ฉู่อวี้เยียนเริ่มท่องเคล็ดวิชาลับของสำนักจื่อยิ่นออกมาช้าๆ “ลมปราณม่วงแห่งบูรพา บ่มเพาะเก้าลมปราณม่วงแห่งสวรรค์ และปฐพี ใช้วิธีการที่มาจากดินแดนตะวันออก เข้าใจถึงการลอยขึ้นมาของดวงตะวัน และจันทรา, เปลี่ยนให้เป็นความมุ่งมั่นอยู่ในจิตใจ จับตามองความฉลาด ลิ้มรสแสงจันทรา…”
เมื่อได้เห็นเมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ที่นั่น ดูเหมือนว่ากำลังครุ่นคิดอย่างเคลิบเคลิ้ม นางก็พูดออกมาอย่างช้าๆ แต่ภายในจิตใจของนาง กำลังยิ้มอย่างเย็นชา
“แน่นอนว่ามันกำลังคาดเดาว่า ข้าไม่เพียงแต่ต้องการเสื้อผ้าเท่านั้น แต่ข้ายังวางเหยื่อล่อไว้ มันต้องการเปิดถุงสมบัตินั้นมากเท่ากับข้า มันไม่เพียงแต่จะเอาแค่เสื้อผ้ามาให้ข้าอย่างแน่นอน มันต้องเอาของวิเศษ และเม็ดยาบางส่วนออกมาด้วย แต่ไม่ว่ามันจะเอาอะไรออกมา ตราบเท่าที่มันได้เรียนรู้วิชาลมปราณม่วงแห่งประจิมที่ข้าเพิ่งสอนไป มันก็ต้องกลายเป็นคนพิการ!”
ความลังเลเล็กน้อยปรากฎขึ้นบนใบหน้าของนาง ขณะที่กำลังท่องเคล็ดวิชาทวนซ้ำอีกครั้งอย่างช้าๆ
นี่, แน่นอนว่า ไม่ใช่เคล็ดวิชาลมปราณม่วงแห่งบูรพา แต่เป็นวิชาลับสุดยอด ซึ่งได้คิดค้นขึ้นมาภายหลังโดยสำนักจื่อยิ่น มันถูกเรียกว่า ลมปราณม่วงแห่งประจิม แม้แต่หวังเถิงเฟยก็ไม่รู้เรื่องนี้ มีแต่ศิษย์พิเศษเฉพาะของสำนักเท่านั้นที่จะเรียนรู้มันได้ จุดประสงค์หลักของมันก็คือ เพื่อเตรียมการจัดหาพลังลมปราณ และพลังชีวิตให้กับผู้ถูกเลือก!
ผู้ถูกเลือกทุกคนแห่งสำนักจื่อยิ่น จะมีโอกาสเลือกใครบางคนเพื่อให้มาฝึกวิชาลมปราณม่วงแห่งประจิม ผู้อาวุโสของสำนักต้องมาช่วยป้องกันไม่ให้ใครคนนั้นต่อต้าน และช่วยให้มันฝึกอย่างมีเสถียรภาพ หลังจากที่ฝึกฝนสำเร็จแล้ว คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นร่างจำแลงชนิดหนึ่งของผู้ถูกเลือก ซึ่งผู้ถูกเลือกจะสามารถดูดซับพลังฝึกตน และพลังชีวิตของคนผู้นั้นด้วยวิชาลมปราณม่วงแห่งบูรพา
เนื่องจากวิชาทั้งสองชนิดนี้ จึงทำให้สำนักจื่อยิ่นมีศักดิ์ฐานะในดินแดนด้านใต้เช่นปัจจุบันนี้
ฉู่อวี้เยียนยังไม่เคยใช้วิชาลมปราณม่วงแห่งประจิมกับใครเลย แต่ตอนนี้ก็ไม่มีหนทางอื่น นอกจากใช้วิชานี้เท่านั้น
ถึงวิชานี้จะมีพลังมาก แต่ก็อาจจะมีผลข้างเคียงที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง จึงมักจะให้ผู้อาวุโสของสำนักมาคอยประกบอยู่ด้านข้าง พร้อมที่จะช่วยต่อต้านเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นในช่วงของการฝึก
“ถ้าเจ้าไม่มีปัญหากับเคล็ดวิชาขั้นแรก ข้าก็จะให้โลหิตแก่เจ้าสักเล็กน้อย” ฉู่อวี้เยียนกล่าวเสียงราบเรียบ “เป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นดวงตะวัน โดยที่ไม่มีดวงตะวัน หรือจันทราอยู่ในสายตา เช่นเดียวกัน มันเป็นการยากที่จะดูดซับลมปราณม่วง ถ้าไม่มีมันอยู่ภายในร่างกาย แต่มันมีอยู่ในโลหิตของข้า ซึ่งจะช่วยให้เจ้าใช้วิชานี้ได้”
เมิ่งฮ่าวมองไปยังฉู่อวี้เยียน ดวงตาสาดประกายของความคิดใคร่ครวญ แต่ภายในจิตใจ เขากำลังหัวเราะอย่างเย็นชา ก่อนที่นางจะท่องเคล็ดวิชาออกมา เขาก็คาดเดาว่านางมีความประสงค์ร้าย มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาไม่ค่อยมั่นใจก็คือ นางจะใช้วิธีการใดในการทำเรื่องนี้
เมื่อได้ยินเคล็ดวิชาเบื้องต้น เขาก็เริ่มได้เบาะแส เหตุผลหลักที่นางสอนวิธีฝึกวิชานี้ให้แก่เขา ก็เพราะว่าต้องการให้เขาเปิดถุงสมบัติออก และในที่สุดมันก็จะเป็นอันตรายต่อเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ทันใดนั้น เขาก็ยืนขึ้น เดินตรงไปนั่งยองๆ ที่เบื้องหน้านาง เอามือจับเส้นผม และดึงศีรษะของนางเข้ามาใกล้ นางพยายามจะดิ้นรน แต่ก็ไม่ได้มีความแข็งแรงเท่าเขา ซึ่งก็ทำให้ร่างในร่มผ้าของนางเปิดเผยออกมามากยิ่งขึ้น ขณะที่พยายามจะต่อต้านเขา
“เมิ่งฮ่าว, เจ้ากำลังจะทำอะไร?!” นางร้องตะโกนออกมา สีหน้าเปลี่ยนไป ทันใดนั้นจิตใจก็เต็มไปด้วยความกระวนกระวาย และร่างก็เริ่มสั่นสะท้าน ริมฝีปากของนางอยู่ห่างจากปากของเขาเพียงไม่กี่ชุ่น นางสามารถได้กลิ่นลมหายใจของเขา มือของเมิ่งฮ่าวจับไปที่ศีรษะของนางราวกับคีมเหล็ก นางไม่สามารถจะขยับถอยไปด้านหลังได้แม้แต่น้อย
“เจ้าไม่จำเป็นต้องให้โลหิตแก่ข้า ข้าจะมาเอาด้วยตัวเอง” เขาดึงศีรษะของนางไปด้านข้าง จากนั้นก็กัดลงไปยังไหล่ของนางอย่างโหดเหี้ยม ฝังรอยฟันลึกลงไปในผิวเนื้อ
ร่างของนางสั่นสะท้าน และความเกลียดชังอันดุร้ายก็ปรากฎขึ้นในดวงตา
เขาอยู่ใกล้ชิดมากจนนางสามารถสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากเขา ถ้ามองมาจากที่ห่างไกล พวกเขาทั้งสองดูเหมือนว่ากำลังโอบกอดกัน
สักพักหลังจากนั้น เมิ่งฮ่าวก็ปล่อยมือ และลุกขึ้นยืน ไม่แม้แต่จะชายตามองนางอีก เขาเดินกลับไปยังจุดของเขา และนั่งลงเข้าฌาณ โลหิตของนางหยดลงมาจากมุมปาก เขาปิดตาลง เริ่มบ่มเพาะพลังตามเคล็ดวิชาที่ฉู่อวี้เยียนเพิ่งจะสอนเขามา
ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าที่ฉู่อวี้เยียนจะหยุดการหายใจอย่างตื่นเต้น และฟื้นกลับสู่ความสงบเยือกเย็นได้ นางจ้องอย่างเกลียดชังไปยังเมิ่งฮ่าว
“แค่รอจนเจ้าฝึกวิชานี้จนสำเร็จ” นางคิดอยู่ภายในใจ “ข้าจะดูดพลังฝึกตนของเจ้า และฉีกเจ้าออกเป็นชิ้นๆ ข้าจะใช้พลังของเจ้ามากระตุ้นตราประทับในร่างของข้า จากนั้นสำนักจื่อยิ่นก็จะหาข้าพบ” นางขบฟันแน่นจนมันแทบจะแหลกละเอียดไป สาบานว่าจะต้องเอาคืนเป็นสิบเท่า
ต้องดูถูกเหยียดหยามเมิ่งฮ่าวให้มากที่สุด เท่าที่นางต้องอดทนในวันนี้ให้จงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเจ็บปวดที่หัวไหล่ และรอยกัด มันเป็นสิ่งที่นางไม่อาจยอมรับได้อย่างง่ายดาย
เวลาผ่านไป หลายชั่วยามต่อมา เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้น ภายในม่านตาของเขา ปรากฎเป็นสีม่วงขึ้นจางๆ เมื่อนางเห็นดังนั้น ฉู่อวี้เยียนก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
“เคล็ดที่สอง” เมิ่งฮ่าวกล่าวตามปกติ
โดยไม่ลังเล ฉู่อวี้เยียนเริ่มบอกเขาถึงเคล็ดวิชาขั้นที่สอง “ลมปราณม่วงกลายเป็นทะเลสาบ ย้อมสีริมฝั่งของเสาแห่งเต๋า โคจรหมุนเวียนไปเก้ารอบภายในสามชั้น ตราประทับของมังกรม่วง…”
เวลาผ่านไป ยาวนานกว่าครั้งที่แล้ว ฉู่อวี้เยียนเริ่มรู้สึกไม่แน่ใจขึ้นเล็กน้อย
“คิดย้อนกลับไปยังสำนัก ผู้ที่ถูกเลือกให้ฝึกวิชาลมปราณม่วงแห่งประจิมโดยศิษย์พี่หลี่ ใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วยามก็ฝึกสำเร็จภายใต้การจับตาดูของศิษย์พี่ ทำไมเมิ่งฮ่าวถึงฝึกได้ช้านัก?”
นางยังคงไม่แน่ใจต่อไปเมื่อเวลาผ่านไปอีกสองชั่วยาม ในที่สุด เมิ่งฮ่าวก็ลืมตาขึ้น แสงสีม่วงเข้มข้นมากยิ่งขึ้น เมื่อนางเห็นเช่นนั้น ฉู่อวี้เยียนก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“มันต้องมีพรสวรรค์ที่ธรรมดาอย่างแน่นอน จึงต้องใช้เวลานานกว่าคนอื่นๆ เพื่อบ่มเพาะพลัง” ต่อมา, นางก็บอกเขาถึงขั้นตอนที่สาม
เมิ่งฮ่าวขบคิดอย่างเงียบๆ อยู่ชั่วครู่ จากนั้น เขาก็ปิดตาลง และเริ่มเข้าฌาณ ครั้งนี้ใช้เวลานานกว่าเดิม สองวันเต็มผ่านไปก่อนที่เขาจะฝึกสำเร็จ แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้น ม่านตาก็กลายเป็นสีม่วงอย่างสมบูรณ์ และดวงตาก็ส่องประกายสีม่วงออกมาเช่นเดียวกัน
ความจริงแล้ว ทั่วทั้งร่างของเขาดูเหมือนจะส่องประกายสีม่วงออกมา
เดิมทีฉู่อวี้เยียนรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย แต่เมื่อได้เห็นสีม่วงอันเข้มข้นอยู่ในดวงตาของเขา พลังฝึกตนในร่างของนางก็ดูเหมือนจะกระตุกขึ้นอย่างรุนแรง นางจึงตัดสินใจได้ในตอนนี้
“ตอนนี้ยังเหลืออีกเพียงขั้นตอนสุดท้าย” นางคิดในใจ “และเมื่อมันฝึกสำเร็จ ก็จะเป็นคราวเคราะห์ของมัน!” ดวงตาของนางส่องประกายเบาบาง และกล่าวขึ้น
“ตอนนี้, พวกเราฝึกบ่มเพาะพลังร่วมกัน เมื่อพวกเรารวมพลังเข้าด้วยกัน ถุงสมบัติก็จะเปิดออก เจ้าต้องตั้งใจเป็นอย่างมากเมื่อมันเกิดขึ้น ห้ามผ่อนคลายแม้แต่น้อย ช่วงที่เกิดขึ้นมันรวดเร็วมาก และถ้าเจ้าไม่สามารถเปิดถุงสมบัติออกมาได้ ก็จะไม่มีโอกาสที่สองอีกแล้ว”
ขณะที่นางพูด ความเกลียดชังที่มีต่อเขา ก็ดูเหมือนจะเผยออกมา และส่งผ่านไปยังร่างของเขา นางยกมือขึ้น
“เพียงแค่จับไว้ไม่นาน” นางคิด หัวเราะอย่างเย็นชากับตัวเอง “จากนั้นทุกอย่างก็จบลง”
ใบหน้าของเมิ่งฮ่าวไร้ความรู้สึก เขามองอย่างเย็นชาไปที่ฉู่อวี้เยียน ม่านตาสีม่วงของเขาสาดประกาย หยิบเอาถุงแห่งจักรวาลออกมาวางอยู่ด้านข้าง ยกมือขึ้น ประกบฝ่ามือไปที่ฝ่ามือของนาง ทันใดนั้น พลังฝึกตนของคนทั้งสอง ซึ่งถูกสะกดไว้ก่อนหน้านี้ ก็เริ่มเดือดพล่านขึ้นมา
ปฏิกิริยานี้รุนแรงมากขึ้น และลมปราณสีขาวก็เริ่มพุ่งขึ้นมาจากร่างของพวกเขา หยดเหงื่อไหลลงมาจากใบหน้าของทั้งสอง เมื่อมันเกิดขึ้น เมิ่งฮ่าวก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน ถึงพลังลมปราณสีม่วงในร่างของเขา กำลังถูกเรียกโดยอะไรบางอย่าง มันเริ่มพุ่งออกไปจากมือของเขา และฉู่อวี้เยียน ประกายสีม่วงในดวงตาของเขาก็เริ่มจางหายไป
ในตอนนี้ เมิ่งฮ่าว ทันใดนั้นก็รู้สึกว่า แรงกดดันบนพลังฝึกตนของเขาได้หายไปเล็กน้อย พลังลมปราณเบาบางในร่างทันใดนั้นก็กระจายออกมา โดยไม่ลังเล เขาส่งมันตรงไปยังถุงแห่งจักรวาล มันเรืองแสงขึ้น และบางอยางก็โผล่ออกมา
“ลมปราณม่วงแห่งบูรพา และประจิม, รวม!” ฉู่อวี้เยียนร้องออกมา ไม่สนใจว่ามีอะไรโผล่ออกมาจากถุงแห่งจักรวาล ดวงตาของนางส่องประกายเจิดจ้า
ในเวลานั้นเอง เมื่อพลังฝึกตนของเมิ่งฮ่าวกำลังพุ่งตรงไปยังฉู่อวี้เยียน ทันใดนั้น นางก็รู้สึกว่าพลังลมปราณของนางสั่นสะเทือน…ในชั่วเวลาหายใจเข้าออกสองครั้ง มันเหมือนกับว่าพลังลมปราณของเมิ่งฮ่าวได้หายไปอย่างสิ้นเชิง นางไม่สามารถดูดซับอะไรได้มากไปกว่านั้น
“มันมีพลังของพื้นฐานลมปราณ เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะดูดซับได้เพียงเล็กน้อย…นี่…” สีหน้าของนางเปลี่ยนไป ขณะที่มองไปยังเมิ่งฮ่าว เขามองกลับมาที่นางพร้อมรอยยิ้มเยาะเย้ย ณ ตอนนี้ ไม่มีร่องรอยสีม่วงในดวงตาของเขาแม้แต่เพียงน้อยนิด
เมื่อนางเห็นเช่นนั้น หัวใจของฉู่อวี้เยียนก็เต้นรัว และใบหน้าก็บิดเบี้ยวด้วยความไม่อยากเชื่อ นางรีบตะเกียกตะกายไปด้านหลัง
“เจ้า…”
“ขอบคุณมาก, สหายเต๋าฉู่” เขาพูดเสียงเย็นชา ยกมือขึ้น และสิ่งของที่โผล่ออกมาจากถุงแห่งจักรวาลก็ลอยเข้ามาในมือ
มันเป็นก้อนหินผลึก ที่ไม่ใช่ผลึกธรรมดาทั่วไป แต่เป็นหนึ่งในสามของหินลมปราณที่ใหญ่เป็นพิเศษ ซึ่งยังคงเหลืออยู่ในถุงสมบัติของเขา!
ใบหน้าของนางซีดขาว ขณะที่พิงลงไปยังผนังหินด้านหลังด้วยจิตใจหนักอึ้ง ไม่สามารถรู้ได้ว่าทำไมลมปราณม่วงแห่งประจิมถึงได้ล้มเหลว นางรู้สึกได้ว่าเขาฝึกฝนวิชานี้อย่างแน่นอน และสีม่วงในดวงตาของเขาก็ไม่ใช่ของปลอม ถ้ามันใช่ พลังฝึกตนของนางก็ต้องไม่เริ่มเดือดพล่าน หรือ นางก็ไม่สามารถดูดซับพลังจากเขาได้เล็กน้อยเช่นนั้น
ร่างของนางเริ่มสั่นสะท้าน แผนการของนางเมื่อครู่นี้น่าจะสมบูรณ์แบบไร้ข้อบกพร่อง มันก็คือการเล่นพนัน และนางก็มั่นใจว่าเขาได้ติดกับแล้ว เมื่อปลากินเหยื่อ ก็ไม่มีทางที่เขาจะสามารถหนีรอดออกไปได้
แต่ความจริงก็ยังคงอยู่ตรงหน้า จิตใจของฉู่อวี้เยียนสั่นสะท้าน ขณะที่มองไปยังเมิ่งฮ่าว ทันใดนั้น นางก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ความรู้สึกนี้รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้านั่นเป็นเรื่องราวทั้งหมด มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่เมื่อนางสังเกตเห็นหินลมปราณก้อนใหญ่ในมือของเมิ่งฮ่าว ม่านตาของนางก็หดแคบลง มองเข้าไปใกล้ๆ จากนั้นก็เริ่มหอบหายใจออกมา ความไม่อยากจะเชื่อปกคลุมอยู่บนใบหน้า
“นั่นคือ…หินลมปราณระดับสูงพิเศษสุด!”