ปลายเดือนเก้า อากาศร้อนอบอ้าว ไร้วี่แววว่าจะหายร้อน แต่กลับร้อนมากยิ่งขึ้น เขตทิศใต้ของดินแดนหนานซาน ในแคว้นจ้าว อากาศจะเริ่มเย็นลงราวๆ ช่วงเดือนสิบเอ็ด จนถึงปีใหม่ฤดูหนาวก็มาเยือน
เช้าวันหนึ่งยามรุ่งอรุณ เมิ่งฮ่าวออกมาจากถ้ำแห่งเซียน สองตาสาดประกาย เต็มไปด้วยความมุ่งหวังในอนาคต
“พลังการฝึกตนของข้าใกล้ถึงจุดสูงสุด ในระดับขั้นสามของการรวบรวมลมปราณแล้ว” เขากล่าว สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “แม้ว่าข้าจะไม่ใช่ผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งในศิษย์สายนอก แต่อย่างน้อยก็ไม่มีใครที่จะสามารถรังแกข้าได้อีก” เขามองไปยังที่ห่างไกล สายลมแห่งขุนเขาพัดเส้นผมเขาพริ้วขึ้นมา ทำให้ดูแล้วมีเสน่ห์งดงามอย่างยิ่ง
จากนักศึกษาผู้ตกยาก ได้เข้าสู่วิถีแห่งเซียน เมื่อเขาคิดย้อนกลับไป กับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันเก่าๆ ที่ผ่านมา มันดูเหมือนเกือบจะไม่ใช่ความจริง
“แย่จริง ข้ามีหินลมปราณไม่เพียงพอ แล้วยาเม็ดรวบรวมลมปราณก็ไม่ได้เข้มข้นพอที่จะใช้…” ความตื่นเต้นของเขาเปลี่ยนเป็นความผิดหวัง เมื่อเขาคิดไปถึงหินลมปราณ
“เจ้าอ้วน, หวังโหย่วฉาย และเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอีกคน” เมิ่งฮ่าวพึมพำกับตัวเอง “พวกเราทั้งสี่เข้ามาที่สำนักเอกะเทวะพร้อมกัน ข้าสงสัยเหลือเกินว่า ตอนนี้พวกเขาจะเป็นอย่างไรกันบ้าง” เขาโคจรพลังลมปราณไปทั่วร่าง เคลื่อนร่างไปอย่างรวดเร็วคล้ายประกายไฟ ทันใดนั้นก็ตรงไปยังภูเขาด้านทิศเหนือ
ภูเขาทิศตะวันออก ใต้ ตะวันตก และทิศเหนือของสำนักเอกะเทวะ สูงชันราวกับจะทะลุท้องฟ้า ปกคลุมไปด้วยศาลาที่แกะสลักจากหยก ถ้ามองไปที่ภูเขาในระยะใกล้ ก็จะสามารถมองเห็นรัศมีของแสงแห่งรุ่งอรุณ เริ่มส่องประกายปกคลุมไปทั่วยอดเขา
เมฆขาวลอยคลอเคล้าตามขุนเขา เพิ่มความลึกลับให้กับภูเขา ดูเหมือนกับเป็นสถานที่ของเทพเซียนอย่างแท้จริง
ถ้าต้องการที่จะเดินทางจากภูเขาทิศใต้ ไปยังภูเขาด้านทิศเหนือ ก็ต้องผ่านภูเขาทิศตะวันออก หรือไม่ก็ภูเขาทิศตะวันตก เมิ่งฮ่าวเดินทางผ่านภูเขาทิศตะวันออก พร้อมกับไก่ป่าสองตัวในมือ
“ข้าไม่เห็นเจ้าอ้วนเกือบสองเดือนมาแล้ว มันคงจะผอมลงไปไม่น้อย” เมื่อคิดถึงเจ้าอ้วน เมิ่งฮ่าวก็ยิ้มออกมา จากนั้นสายตาก็ส่องประกายและหยุดเดินในทันใด
เขารู้สึกถึงสายลมที่อ่อนโยนจากด้านหน้า พัดโชยมาพร้อมกับหมอกจางๆ ท่ามกลางสายหมอก ปรากฎบุรุษหนุ่มในชุดยาวหรูหราสีขาวเดินมา
ดูแล้วช่างแตกต่างจากศิษย์สายนอกคนอื่นๆ ยิ่งนัก ชุดสีขาวดุจหิมะ เส้นผมที่ยาวเงางามปกคลุมไหล่ เพิ่มความหล่อเหลา สง่างาม ให้เจ้าของเป็นอย่างยิ่ง มองดูแล้วสมบูรณ์พร้อมไร้ที่ติ ทั้งร่างกายภายนอก และอารมณ์ภายใน เหมือนกับว่าเป็นผู้ที่ได้รับพรจากสวรรค์ ผู้ถูกเลือกจากธรรมชาติโดยแท้
กิริยาท่าทางเยือกเย็น และไม่แยแส ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดมีค่า ควรแก่การเหลียวแล ถึงแม้ภูเขาจะพังทะลายลงมาต่อหน้า เขาก็ยังคงอยู่ในความสงบ สายหมอกใต้ร่างเขาลอยปั่นป่วนไปมา
ด้านหลังบุรุษชุดขาวเดินมาด้วยบุรุษหนุ่มอีกสองคน ซึ่งก็ดูหล่อเหลาเช่นกัน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับบุรุษชุดยาว ก็กลายเป็นไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
“ศิษย์พี่หวัง พวกเราได้ข่าวมาว่าในเร็วๆนี้ ทางสำนักจะมีการแข่งขัน เพื่อคัดเลือกศิษย์สายใน พวกเราศิษย์ผู้น้อง ขอถือโอกาสนี้อวยพรให้ท่านประสบความสำเร็จล่วงหน้าด้วย”
“ใช่ เมื่อศิษย์พี่หวังเลือกสำนักในตอนแรก ก็เป็นที่โด่งดังไปทั่ว ทั้งยังไปกระตุ้นความสนใจของสำนักใหญ่อีกสามแห่ง แต่ในที่สุดศิษย์พี่หวังก็เลือกที่จะเข้าสังกัดสำนักเอกะเทวะ ช่างไม่ธรมดาซะจริงๆ! กล้าที่จะปฏิเสธคำเชิญชวนของสำนักใหญ่ทั้งสาม แล้วก็ก้าวถึงขั้นหกของการรวบรวมลมปราณในเวลาแค่สองปี ข้ายังเคยได้ยินหนึ่งในท่านอาวุโสกล่าวว่า การคัดเลือกครั้งนี้ จัดเตรียมให้กับศิษย์พี่หวังโดยเฉพาะ”
“ใช่แล้ว เมื่อศิษย์พี่หวังเข้าสังกัดเป็นศิษย์สายใน ไม่นานก็คงล้ำหน้าศิษย์พี่หญิงฉื่อ และ ศิษย์พี่เฉิน กลายเป็นศิษย์อันดับหนึ่งที่โด่งดังของสำนักเอกะเทวะเป็นแน่”
“อย่าได้พูดจาเช่นนี้” บุรุษชุดขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ศิษย์พี่หญิงฉื่อเป็นผู้ที่ถูกเลือก และศิษย์พี่เฉินก็มีจิตใจที่มุ่งมั่นในวิถีแห่งเต๋า ศิษย์พี่ทั้งสองเป็นผู้ที่ข้าเคารพและยอมรับ” เสียงของเขาอบอุ่นและนุ่มนวล แต่ก็เข้มแข็งเยี่ยงชายชาตรี และฟังแล้วเจริญหูเป็นอย่างยิ่ง คนผู้นี้ก็คือศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งของสำนัก หวังเถิงเฟย
“ศิษย์พี่หวังมีพลังการฝึกตนที่โดดเด่น เพียบพร้อมไปด้วยพรสวรรค์ และธรรมชาติที่สวรรค์สรรสร้าง พวกเราผู้เป็นศิษย์น้อง รู้สึกมีเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่ได้ติดตามรับใช้”
ทั้งสามคนคุยไป เดินไปอย่างช้าๆ ตรงมาที่เมิ่งฮ่าว ศิษย์พี่หวังในชุดยาวสีขาว มองมาที่เมิ่งฮ่าวแล้วก็พยักหน้าให้ เมิ่งฮ่าวเดินผ่านพวกเขาไป บุรุษหนุ่มอีกสองคนไม่ชายตามองเขาเลยแม้แต่น้อย
เมื่อพวกเขาเดินผ่านไป เมิ่งฮ่าวชำเลืองมองกลับไป ก็สังเกตพบว่าเท้าของบุรุษชุดขาวไม่ได้เหยียบไปบนพื้น แต่ลอยห่างจากพื้นประมาณหนึ่งคืบ เมิ่งฮ่าวอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
เขาตระหนักดีว่าไม่สามารถเปรียบเทียบกับคนผู้นี้ได้แม้เศษเสี้ยว เขาอ่อนแอและผิวคล้ำ ไร้เสน่ห์ดึงดูดใจแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังถือไก่สองตัวที่ดิ้นไปมาอยู่ในมืออีกด้วย
“ผู้นั้นคงเป็นศิษย์พี่หวังเถิงเฟย ที่มีความสามารถลอยตัวในอากาศ ซึ่งเป็นผลจากการฝึกถึงขั้นห้าของการรวบรวมลมปราณ” เขาเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับศิษย์พี่หวังมากมาย ทำให้รู้เกี่ยวกับตัวบุรุษหนุ่มนั้นหลายอย่าง
เมื่อหวังเถิงเฟยเข้าสำนักมาใหม่ๆ ก็ก่อให้เกิดความปั่นป่วนในดินแดนแห่งผู้ฝึกตนของแคว้นจ้าว ไม่มีผู้ใดทราบว่าสำนักเอกะเทวะ ได้จ่ายค่าตอบแทนไปเท่าไหร่ เพื่อที่จะหยุดความวุ่นวายนั้นลง หรือเหตุใดหวังเถิงเฟยถึงได้เลือกที่จะเข้าสำนักเล็กๆ แห่งนี้
“ถ้าข้ามีรูปร่างหน้าตาเช่นนั้น ข้าก็คงสอบได้เป็นจอหงวน และคงได้อภิเษกสมรสกับองค์หญิงไปแล้ว”
เมิ่งฮ่าวรู้สึกยกย่องศรัทธาในตัวหวังเถิงเฟยเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นก็เริ่มเดินตรงไปยังภูเขาด้านทิศเหนือต่อไป
เขาไม่ได้หยุดพักตลอดเส้นทาง ยามเที่ยง เขาก็มาถึงชายป่าบนภูเขาทิศเหนือ นี่เป็นสถานที่ ที่เขาและเจ้าอ้วนมักจะมาตัดต้นไม้ด้วยกัน ทันทีที่มาถึง เขาก็ได้ยินเสียงตัดต้นไม้ เขาค่อยๆ เดินย่องไปด้วยรอยยิ้ม ในที่สุดก็มองเห็นเจ้าอ้วน กำลังตัดต้นไม้อยู่
เมิ่งฮ่าวกำลังจะส่งเสียงทักทาย แต่ก็ต้องหยุดเดินและถอยหลังไปสองสามก้าว
“เจ้าขโมยภรรยา และ หม่านโถวของข้า ข้าจะสับเจ้าให้ตาย! ข้าจะกัดเจ้าจนตาย!” เจ้าอ้วนไม่ได้ผอมลงแม้แต่น้อย แต่กลับอ้วนมากขึ้น จนดูเหมือนลูกหนังกลมๆ ลูกหนึ่ง
เจ้าอ้วนยืนหลับตา ล้อมรอบไปด้วยท่อนไม้ ที่ตัดเรียบร้อยแล้วหลายท่อน มันกำลังตัดต้นไม้อีกต้นนึงอยู่ ร่างกายบิดเบี้ยว จากนั้นขวานก็ล่วงลงพื้น และนอนหลับต่อไป
บนด้ามขวานมีรอยกัดลึกๆ อยู่หลายรอยจนมองเห็นได้ชัดเจน
เมิ่งฮ่าวตกใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่า สองเดือนผ่านไป นิสัยการนอนละเมอของเจ้าอ้วน จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น ในตอนนี้ มันไม่ได้เกิดขึ้นในตอนกลางคืน แต่เกิดขึ้นในระหว่างช่วงเวลากลางวัน
เขากำลังลังเลว่าจะปลุกเจ้าอ้วนดีหรือไม่ ทันใดนั้นจมูกของเจ้าอ้วนก็ขยับไปมา ยกมือขยี้ตา จ้องมองด้วยสายตาลุกโชน
“ข้าได้กลิ่นไก่ป่า! ใช่แล้ว, สองตัว!” เจ้าอ้วนกระโดดขึ้นมา มองไปรอบๆ ถึงแม้มันจะมองไม่เห็นเมิ่งฮ่าวที่ยืนอยู่ในราวป่า แต่มันก็มองไปที่ท่อนไม้รอบๆ ตัวเอง สายตาเต็มไปด้วยความยินดี
“อา, เมิ่งฮ่าว ช่างใจดีซะจริง” เจ้าอ้วนพูดอย่างอารมณ์ดี “แม้จะจากไปนานแล้ว แต่ก็ยังแอบมาช่วยข้าตัดต้นไม้อย่างลับๆ ให้อีก เป็นแบบนี้มาเกือบสองเดือนแล้ว เมิ่งฮ่าว, ข้า หลี่ฟูกุ้ย ไม่เคยมีสหายที่ดีเช่นนี้มาก่อนในชีวิต”
เมิ่งฮ่าวยังคงยืนซ่อนตัวอยู่ในราวป่าที่ไกลออกไป เมื่อได้ยินก็รู้สึกประหลาดใจ เขามองไปที่เจ้าอ้วนด้วยสีหน้าแปลกๆ จากนั้นก็ส่งเสียงไอเบาๆ แล้วก็ก้าวเดินออกไป
เมื่อเขาปรากฎตัวขึ้น ดูเหมือนเจ้าอ้วนจะรู้สึกได้ เหลียวหน้ามองมาเห็น สีหน้าก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“เมิ่งฮ่าว ในที่สุดก็แสดงตัวออกมาซะที” มันพูดด้วยความตื่นเต้น “ทุกครั้งที่ข้าตื่นขึ้นมา ข้าตะโกนเรียกเจ้า แต่เจ้าก็ไม่เคยออกมาเลย…หา?” มันจ้องไปที่ไก่ป่าสองตัวนั้น ด้วยดวงตาเบิกกว้าง
จากนั้นไม่นาน ไก่ทั้งสองตัวก็ถูกปิ้งย่างอยู่บนกองไฟ กลิ่นหอมกระจายไปทั่ว เมิ่งฮ่าวและเจ้าอ้วนนั่งขบเคี้ยวไก่ที่สุกแล้ว เหมือนครั้งที่ทั้งสองยังเป็นข้ารับใช้อยู่ด้วยกัน
“ข้าไม่ได้กินไก่ป่ามาเกือบสองเดือนแล้ว” เจ้าอ้วนกล่าว ปากเต็มไปด้วยเนื้อไก่ “ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมแสดงตัวมาโดยตลอด? ตั้งแต่เจ้ามาช่วยข้าตัดต้นไม้ ทำไมถึงไม่เอาไก่มาด้วย?”
หน้าตาเจ้าอ้วนแสดงออกถึงความสุขอย่างชัดเจน เมื่อมองดูเมิ่งฮ่าว ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่อยู่ในสำนักเอกะเทวะนี้ มันมองเมิ่งฮ่าวเสมือนญาติของตัวเอง
เมิ่งฮ่าวหัวเราะอย่างเป็นปริศนา โดยไม่อธิบายใดๆ ทั้งสิ้น นั่งกินไก่ต่อไป เขามองไปที่เจ้าอ้วน ก็สังเกตพบว่า ฟันของเจ้าอ้วนดูเหมือนจะยาวกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
“การฝึกตนของเจ้าก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว?” เมิ่งฮ่าวถาม “เจ้าได้รับรู้ถึงพลังลมปราณบ้างแล้วหรือยัง?”
“อย่าไปพูดถึงมันเลย” เจ้าอ้วนกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ “ข้าฝึกอยู่ทุกคืน แต่น่าแปลกที่ข้าไม่เคยรู้สึก ถึงพลังลมปราณแม้แต่น้อย มีเพียงสิ่งเดียวที่เกิดขึ้น ก็คือฟันของข้างอกยาวขึ้น ข้าเกรงว่ามันจะไปกัดโดนลิ้นเข้า” เจ้าอ้วนดูเหมือนจะเศร้าหดหู่ใจยิ่ง
“อ้าปากหน่อย” ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็พูดขึ้นมา “ให้ข้าดูฟันของเจ้า” สิ่งที่เมิ่งฮ่าวเห็น ทำให้เขาตกใจ
หลังจากที่กลืนเนื้อไก่ที่เต็มปากลงไป เจ้าอ้วนอ้าปากแสดงให้เห็นฟันที่งอกยาว ส่องแสงเป็นประกายภายใต้แสงอาทิตย์ จากที่เมิ่งฮ่าวตรวจสอบดู สีหน้าเขาก็แสดงความแปลกใจ เขาแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น เขารับรู้ได้ถึงพลังลมปราณ ที่แผ่กระจายขึ้นๆ ลงๆ ในฟันของเจ้าอ้วน
“เจ้าอ้วนฝึกแบบไหนกันแน่?” เมิ่งฮ่าวคิด “ทำไมพลังลมปราณถึงได้มารวมอยู่ที่ฟัน? มันจะกลายเป็นฟันลมปราณหรือไม่? ถ้าเจ้าอ้วนยังคงฝึกแบบนี้ ฟันพวกนึ้คงกลายเป็นของวิเศษแน่ๆ…” เขาส่ายศีรษะด้วยความประหลาดใจ
เวลาผ่านไป เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มจะลับเหลี่ยมเขา เมิ่งฮ่าว และ เจ้าอ้วนได้พูดคุยกัน เหมือนกับที่เคยคุยกันในวันเก่าๆ ก่อนหน้านี้ เขาเล่าให้เจ้าอ้วนฟังเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในสำนักสายนอก แน่นอน ยกเว้นเรื่องเกี่ยวกับกระจกทองแดง
เจ้าอ้วนนั่งฟังด้วยใจจดจ่อ เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะฝึกให้บรรลุถึงระดับแรกของการรวบรวมลมปราณ และได้เลื่อนขั้น
เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากกัน เมิ่งฮ่าวให้ยาเม็ดรวบรวมลมปราณ แก่เจ้าอ้วนหนึ่งเม็ดกลืนลงไป จากนั้นก็แยกจากกัน เจ้าอ้วนมองดูเมิ่งฮ่าวค่อยๆ หายไปในราวป่า รู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย ตั้งใจว่าจะต้องขยันฝึกรวบรวมลมปราณให้มากกว่านี้อีกหน่อย
ตอนแรกเมิ่งฮ่าวมาตามเส้นทางผ่านภูเขาตะวันออก ตอนขากลับเขาตัดสินใจไปทางภูเขาทิศตะวันตก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดินทางไปรอบสำนักเอกะเทวะ เมื่อถึงยามพลบค่ำ เขาก็เดินไปถึงบริเวณที่ราบสูง ที่ยื่นออกมาจากภูเขาทิศตะวันตก บนที่ราบสูงแห่งนี้มีแผ่นชั้นหินเรียงกันเต็มไปหมด
แผ่นหินเหล่านั้นมีสีแดง เหมือนกับว่ามันถูกทาด้วยโลหิต มีอักขระหลายตัวถูกแกะสลักไว้บนหินที่เย็นเยียบ
เขตส่วนรวมศิษย์ขั้นต่ำ
ยังมีตัวอักษรเล็กๆ อีกหลายตัวอยู่ด้านข้าง อธิบายว่าไม่อนุญาตให้ศิษย์ขั้นสี่ของการรวบรวมลมปราณขึ้นไปเข้า เข้าได้เฉพาะขั้นหนึ่งถึงขั้นสามเท่านั้น
มองขึ้นไป เมิ่งฮ๋าวเห็นมีการต่อสู้กันอยู่หลายกลุ่ม แต่ละฝ่ายก็งัดท่าไม้ตายออกมาต่อสู้กันเต็มที่ โลหิตสาดกระจายไปทุกที่ เสียงร้องอย่างน่าสังเวชลอยมาตามลม แขนถูกตัดขาด ถุงเก็บสมบัติถูกแย่งชิงไป
ขณะที่เขามองอยู่นั้น ใครบางคนก็วิ่งลงมาพร้อมเสียงแผดร้อง ตามมาติดๆ โดยบุรุษร่างสูงใหญ่พร้อมรอยยิ้มที่ดูน่าเกลียด
“ช่วยด้วย!”
“ใครจะช่วยเจ้าได้ จากท่านเฉาผู้นี้?!”