ความสลดใจแวบผ่านดวงตาของเมิ่งฮ่าว เขาถูกโอบล้อมไว้ด้วยศิษย์จากหลายสำนักของแคว้นจ้าว และผู้ฝึกตนในชุดขาวซี่งเพิ่งจะมาถึงจากทางประตูตะวันออก ถ้าเขาไปกระตุ้นความสนใจของพวกที่มาจากสามสำนักใหญ่ภายในเมืองนี้ โอกาสที่เขาจะหนีไปได้ก็คงจะมีน้อยมาก
เมื่อศิษย์ของสำนักในแคว้นจ้าว เห็นศิษย์ของสำนักจื่อยิ่น (ชะตาม่วง) เดินเข้ามา ความตื่นเต้นก็ปรากฎบนใบหน้าของพวกมัน ถ้ามีโอกาสเป็นสหายกับศิษย์สำนักจื่อยิ่น ก็จะช่วยเพิ่มชื่อเสียงในสำนักของพวกมันแต่ละคนได้ และจะช่วยเอื้อประโยชน์อย่างใหญ่หลวงในความก้าวหน้าต่อไป
พวกมันทั้งหมดกำลังคิดว่าศิษย์สำนักจื่อยิ่นไม่สนใจพวกมัน แต่กลับกลายเป็นว่าจริงๆ แล้วศิษย์สำนักจื่อยิ่นกำลังเข้ามาใกล้พวกมันมากยิ่งขึ้น
“ท่านพี่ซุน เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่ว นั่นต้องเป็นเหตุผลที่ทำไมพวกมันถึงได้เปลี่ยนท่าที”
“ใช่แล้ว เขาเป็นญาติกับผู้อาวุโสในสำนักฉือสุ่ย (สายน้ำหมุน) พลังการฝึกตนของเขาก็ไม่ธรรมดา ศิษย์สำนักจื่อยิ่นคงต้องเปลี่ยนท่าทีเพื่อรักษาหน้าเขาไว้บ้าง”
ศิษย์สำนักจื่อยิ่นเดินเข้ามาทีละคน รอยยิ้มประจบสอพลอก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของศิษย์สำนักในแคว้นจ้าวที่ยืนอยู่รอบๆ บริเวณนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุรุษหนุ่มในชุดหรูหรา มันรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นและมากขึ้น เมื่อได้ยินเสียงกระซิบของพวกที่มุงดูอยู่รอบๆ นั้น
มันเต็มไปด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ ดูเหมือนว่าในที่สุดมันก็เป็นที่รู้จักพอสมควร พอที่จะเป็นสาเหตุให้ศิษย์สำนักจื่อยิ่นต้องเดินเข้ามาหา เรื่องนี้ต้องมีการถูกพูดถึงในเร็วๆ นี้ และแพร่หลายออกไปไกลอย่างแน่นอน และชื่อเสียงในสำนักของมันก็ต้องเปลี่ยนไปในทันที นามของมันต้องเป็นที่รู้จักกันไปทั่วทั้งโลกแห่งการฝึกตนในแคว้นจ้าวนี้เป็นแน่
สำหรับเมิ่งฮ่าว สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้เหมือนกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด เขายิ้มราวกับว่าไม่ได้สนใจอะไรเลย เมื่อบุรุษหนุ่มในชุดหรูหราขยับตัวไปข้างหน้าคารวะกลุ่มศิษย์ชุดขาว, ศิษย์สำนักในแคว้นจ้าวทั้งหมดก็ทำตาม และศิษย์สตรีในกลุ่มของพวกมันก็ดูจะตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ
ดวงตาของเมิ่งฮ่าวเปล่งประกาย เขาดึงหอกเหล็กออกมาจากพื้น และหมุนตัวจะจากไป
“ท่านพี่เต๋าจากสำนักจื่อยิ่น, ข้า ซุน, ขอถือโอกาสเลี้ยงต้อนรับทุกท่านที่ เฟิ่งเทียนโหลว (เหลาวิหคเพลิงสวรรค์)” ซุนหัวกล่าว สีหน้าของมันดูตื่นเต้นและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง “สหายศิษย์จากแคว้นจ้าว กรุณาให้เกียรติข้ามาร่วมเลี้ยงต้อนรับเหล่าท่านพี่จากสำนักจื่อยิ่นด้วย” กลุ่มผู้ฝึกตนที่อยู่ด้านหลังมันนึกภาพในใจได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ควบคู่กับท่าทางตื่นเต้นของมัน ก็เห็นได้ชัดว่ามันเป็นผู้นำของกลุ่มศิษย์จากแคว้นจ้าวเหล่านี้
ถึงแม้ว่าขณะที่คำพูดได้ออกมาจากปากของมัน และมันกำลังโค้งตัวคารวะด้วยการประสานมือ กลุ่มศิษย์สำนักจื่อยิ่นก็ได้เดินผ่านมันไป ไม่แม้แต่จะชายตาเหลือบแลมัน พวกศิษย์สำนักจื่อยิ่นทั้งหมดเดินผ่านกลุ่มศิษย์จากแคว้นจ้าวไปโดยไม่มองมาแม้แต่น้อย รีบเร่งเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ปากของซุนหัวปิดลงเมื่อมันได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เช่นเดียวกับศิษย์คนอื่นๆ ของแคว้นจ้าวซึ่งได้ปฏิบัติตามมัน
ในเวลาเดียวกันนั้น บุคคลที่เป็นหัวหน้ากลุ่มของศิษย์สำนักจื่อยิ่น ก็ได้ส่งเสียงหัวเราะอย่างเป็นมิตรออกมา
“สหายเต๋า, กรุณารอสักครู่” มันกล่าว “ท่านพี่, ท่านเพิ่งจะมาจากภูเขาสมบัติใช่หรือไม่? ท่านมีบุคลิกที่โดดเด่น พวกเราทุกคนที่ได้เห็นการกระทำของท่านบนภูเขานั้น รู้สึกนับถือเป็นอย่างยิ่ง ข้านามว่า เชียนสุ่ยเหิน จากสำนักจื่อยิ่น ขอคารวะสหายเต๋า, ข้าขอบังอาจถามนามของท่านที่นับถือ?”
“สหายเต๋า, พวกเรากำลังตามหาท่าน” อีกคนกล่าว “พวกเราไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะได้พบกับท่านในที่นี้ ฮา ฮา ฮา! ถ้าสหายเต๋ายังพอมีเวลา, ข้าจะส่งใครสักคนไปจัดเตรียมโต๊ะอาหาร ข้านามว่า หลู่ซ่ง จากสำนักจื่อยิ่น ได้โปรดให้เกียรติข้าเป็นเจ้ามือเลี้ยงท่านสักมื้อ”
ท่ามกลางกลุ่มศิษย์สำนักจื่อยิ่นทั้งสิบคนหรือมากกว่านั้น ทั้งสองคนนี้เป็นผู้ที่มีพลังการฝึกตนสูงสุด พวกมันอยู่ที่ระดับขั้นแปดของการรวมรวมลมปราณ พวกมันรีบเดินไปอยู่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าวขวางทางไว้พร้อมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม พูดจาด้วยความสุภาพอย่างสูงสุด และเมื่อพวกมันเดินเข้ามาใกล้ ก็คารวะด้วยการประสานมือ เมื่อศิษย์ของแคว้นจ้าวได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ สีหน้าของพวกมันก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเลื่อมใส
ร่องรอยการขมวดคิ้วเกือบจะมองไม่เห็นปรากฎอยู่บนใบหน้าของเมิ่งฮ่าว แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว เขายิ้มและคารวะด้วยความสุภาพกลับไป เขาพึมพำชื่อของตัวเองออกมาอย่างแผ่วเบา ซึ่งเขารู้ว่าถึงแม้เขาจะไม่ได้พูดให้ได้ยินโดยชัดเจน กลุ่มบุคคลพวกนี้ก็สามารถที่จะค้นหาเขาได้อย่างง่ายดาย ถ้าพวกมันต้องการ
กลุ่มศิษย์จากแคว้นเจ้ามองดูด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ศีรษะของพวกมันหมุนงุนงง เมื่อได้เห็นกลุ่มศิษย์สำนักจื่อยิ่นพูดคุยกับเมิ่งฮ่าวเช่นนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับซุนหัว ซึ่งมีใบหน้าที่เปลี่ยนไปตามความรู้สึกที่หลากหลาย มันถูกเหยียดหยาม และแน่นอนว่ามันก็ได้มองไปที่เมิ่งฮ่าวด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อด้วยเช่นกัน
มันรู้ว่าผู้ฝึกตนชุดขาวกลุ่มนี้มาจากสำนักจื่อยิ่นในดินแดนด้านใต้ ซึ่งมักจะอวดดีและหยิ่งยโส คิดว่าตัวพวกมันเองดีเลิศไร้ที่เปรียบในโลกแห่งนี้ แต่ถึงกระนั้น พวกมันก็ยังแสดงท่าทีสุภาพเป็นอย่างยิ่งต่อเมิ่งฮ่าว และดวงตาของพวกมันก็เต็มไปด้วยความเลื่อมใส
ถึงแม้ว่ามันไม่ค่อยมั่นใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เหงื่อเย็นๆ ก็ไหลลงจากหน้าผากของมัน เมื่อมันเห็นคนกลุ่มนั้นแสดงท่าทีอันสุภาพเช่นนั้น มันตระหนักได้ว่าถ้ามันพยายามที่จะไปทดสอบหอกเล่มนั้นก่อนหน้านี้ มันก็คงต้องเสียหน้าเป็นอย่างมาก
มันไม่ใช่เป็นคนเดียวที่ตกใจ โจวข่ายที่มองดูอยู่ก็ต้องตกตะลึงเช่นเดียวกัน เดิมที มันรู้สึกเสียใจที่เรียกชื่อเมิ่งฮ่าวออกไป แต่เมื่อได้เห็นฉากที่ค่อยๆ เกิดขึ้นนี้ ดวงตาของมันก็เต็มไปด้วยความชื่นชมและยอมรับในตัวของเมิ่งฮ่าว
“ศิษย์พี่เมิ่งคู่ควรกับการเป็นศิษย์สายในจริงๆ มันเป็นเรื่องดีที่ข้าให้หินลมปราณเขาไปในตอนนั้น เมื่อสำนักล่มสลายลง พวกเราก็ถูกเตะออกมาราวสุนัขจรจัด แต่เขาก็ยังคงอยู่ดีมีสุขไร้ปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น ซ้ำยังได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีจากศิษย์ของ หนึ่งในสำนักที่ยิ่งใหญ่จากดินแดนด้านใต้อีกด้วย” โจวข่ายแอบถอนหายใจอย่างเงียบๆ
ด้านบนใน ไป่เจินเก๋อ (ศาลาร้อยสมบัติ), เฉี่ยวหลิงกระพริบตาไปมาอยู่ชั่วครู่ มองไปอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อศิษย์ลำนักจื่อยิ่นรายล้อมเมิ่งฮ่าว และเห็นเขาพูดอย่างใจเย็นกับพวกมัน หญิงสาวยังไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ระหว่างนางกับเมิ่งฮ่าว เมื่อได้เห็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกสนใจในตัวเขามากขึ้นกว่าเดิม
“ท่านพี่เมิ่ง” เชียนสุ่ยเหินกล่าว เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปที่หอกในมือของเมิ่งฮ่าว “นี่เป็นหอกวิเศษที่ท่านใช้จัดการพวกสัตว์อสูรบนภูเขาสมบัติใช่หรือไม่?” มันเพิ่งจะได้มองไปที่หอกในตอนนี้ แต่ก็ดูเหมือนว่าไม่มีคุณสมบัติที่พิเศษอะไรเลย แต่มันก็จำได้อย่างแม่นยำถึงการที่เมิ่งฮ่าวกวัดแกว่งหอกนี้ จนทำให้พวกสัตว์อสูรต้องหลั่งโลหิตออกมามากมายเพียงใด
“ใช่มันแน่นอน” หลู่ซ่งกล่าว หัวเราะขึ้นมา “ท่าทางอันองอาจของท่านบนภูเขาในวันนั้น สร้างความเคารพเลื่อมใสให้กับข้าอยางสุดซึ้ง ท่านพี่เมิ่ง, ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธมัน”
ดวงตาของเมิ่งฮ่าวปรากฎประกายแปลกๆ ออกมา แต่เกิดขึ้นเพียงแวบเดียว เขายิ้มและพยักหน้า
“ใช่แล้ว นี่คือหอกที่ข้าใช้วันนั้นบนภูเขา” เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“มีเพียงหอกเล่มนี้ถึงจะเรียกได้ว่า ของวิเศษที่ทรงอานุภาพ” หลู่ซ่งกล่าว “ข้าเห็นท่านใช้มันสร้างบาดแผลให้กับสัตว์อสูรมากมาย จริงๆ แล้วก็นับไม่ถ้วน ท่าทางอันองอาจของท่านได้วนเวียนอยู่ในจิตใจของข้าอยู่ตลอดเวลา” มันจ้องไปที่หอกด้วยสายตาอันลุกโชน จากนั้นมันก็มองอย่างเย็นชาไปที่เชียนสุ่ยเหิน และคนทั้งสองก็ถลึงตาใส่กัน เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่ชอบซึ่งกันและกัน คนทั้งสองรู้ดีว่าต่างคนต่างก็ต้องการที่จะอยู่เหนือกว่าอีกฝ่าย
เมื่อศิษย์ของแคว้นจ้าวได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้ พวกมันก็จ้องมองลงไปที่หอกเหล็ก ความตั้งใจเดิมของพวกมันก็คือการตรวจสอบอาวุธชิ้นนี้ของเมิ่งฮ่าว แต่ในตอนนี้ พวกมันไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอีกแล้ว ถ้าศิษย์สำนักจื่อยิ่นมั่นใจในอานุภาพของหอกเล่นนั้น มันก็ต้องเป็นของวิเศษอย่างแน่นอน
ดวงตาของซุนหัวเปล่งประกาย และมันก็ก้าวออกไปข้างหน้าสองสามก้าว จ้องไปที่หอกเหล็กเล่มนั้น
“อย่างไรก็ตาม, ข้าจำเป็นต้อบอกกล่าว” หลู่ซ่งหัวเราะพร้อมกับส่ายหน้าไปมา “ท่านพี่เมิ่ง, จริงๆ แล้ว ท่านก็ได้สร้างความวุ่นวายให้กับการทดสอบของพวกเรา ท่านเอาเม็ดยา, หินลมปราณ และของวิเศษจากภูเขาสมบัติไปมากมาย…” จากสีหน้าของมัน ดูเหมือนว่ามันไม่ได้สนใจมากนัก
“โอ นั่น…” เมิ่งฮ่าวหัวเราะ ถอยหลังไปสองสามก้าว
“ไม่เป็นไร” เชียนสุ่ยเหินพูด ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว สายตาจ้องไปที่หอก
“ภูเขาสมบัตินั่นเป็นของซ่งเหล่าไกว้ และท่านได้พูดไว้ว่า ใครก็ตามที่มีความสามารถ จะเอาอะไรไปก็ได้ตามที่ต้องการ จริงๆ แล้ว ท่าทีอันองอาจของท่าน ก็ได้สร้างความรู้สึกประทับใจให้ข้าอย่างสุดซึ้งด้วยเช่นกัน แต่…ท่านพี่เมิ่ง, สำหรับหอกเล่มนี้ ท่านยินดีที่จะขายมันหรือไม่? สำนักจื่อยิ่น ยินดีที่จะเสนอราคาอันยุติธรรมให้แก่ท่านอย่างแน่นอน!”
เนื่องจากเมิ่งฮ่าวถือหอกอยู่ในมือ ทำให้เชียนสุ่ยเหินไม่มีโอกาสที่จะตรวจสอบมัน และเพราะว่าเชียนสุ่ยเหินไม่ได้อยู่ในขั้นพื้นฐานลมปราณ มันจึงไม่มีจิตสัมผัส ดังนั้นมันจึงไม่มีทางที่จะสัมผัสถึงรายละเอียดของหอกเล่มนั้นได้
“อืม…” เมิ่งฮ่าวดูท่าทางลังเล
“ท่านพี่เมิ่ง” หลู่ซ่งเอ่ยขึ้น สองตาของมันเปล่งประกาย “หอกเล่มนี้สำคัญสำหรับพวกเราเป็นอย่างยิ่ง ได้โปรดตัดใจจากมันซะเถอะ!” มันรู้ว่าสิ่งสำคัญอันดับแรกคือ ต้องบังคับให้เมิ่งฮ่าวเห็นด้วย หลังจากนั้นมันและเชียนสุ่ยเหินค่อยต่อสู้แย่งกันทีหลัง มันพูดไปก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าสองสามก้าวด้วย ความก้าวร้าวเอาแต่ใจก็เต็มอยู่ในดวงตาของมัน
“ซ่งเหล่าไกว้ ปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความชั่วร้ายและไร้ความปราณีตลอดมา ท่านเอาสมบัติที่มีค่าอย่างมากของมันไปมากมาย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าผู้อาวุโสอู๋ สำนักจื่อยิ่นของพวกเราฉุดดึงซ่งเหล่าไกว้ไว้ ท่านพี่เมิ่งก็อาจจะได้รับอันตรายแล้วในตอนนี้” เชียนสุ่ยเหินพูดสำทับไปอีกขั้น ท่าทางของมันก้าวร้าวเป็นอย่างยิ่ง ณ จุดนี้ มันไม่ได้ปกปิดพลังของมันอีกต่อไป และแสดงมันออกมาขณะที่พูดจาไปด้วย
ศิษย์สำนักจื่อยิ่นคนอื่นๆ ค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เกิดเป็นรูปวงกลมล้อมเมิ่งฮ่าวไว้ ดวงตาของพวกมันส่องประกายด้วยการตัดสินใจที่จะหยิบฉวยหอกเล่มนั้นมาให้ได้
“หอกเล่มนี้เป็นแค่อาวุธธรรมดาเท่านั้น” เมิ่งฮ่าวกล่าว มองไปรอบๆ ยังบุคคลที่รายล้อมเป็นรูปวงกลม จากนั้นก็หันกลับมาที่หลู่ซ่ง และเชียนสุ่ยเหิน พร้อมคิ้วที่ขมวดเป็นปม
“ท่านพี่เมิ่ง, ไม่จำเป็นต้องกล่าวล้อเล่นเช่นนี้” หลู่ซ่งพูดพร้อมหัวเราะ สายตาของมันมองไปที่หอก “ข้ารู้ว่าข้าไม่ได้จำผิด นี่เป็นหอกที่ท่านเคยใช้ รอยบากที่ด้านนั้น ข้าเห็นมันอย่างชัดเจนในวันนั้น”
เมิ่งฮ่าวจ้องมองด้วยสีหน้าเหวอหวา ดูเหมือนว่าเจ้าผู้นี้ได้มองหอกเล่มนี้ได้อย่างละเอียดใกล้ชิดมากกว่าเขาซะอีก เขาไม่เคยได้สังเกตรอยบากใดๆ ทั้งสิ้นมาก่อน แต่เมื่อเขามองไปในตอนนี้ แน่นอนว่า มันมีอยู่จริงๆ
เมื่อหลู่ซ่งได้เห็นสีหน้าของเขา ก็ยิ่งทำให้มันมีความมั่นใจมากขึ้น ถึงแม้ว่าใบหน้ามันยิ้มแย้ม แต่ดวงตาของมันก็เต็มไปด้วยความเย็นเยียบ มันถูกสั่งว่าห้ามสังหารเมิ่งฮ่าวเพื่อที่จะเข้าเป็นศิษย์สายใน แต่อาจใช้วิธีการอื่น ๆได้ ดังนั้นมันจึงไม่ได้ยับยั้งชั่งใจ
“ถึงแม้มันจะเป็นแค่วัตถุธรรมดา พวกเราก็ยังต้องการที่จะซื้อมัน” เชียนสุ่ยเหินพูดอย่างน่ากลัว เสียงของมันเย็นชากว่าก่อนหน้านี้
“พวกเรามุ่งมั่นที่จะเอาหอกเล่มนี้มาครอบครองให้จงได้ ท่านพี่เมิ่ง ได้โปรดอย่าทำให้เรื่องมันยุ่งยากมากไปกว่านี้ มิฉะนั้น พวกเราจะไม่สบายใจ แช่นเดียวกับท่าน ท่านอาจจะมีหอกอยู่ในมือ แต่สำนักจื่อยิ่นก็เป็นหนึ่งในห้าของสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของดินแดนตะวันออก ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างไกลจากที่นี่ แต่พลังอำนาจของพวกเรา ก็ยิ่งใหญ่กว่าที่ท่านจะคาดคิดได้ สหายเต๋า ยิ่งไปกว่านั้น…มันไม่ใช่พวกเราที่ต้องการหอกเล่มนี้ แต่เป็นผู้อาวุโสอู๋”
เมื่อได้ยินดังนี้ ศิษย์ของแคว้นจ้าวทั้งหมดก็มองหน้ากันไปมา สีหน้าของพวกมันแสดงถึงการเยาะเย้ยเมิ่งฮ่าว แต่พวกมันก็ยังคงรักษาความสงบเงียบต่อไป
ซุนหัวยิ้มกว้างเป็นพิเศษ การที่เชียนสุ่ยเหินช่วยพูดแบบนี้เป็นสิ่งที่ดี มันจะฉวยโอกาสเคลื่อนไหวในตอนท้ายเอง ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะมีหอกวิเศษ แต่เขาก็คงไม่กล้าที่จะต่อต้านสำนักใหญ่จากดินแดนด้านใต้อย่างแน่นอน
“ถ้าข้าไม่ตกลง ท่านจะบังคับข้าหรือไม่?” เมิ่งฮ๋าวถาม จ้องไปด้วยสายตาที่เคร่งขรึมมากขึ้น
“สำนักของพวกเรา จะไม่แย่งชิงสิ่งของไปจากใคร” หลู่ซ่งกล่าวพร้อมหัวเราะไปด้วย “แต่ขอให้ท่านพี่เมิ่งช่วยพิจารณาให้อย่างถี่ถ้วนรอบคอบ ท่านขัดใจพวกเราแล้วจะได้อะไรดีขึ้นมา? ยิ่งไปกว่านั้น…ถ้าพวกเราต้องการแย่งชิงหอกเล่มนี้จริงๆ พวกเราก็แค่ให้บุคคลอื่นช่วยทำให้ โดยที่พวกเราไม่ต้องทำอะไรเลย” มันมองไปที่ศิษย์ของแคว้นจ้าวที่ยืนอยู่ไม่ไกลและพยักหน้า ซุนหัวและคนอื่นๆ ก็ดูตื่นเต้นขึ้นมาในทันที
“ศิษย์พี่เมิ่ง ข้า…เชียน, มีความเลื่อมใสในความสามารถของท่านบนภูเขาสมบัติเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่ต้องชักแม่น้ำทั้งห้ากันอีกแล้ว ไม่ว่าท่านต้องการจะขายหรือไม่ขายหอกเล่มนี้, ท่านก็ต้องขาย!” ดวงตาของมันแฝงแววดุร้าย และพูดด้วยความเย็นชา
เมิ่งฮ่าวร้องคร่ำครวญอยู่ภายในใจ ถ้าคนกลุ่มนี้ต้องการจะสร้างปัญหาให้กับตัวเอง เขาก็จะไม่ห้ามมัน สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปมา และเขาก็ถอยไปด้านหลังอีกหลายก้าว พูดพึมกับตัวเอง จากนั้นก็กัดฟันจนแน่น เงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงกร่ำ
“ศิษย์สำนักจื่อยิ่นที่นับถือ ถ้าพวกท่านต้องการที่จะซื้อหอกของข้าเล่มนี้จริงๆ ก็เสนอราคามา” เมิ่งฮ่าวสะบัดชายแขนเสื้อ ปักหอกลงไปบนพื้น สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด