เดิมทีเมิ่งฮ่าวคิดว่าจะกล่าวปลอบโยน แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก และไม่อยากจะเชื่อ “ถ้าเจ้าสามารถแปลงเป็นถุงสมบัติที่แวววาว ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีของล้ำค่าอยู่ภายใน ข้าก็จะเชื่อถือเจ้า” เขากล่าว เขาพยายามที่จะทำเสียงให้ฟังดูเหมือนคนที่เป็นศัตรูกัน ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ด้วยโทสะ, ผีโต้งก็กลายร่างเป็นถุงสมบัติสีทองวาววับในทันที มันดูโปร่งใส และภายในก็เห็นกระถางสี่เหลี่ยม รวมถึงกระบี่อสูรที่หมุนเวียนอยู่สี่เล่ม กระบี่ทั้งสี่โคจรไปรอบๆ กระถาง เพียงเห็นแค่แวบเดียว ก็เห็นได้ชัดว่า มันเป็นสิ่งของที่ล้ำค่าเป็นอย่างมาก
มันยิ่งดูสมจริงมากยิ่งขึ้น เมื่อกระถางและกระบี่ทั้งสี่เล่มนั้น ดูเหมือนจะพยายามกระแทกไปที่ถุงสมบัติ ราวกับพวกมันต้องการหลบหนีไป
“อืม, เจ้าคิดว่าอย่างไร…?” เสียงของผีโต้งดังออกมาจากถุงสมบัติ
ในจิตใจ, เมิ่งฮ่าวรู้สึกประหลาดใจ, แต่ภายนอก เขามีสีหน้าดูถูก “มันดูไม่เรืองแสงเลย!”
เสียงกรอบแกรบดังออกมา และขณะที่คำพูดดังออกมาจากปากเขา ถุงสมบัติก็เริ่มเปล่งแสงเจิดจ้าจนพุ่งสูงขึ้นไปในท้องฟ้า แสงสีทองกระจายออกไป ทำให้ผู้ฝึกตนทั้งแปดคนนั้นเกิดความสนใจในทันที ทันใดนั้น พวกมันก็บินเข้ามาในทิศทางของเมิ่งฮ่าว
“เจ้าเชื่อข้าแล้ว…?” เสียงของผีโต้งดังออกมาจากถุงสมบัติ ก่อนที่มันจะทันได้พูดจบ เมิ่งฮ่าวก็หยิบถุงสมบัตินั้น โยนตรงไปยังผู้ฝึกตนเหล่านั้น
“เชื่อท่านย่ามันสิ!!” เมิ่งฮ่าวไม่อยากจะด่าทอ แต่ก็อดไม่ได้ เขาพุ่งออกไปจากผีโต้งด้วยความรวดเร็วมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เขาได้โยนถุงสมบัติที่เรืองแสงนั้น ด้วยพลังทั้งหมดเท่าที่เขาจะรวบรวมได้จากพลังลมปราณของเขา ขณะที่มันลอยเข้าไปใกล้ผู้ฝึกตนทั้งแปดนั้น พวกมันก็จ้องมา อ้าปากค้าง พวกมันทั้งหมดต่างก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย บางคนก็ระแวงสงสัย, บางคนก็ระมัดระวังตัว, บางคนก็มองดูด้วยความยินดีประหลาดใจ แต่พวกมันทุกคนก็ยื่นมือออกไปคว้าฉวยถุงสมบัตินั้น
“เจ้าหลอกลวงข้า! มันทำให้ข้ามีโทสะแล้วนะ!” เสียงดังออกมาจากผีโต้ง ขณะที่มันกำลังจะถูกคว้าจับไว้โดยผู้ฝึกตนผู้หนึ่ง มันก็หายไป จากนั้นก็ปรากฎขึ้นอีกครั้งในที่ห่างไกลออกไป ตรงไปบนศีรษะของเมิ่งฮ่าว อีกครั้งที่มันเปลี่ยนเป็นหมวกเขียว
ราวกับว่ามันไม่พอใจ เสียงปะทุดังออกมา ขณะที่หมวกใบแล้วใบเล่า ซ้อนขึ้นไปเป็นชั้นๆ บนศีรษะของเขา สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ขึ้นไปในอากาศ…
ในที่สุด หมวกที่ซ้อนกันนั้น ก็สูงกว่าตัวของเมิ่งฮ่าว ผู้ฝึกตนทั้งแปดต่างก็มองมาด้วยความตกตะลึง ตลอดชีวิตของพวกมันไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน
ใบหน้าเมิ่งฮ่าวดูน่าเกลียดมากยิ่งขึ้น เขารู้สึกราวกับกำลังจะสิ้นท่า ถ้าผีโต้งมีรูปร่างเช่นนี้ เขาก็จะกลายเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจ ไม่ว่าเขาจะไปที่แห่งใด…
“สหายเต๋าหมวกเขียว” หนี่งในผู้ฝึกตนซึ่งเป็นบุรุษวัยกลางคนพูดเสียงเย็นชาพร้อมขมวดคิ้ว “นี่เป็นอาณาเขตของสำนักเซี่ยเยา ไม่ต้อนรับบุคคลภายนอก ยิ่งไม่ยินดีต้อนรับผู้ที่มายังที่นี่ เพื่อทำเหมือนพวกเราเป็นคนโง่ เอาหมวกเขียวของเจ้าไป และรีบออกไปจากที่นี่!”
เมิ่งฮ่าวกำลังจะจากไป แต่เมื่อคำพูดนั้นดังมาเข้าหู ทันใดนั้น เขาก็หยุดลง หันกลับไปมองยังผู้ฝึกตนทั้งแปด ดวงตาสาดประกายความดุร้ายออกมา ในตอนนี้ เขากำลังมีอารมณ์ไม่ดี และคำพูดเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้เขาพอใจแต่อย่างใด
“เจ้ายังคงกล้าที่จะหันหน้ากลับมา?” ผู้ฝึกตนวัยกลางคนพูดพร้อมหัวเราะเสียงเย็นชา “ทำไมเจ้าถึงยังมามองข้า ด้วยหมวกเขียวนั้น เจ้าต้องเป็นตัวตลกอย่างแน่นอน” พร้อมคำพูดนั้น มันและผู้ติดตามของมัน พุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว
“ไสหัวไป!” เมิ่งฮ่าวกล่าว ยกมือขึ้นมา และโบกสะบัดแขนเสื้อตรงไปที่พวกมันในทันที พลังลมปราณของเขาระเบิดออก สายลมอันรุนแรงส่งเสียงแหลมเล็ก และกระแทกไปยังพวกมัน
เสียงระเบิดดังอยู่ในอากาศ และโลหิตก็กระจายออกมาจากปากของศิษย์สำนักเซี่ยเยาทั้งแปดนั้น ร่างของพวกมันสั่นสะท้าน ความไม่อยากจะเชื่อปกคลุมไปบนใบหน้าของบุรุษที่พูดจาล้อเลียนเขา และม่านตาของมันก็หดเล็กลง จากที่มันเห็น เมิ่งฮ่าวอยู่ในขั้นกลางของพื้นฐานลมปราณ แต่การโจมตีของเขาเมื่อครู่นี้ เต็มไปด้วยพลังที่เหมือนกับขั้นสุดท้ายของพื้นฐานลมปราณ โลหิตไหลซึมออกมาจากปาก ขณะที่มันโซเซไปด้านหลังเพื่อถอยหนี เมื่อมันได้เห็นความเย็นชาในดวงตาของเมิ่งฮ่าว จิตใจของมันก็สั่นสะท้าน
เมื่อตระหนักว่ามันได้หุนหันพลันแล่นไป ผู้ฝึกตนวัยกลางคนก็กล่าวว่า “สหายเต๋า, นี่…” ในขณะมันเริ่มต้นพูด แต่ดวงตาของเมิ่งฮ่าวก็สาดประกายด้วยความเย็นเยียบอันดุร้ายมามากขึ้น
ใบหน้าของบุรุษผู้นั้นหมองคล้ำลง มันและผู้ติดตาม กลายเป็นลำแสงพุ่งออกไปยังที่ห่างไกล เมื่อพวกมันอยู่ห่างไกลจากเมิ่งฮ่าว ในที่สุด พวกมันก็หยุดลง และมองตากันไปมา
“เจ้าผู้นั้นช่างก้าวร้าวนัก มันมาจากไหนกัน? ศิษย์พี่, ไปรายงานท่านอาจารย์กันเถอะ อาจารย์คงต้องส่งใครบางคนไปจับกุมมันอย่างแน่นอน!”
“ถูกต้อง ศิษย์พี่, นี่เป็นอาณาเขตของสำนักเซี่ยเยา พวกเราจะยินยอมให้คนผู้นั้นมาอาละวาดได้จริงๆ?”
“หุบปากไปเลย!” บุรุษวัยกลางคนคำรามออกมา, ใบหน้าของมันหมองคล้ำและเดาใจไม่ได้ “มันอายุยังเยาว์ แค่กวาดมือเพียงครั้งเดียว ดูจากสิ่งที่มันทำกับพวกเรา เจ้าคิดว่ามันจะเป็นแค่คนทั่วไป? เห็นได้ชัดว่า มันไม่ใช่ผู้ฝึกตนจากสำนักกูตู๋เจี้ยน ด้วยสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างสำนักของพวกเรา และสำนักกูตู๋เจี้ยน พวกเราไม่อาจจะไปตอแยโทสะของสำนักอื่นเพิ่มขึ้นมาอีก! เห็นได้ชัดว่า มันแค่ผ่านทางมา และไม่ต้องการจะสร้างศัตรู นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมมันถึงปล่อยพวกเรามาอย่างง่ายดาย พวกเจ้าทุกคน ปิดปากให้สนิท ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ให้หมด มักจะมีข้อบาดหมางระหว่างผู้ฝึกตนเช่นพวกเราอยู่เป็นประจำ ไม่จำเป็นต้องรายงานเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไปยังสำนัก” เมื่อตัดสินใจเรียบร้อย มันและผู้ติดตามก็มุ่งหน้าต่อไปยังที่ห่างไกล
หลังจากที่พวกมันจากไปไกล เถาวัลย์ที่อยู่บนพื้นด้านล่าง ซึ่งพวกมันไม่เคยสังเกตมาเลยตลอดเวลา ก็มุดเข้าไปในพื้นดิน และหายลับไป
ย้อนกลับไปยังจุดที่เมิ่งฮ่าวอยู่ เขายืนอยู่บนพื้น ดินทรายเริ่มเดือดพล่านขณะที่เถาวัลย์สีแดงคล้ำโผล่ขึ้น แกว่งตัวไปมาอยู่ตรงหน้าเขา ไม่นานหลังจากนั้น พวกมันก็กลายเป็นผลไม้เล็กๆ สีแดงคล้ำ และเขาก็เก็บมันเข้าไปในถุงสมบัติ สุดท้าย เขาก็มุ่งความสนใจไปยังหมวกบนศีรษะ
“เจ้าไม่อาจทำเช่นนั้น! มันไม่ถูกต้อง ถ้าเจ้าปล่อยให้พวกมันหนีไป เจ้าก็ควรจะเชื่อถือพวกมันอย่างเต็มที่ เจ้าไม่ควรปล่อยให้ของบางอย่างแอบติดตามพวกมันไป นั่นมันไม่ถูกต้อง นั่นมันไร้ศีลธรรม อี๋? ข้าเพิ่งจะนึกขึ้นได้ เจ้าเพิ่งจะด่าข้าเมื่อครู่นี้!!”
“ด่าทอเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มันไร้ศีลธรรม ท่านย่าของข้าไม่เคยทำสิ่งใดให้เจ้าเคืองใจ ทำไมเจ้าไปพูดถึงนาง? แปลกมาก เจ้ามีความสัมพันธ์ใดกับนาง? หรือว่า…” ทันใดนั้น, เสียงที่ชอบอวดภูมิความรู้ของผีโต้ง ก็เต็มไปด้วยน้ำเสียงแปลกๆ “หรือว่าพวกเจ้าสองคน…”
เมิ่งฮ่าวไม่สนใจมัน เขาตบไปที่ถุงสมบัติ หยิบเอาเสื้อออกมาหนึ่งตัว เขาฉีกมันออก และเอาเศษผ้ามาอุดหู ทันใดนั้น เสียงของผีโต้งก็เริ่มเงียบลง แต่จากนั้น ผีโต้งก็ส่งเสียงกระแอมไอออกมา มันเริ่มต้นพูดอีกครั้ง และครั้งนี้ เสียงของมันก็ได้ยินโดยตรงอยู่ด้านในของศีรษะเมิ่งฮ่าว
เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าห่อเหี่ยวซีดเซียว เขาจ้องมองออกไปอย่างไร้จุดหมายสักพัก ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา และดึงเศษผ้าที่อยู่ในหูโยนทิ้งไป
“ตอนนี้ ข้ารู้แล้วว่า ทำไมผู้คนถึงได้เรียกเจ้าว่า สุดยอดความรำคาญ” เขากล่าว ทันใดนั้น ผีโต้งก็เริ่มตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น
“ทำไม? ทำไม? นี่เป็นชื่อที่ข้าถูกเรียกเมื่อนาน, นาน, นานมากมาแล้ว โดยสหายเก่าของข้า ข้าสอบถามมันไปหลายครั้ง แต่มันก็ไม่เคยบอกข้าเลยว่ามันหมายความว่าอย่างไร” ความสนใจทั้งหมดของผีโต้ง ตอนนี้ได้มุ่งไปที่เมิ่งฮ่าวเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการแบ่งแยก
เมิ่งฮ่าวไม่พูดอะไร แต่ครุ่นคิดว่าทำไมบุคคลที่ตั้งชื่อให้ผีโต้งถึงไม่ได้อธิบายถึงความหมายของมัน จากนั้นเขาก็คิดไปถึงความยืดเยื้อของผีโต้ง และเขาก็ต้องสั่นสะท้าน เขาเข้าใจดี ถ้าให้คำตอบเกี่ยวกับชื่อนั้น มันก็จะทำให้ผีโต้งมีหัวข้อพูด ซึ่งมันก็คงพูดไม่ต่ำกว่าหลายเดือนอีกอย่างแน่นอน
ความคิดนี้ทำให้หนังศีรษะเขาด้านชา ใครก็ตามที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการพูดคุยกับผีโต้ง ก็คงไม่เข้าใจถึงความทุกข์ทรมานที่มันได้นำมาให้อย่างแน่นอน เขาจึงตัดสินใจที่จะเปลี่ยนเรื่องพูด
“ด้วยลักษณะของเจ้าเช่นนี้ พวกเราคงไม่อาจไปต่อได้อย่างแน่นอน” เมิ่งฮ่าวกล่าว “เจ้ามีรูปแบบอื่นอีกหรือไม่ นอกจากหมวกที่ซ้อนกันเช่นนี้?” เขาระมัดระวังคำพูด เกรงว่าจะไปตอแยเรื่องราวขึ้นมา เขาคาดเดาได้ว่ามันจะเป็นอย่างไร ถ้ามันยังคงเป็นหมวกเขียวที่เรียงซ้อนกันจนเหมือนภูเขาบนศีรษะเช่นนี้ มันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป?
น้ำเสียงของเขาไม่ได้โต้แย้งหาเรื่อง แต่ด้านใน ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เขาคิดไปถึงอ๋าวเฉี่ยน และทันใดนั้น ก็คิดถึงมันเป็นอย่างมาก โชคร้าย ที่มันกำลังจำศีลอยู่ในตอนนี้
อันที่จริง คำพูดของเมิ่งฮ่าวก็ทำให้ผีโต้งตื่นเต้นขึ้นมา “อี๋? ถ้าข้าไม่ใช่หมวก แล้วข้าควรจะมีรูปร่างอย่างไร?” เมิ่งฮ่าวคุ้นเคยกับเรื่องเช่นนี้ ดังนั้น เขาจึงไม่กล่าวอะไรออกมาในตอนแรก เขานั่งขัดสมาธิอยู่ในป่าบนภูเขา และหยิบเอาแผ่นหยกสร้างกาลเวลาออกมา ส่งจิตสัมผัสเข้าไปข้างใน และเริ่มศึกษาข้อมูลที่มีอยู่
เวลาผ่านไป จากนั้น สองตาเมิ่งฮ่าวก็สาดประกาย เขาเริ่มพึมพำกับตัวเอง “เวลาของฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วง ต้องใช้ต้นใบไม้ผลิ และน้ำค้างแข็งของฤดูใบไม้ร่วง เปลวไฟของกลางฤดูหนาว จิตวิญญาณแห่งฤดูร้อน กลั่นสกัดทั้งสี่ฤดูเข้าด้วยกัน ผสมรวมกับพลังลมปราณ กลั่นสกัดสี่ฤดูอีกครั้ง เพื่อสร้างเป็นกระบี่เล่มเล็กๆ
“กระบี่นี้ต้องดูแลด้วยความระมัดระวัง ด้วยการรู้แจ้งแห่งเวลา เวลาร้อยปีสามารถที่จะบรรจุเข้าไปในกระบี่ หลังจากร้อยปี หนึ่งพันปีก็จะผ่านไป และมันก็จะก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นมา ในหนึ่งหมื่นปี มันก็จะปรากฎขึ้น เพื่อเขย่าสวรรค์สั่นสะเทือนปฐพี ซึ่งก็คือกระบี่แห่งกาลเวลาเล่มแรก”
เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว ขณะที่จ้องไปยังแผ่นหยก กระบี่นั้นไม่ได้ประกอบไปด้วยพลังอันเล็กน้อย แต่มีเวลามาเกี่ยวข้องซึ่งทำให้ดูเหมือนจะยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก
“หานเป้ยสนใจในกระบี่นี้มาก ดังนั้น มันต้องไม่เพียงแต่จะเก็บเวลาได้มากเท่านั้น มันสามารถ…? มันต้องมีวิธีอื่น ที่จะใช้กระบี่เช่นนี้ได้” จมอยู่ในภวังค์, เมิ่งฮ่าวคิดไปถึงแผ่นหยกชิ้นที่สามซึ่งผีโต้งได้กลืนลงไป เช่นเดียวกับ แผ่นหยกชิ้นแรก ที่ถูกดูดกลับเข้าไปในกระถางทรงกลมนั้น
“คำตอบต้องอยู่บนแผ่นที่สามอย่างแน่นอน แย่มากที่เจ้าบัดซบผีโต้งกินมันเข้าไป” เมิ่งฮ่าวเงยหน้าขึ้น และมองไปยังผีโต้ง ครึ่งชั่วยามผ่านไป ตั้งแต่ที่เขาเริ่มศึกษาข้อมูลการสร้างกาลเวลา แน่นอนว่า ผีโต้งก็ได้พูดอยู่ตลอดช่วงเวลานั้น
“เจ้าสามารถเปลี่ยนเป็นแผ่นหยกที่เจ้าได้กลืนลงไป ได้หรือไม่?” ทันใดนั้น เมิ่งฮ่าวก็พูดขึ้นมา
“หือ? ได้…” มันตกลง แต่จากนั้นก็เปลี่ยนใจในทันที “อี๋? รอสักครู่ เจ้ากำลังจะทำอะไร? ไม่มีทาง! มันเป็นของข้า เจ้าไม่อาจยื่นมือเข้ามาสอดได้”