิตก็ปรากฎขึ้น และเริ่มกระพือปีกบินไปมารอบๆ ตัวนาง
เมื่อได้เห็นเช่นนั้น เมิ่งฮ่าวก็สรุปได้ว่า โลหิตศักดิ์สิทธิ์ของนางได้ตายไปแล้ว เขาไม่แน่ใจว่านางผ่านด่านที่ห้ามาได้อย่างไร แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้นางก็มีโอกาสได้เลือกโลหิตศักดิ์สิทธิ์ใหม่
อีกหลายวันผ่านไป หวังลี่ไห่หยุดการนั่งเข้าฌาณ ด้วยสีหน้ามุ่งมั่น มันเข้าไปยังด่านที่หก ซ่งเจียนั่งอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานก่อนที่จะตามมันเข้าไป
ผู้แข่งขันที่เหลือออกมาจากด่านที่ห้าทีละคน ยกเว้นศิษย์จากสำนักจินซวงที่ไม่ปรากฎกายขึ้น มันเป็นผู้แข่งขันคนแรก…ที่ตายในการแข่งขันล่าขุมทรัพย์เซียนโลหิตครั้งนี้
หลังจากที่มันตายไป ผู้ฝึกตนคนอื่นจากโลกด้านนอก ก็เข้ามาในเขตขุมทรัพย์แทน แต่เมื่อพิจารณาถึงการที่ทุกคนได้ผ่านด่านที่ห้าไปเรียบร้อยแล้ว ถึงคนผู้นี้จะโชคดีที่สามารถต่อต้านสวรรค์ได้อย่างแท้จริง มันก็ไม่มีทางที่จะมีโอกาสได้ครอบครองขุมทรัพย์นี้ เนื่องจากมันมีเวลาไม่เพียงพอที่จะผ่านด่านต่างๆ ได้อย่างแน่นอน
การตายของศิษย์สำนักจินซวง ทำให้ผู้แข่งขันจากสำนักจื่อยิ่นยืนคิดอย่างเคร่งเครียดอยู่สักพัก บนพื้นที่ราบกว้างใหญ่ด้านนอกของด่านที่ห้า เวลาผ่านไปไม่นานก่อนที่มันจะตัดสินใจจากไป ไม่มั่นใจว่าจะสามารถผ่านด่านที่หกได้ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของมันที่จะจากไปอย่างมีชีวิตอยู่
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ผู้ฝึกตนจากสำนักกูตู๋เจี้ยน ก็รู้สึกว่าไม่เป็นการฉลาดที่จะไปต่อ มันจึงตัดสินใจจากไปเช่นเดียวกัน
ศิษย์จากสำนักเซี่ยเยา ซึ่งดูเหมือนหวังโหย่วฉายเมื่อเจ็ดหรือแปดปีที่แล้ว โผล่ออกมาจากด่านที่ห้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก และนั่งลงเพื่อดูดซับลมปราณในทันที หลังจากนั้นไม่กี่วัน มันและโลหิตศักดิ์สิทธิ์ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ก็ติดตามหลี่เต้าอี, หวังลี่ไห่ และซ่งเจีย เข้าไปในด่านที่หก ทำให้มันเป็นลำดับที่สี่ที่เข้าไป
ด่านทั้งเก้าของการแข่งขันล่าขุมทรัพย์เซียนโลหิต ความยากลำบากดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากด่านที่สี่เป็นต้นมา ถึงแม้ว่าคนพวกนี้จะเตรียมตัวมาอย่างดี แต่มันก็ยังยากอยู่ดีที่จะผ่านไปได้แต่ละด่าน
เรื่องนี้ยิ่งเป็นความจริงโดยเฉพาะกับด่านที่หก, เจ็ด, แปด และเก้า ในการแข่งขันทั้งเจ็ดครั้งที่ผ่านมาในอดีต มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เคยเหยียบเข้าไปในด่านที่เก้า
และคนผู้นั้นก็เป็นผู้ถูกเลือกแห่งตระกูลหลี่!
นอกจากมัน มีเพียงผู้แข่งขันอีกสิบสามคนเท่านั้นที่เคยผ่านไปถึงด่านที่หก และมีเพียงหกคนที่ผ่านไปถึงด่านที่เจ็ด
จากด่านที่หกเป็นต้นไป ระดับความยาก และผลที่ตามมาของการต่อสู้ ต่างก็เพิ่มขึ้นอย่างโหดร้าย ดังนั้น พวกมันส่วนมากจึงเลือกที่จะจากไปหลังจากด่านที่ห้า เป้าหมายหลักของพวกมันในการเข้าร่วมครั้งนี้ ไม่ได้อยู่ที่การได้ครอบครองขุมทรัพย์ แต่เป็นผลที่ได้รับจากการฝึกฝน
สามารถกล่าวได้ว่า ประสบการณ์ที่ได้รับในการแข่งขันล่าขุมทรัพย์เซียนโลหิตนี้ เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนน้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้รับมัน
อีกหลายวันผ่านไป และในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็ลืมตาขึ้น ลมปราณที่อยู่รายรอบเขาตอนนี้เกือบจะจางหายไปโดยสิ้นเชิง เสาแห่งเต๋าต้นที่สองภายในร่าง เกือบจะสมบูรณ์เต็มที่ประมาณเก้าในสิบส่วน หลังจากผ่านด่านที่หก เขาก็น่าจะสร้างมันได้สมบูรณ์
อ๋าวเฉี่ยนยืนอยู่ด้านหน้าเขา ฟื้นคืนจากอาการบาดเจ็บอย่างสมบูรณ์ และเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณอย่างสูงสุด อีกครั้งที่พลังฝึกตนของมันเพิ่มสูงขึ้น ตอนนี้มันอยู่ในขั้นสร้างแกนลมปราณระดับกลาง ร่างของมันยาวห้าจ้าง ดูเหมือนภูเขาลูกเล็กๆ ดวงตาสีแดงเปล่งประกายดุร้าย และปกคลุมไปด้วยขนสีแดงที่ยาวดูสง่างาม เขี้ยวที่ยาวดูน่ากลัวส่องแสงเจิดจ้าออกมา
โดยเฉพาะกรงเล็บของมันก็ดูน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง มันยาวเท่ากับใบหน้าของคน และดูเหมือนจะแข็งแกร่งพอที่จะฉีกกระชากพื้นปฐพีให้แหลกเป็นชิ้นๆ
เมื่อเมิ่งฮ่าวลุกขึ้นยืน อ๋าวเฉี่ยนก็ดูเหมือนจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ เมิ่งฮ่าวเดินตรงไปข้างหน้า และร่างที่เหมือนภูเขาน้อยๆ ก็ติดตามไป มองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกพร้อมที่จะโจมตี เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ทำให้ผู้ที่มุงดูนับหมื่นคนในโลกด้านนอก ของดินแดนด้านใต้ จ้องดูด้วยจิตใจที่สั่นไหว ภาพฉากนี้คงจะประทับอยู่ในความทรงจำของพวกมันตลอดไป
“ด่านที่หก…” เมิ่งฮ่าวมองไปที่ทางเข้าและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ชำเลืองกลับมายังอ๋าวเฉี่ยน ท่าทางอันดุร้ายของมันก็เปลี่ยนไปในทันที ความมีเสน่ห์ปรากฎขึ้นในดวงตาของมัน และมันก็ก้มศีรษะลงเพื่อให้เมิ่งฮ่าวสามารถลูบคลำได้ มันปิดตาลงอย่างมีความสุข
“ข้าต้องนำเจ้าออกไปจากที่นี่พร้อมกับข้าให้ได้อย่างแน่นอน!” เมิ่งฮ่าวพูด ยิ้มออกมาขณะที่มองไปยังสีหน้าที่มีความสุขของมัน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ลูบคลำไปบนศีรษะของอ๋าวเฉี่ยนเป็นครั้งสุดท้าย เดินตรงไป ก้าวเข้าไปในด่านที่หก ร่างของอ๋าวเฉี่ยนกลายเป็นลำแสงขณะที่มันพุ่งตามไป
ด่านที่หก!
ในโลกแห่งนี้ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเสียงฟ้าคำราม และสายฟ้า ทันทีที่เมิ่งฮ่าวเข้าไป เสียงฟ้าผ่าก็ถาโถมเข้ามาในหูของเขา เห็นได้ชัดว่าโลกแห่งนี้ไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก
พื้นดินเป็นบึงเลนโคลน ซึ่งโชยกลิ่นของดินโคลนและความตายออกมา ในที่ห่างไกลออกไป…มีวัดโบราณขนาดใหญ่โตมโหฬาร ทั่วทั้งวัดเป็นสีดำมืดมิด และด้านข้างของมันเป็นรูปปั้นขนาดใหญ่ยักษ์ รูปปั้นสวมใส่เสื้อผ้าเป็นชุดยาวเรียบง่าย และมือขวาของมันยกขึ้นไปบนท้องฟ้า มือซ้ายถือดาบอยู่
ดาบ…กำลังลอยอยู่กลางอากาศ
วัดแห่งนี้ดูเหมือนจะมีมาตั้งแต่สมัยแรกๆ มันแผ่กระจายบรรยากาศความเก่าแก่โบราณออกมา จากจุดนี้ไกลออกไป ดูเหมือนจะเป็นภูเขา สายฟ้าฟาดลงมา ดูเหมือนว่าตั้งใจจะทำลายวัดนี้ไป ราวกับว่าวัดแห่งนี้ไม่ได้ถูกยอมรับให้มีอยู่ในสถานที่นี้
ประกายแสงของสายฟ้า ส่องให้เห็นบึงโคลนบนพื้น แขนมากมายนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาให้เห็นจากบึงโคลนนั้น กำลังพยายามจะไขว่คว้าบางสิ่งบางอย่างอยู่ เมื่อมองจากที่ห่างไกลมา จะเห็นเป็นลานแขนนับไม่ถ้วนที่ดูเหมือนกำลังเอื้อมออกไปไขว่คว้าอยู่ตลอดเวลา
ที่มองเห็นได้จากในบึงโคลนนั้นก็เป็นใบหน้าด้วย จากปากที่กำลังกรีดร้องอย่างทรมานออกมา มีทั้งบุรุษและสตรี ชราและเยาว์วัย มีกิ่งก้านเป็นหนวดยาวสีเขียวดูแปลกประหลาดโผล่ออกมาจากใบหน้าพวกมัน ซึ่งส่ายไปมาอยู่ตลอดเวลา…
เมิ่งฮ่าวมองไปยังภาพทั้งหมดนี้ และคิดว่าเขาไม่คุ้นเคยกับโลกแห่งนี้ รวมถึงไม่เคยเห็นวัดที่ตั้งอยู่ในที่ไกลตานั้น แต่เขาก็ยังคงสามารถคาดเดาชื่อของวัดนี้ได้
“ไท่เอ้อ…” เสียงกรีดร้องดังออกมาจากใบหน้าภายในบึงโคลนนั้น เสียงร้องนั้นประกอบขึ้นจากเสียงนับไม่ถ้วนรวมเข้าด้วยกัน เป็นเสียงร้องที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความโกรธแค้นต่อต้านสวรรค์ จากคนที่ตายด้วยความคับแค้นใจ ความโกรธแค้นนี้ไม่ได้จางเบาบางลง ไม่ว่าจะผ่านไปนานกี่ปี นี่เป็นส่วนหนึ่งของนามของชนเผ่าพวกมัน
ไท่เอ้อ!
ชนเผ่าโบราณไท่เอ้อ ไม่ยอมกล้ำกลืนฝืนทนต่อความต้องการแห่งสวรรค์ ภัยพิบัติที่ขุดรากถอนโคนจึงถูกส่งลงมา แต่ชนเผ่านี้ก็ไม่ยอมตายอย่างง่ายดาย พวกมันรวมพลังของชนเผ่าทั้งหมด ก่อตัวเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ พวกมันอ้างว่าดินแดนนี้เป็นของพวกมัน และกระด้างกระเดื่องต่อสวรรค์ ดินแดนผืนนี้ไม่อาจได้รับความเสียหายได้ รวมถึงวัดก็ไม่อาจโดนทำลายลง ชนเผ่าไท่เอ้อต้องไม่ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น!
ด้านบนสุดของวัดเป็นกลองขนาดใหญ่มหึมาสีดำล้วน ราวกับว่ามันได้ถูกย้อมด้วยโลหิตครั้งแล้วครั้งเล่า ผ่านมาหลายหมื่นปีจนไม่อาจนับได้
ด้านล่างของวัด ข้างรูปปั้นขนาดใหญ่ เป็นประตูศิลที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง แสงริบหรี่กระจายออกมา ส่องไปยังภาพแกะสลักที่เป็นรูปของสิ่งมีชีวิตท่าทางดุร้ายมากมาย ซึ่งตกแต่งอยู่บนประตูศิลานั้น
เสียงเก่าแก่โบราณดังออกมาราวฟ้าร้อง “ถ้าเจ้าต้องการครอบครองขุมทรัพย์ของข้า ก็ให้เข้าไปในวัดของข้า!” มันดังออกมากลบเสียงที่กำลังกรีดร้อง บดบังทุกสิ่งทุกอย่าง
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกาย ด้านข้างเขา ภูเขาน้อยๆ ยาวห้าจ้าง อ๋าวเฉี่ยนแยกเขี้ยวที่คมราวใบมีด และชำเลืองไปมา คำรามเสียงทุ้มต่ำอยู่ในลำคอ และความดุร้ายก็ส่องประกายออกมาจากดวงตา ด้วยขนาดที่ใหญ่โตดูสง่างาม, ขนสีแดงยาว ที่มีเดือยอันแหลมคมงอกออกมาจากกระดูก ทำให้มันดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
เสียงฟ้าร้องกระจายไปทั่วในท้องฟ้า และสายฟ้าก็ผ่าลงมาอย่างต่อเนื่อง ส่องสว่างไปทั่วพื้นที่บริเวณนั้น ร่างเมิ่งฮ่าวเปลี่ยนเป็นลำแสงหลากสี ขณะที่ลอยขึ้นไปในอากาศ มุ่งหน้าตรงไปยังวัดโบราณ ด้านหลังเขา อ๋าวเฉี่ยนส่งเสียงหอนออกมา จากนั้นก็ติดตามเขาไป
ทันทีที่ทั้งสองบินขึ้นไปในอากาศ มือที่ยื่นออกมาจากภายในบึงโคลน ทันใดนั้นก็เริ่มยืดออกมา เพียงชั่วพริบตา พวกมันก็มาถึงตัวเมิ่งฮ่าว และกำลังจะคว้าจับเขาไว้
เขาแค่นเสียงอย่างเย็นชา และตบไปที่ถุงสมบัติ กระบี่ไม้สองเล่มก็ลอยออกมา หมุนวนไปรอบๆ ตัวเขาด้วยความเร็วสูงสุด โลหิตระจายออกมาเมื่อมือที่เข้ามาใกล้ ทันใดนั้นก็ถูกตัดออกไป ก่อนที่พวกมันจะสัมผัสถึงตัวเมิ่งฮ่าว
โลหิตสีดำพร่างพรมลงไปยังด้านล่างราวสายฝน กลิ่นเหม็นเริ่มอบอวลไปทั่วอากาศ จริงๆ แล้ว เมื่ออยู่ในโลกแห่งนี้ ร่างของอ๋าวเฉี่ยนก็เริ่มเรืองแสงสีแดง ไม่มีแม้แต่แขนเดียวที่จะสัมผัสมันได้ พวกมันถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ในทันที
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เมิ่งฮ่าว และอ๋าวเฉี่ยนเร่งความเร็วตรงไป ใกล้จะถึงครึ่งทาง เสียงกรีดร้องอย่างสิ้นหวังก็ดังออกมาจากใบหน้าที่หลากหลายในบึงโคลนนั้น กิ่งก้านที่คล้ายหนวดสีเขียว ซึ่งยืดขยายออกมาจากใบหน้าพวกมัน ก็พุ่งขึ้นไปในทันที ทีละเส้น ทีละเส้น พวกมันเปลี่ยนเป็นเหล็กที่แหลมคมนับไม่ถ้วน พุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าว