ไม่ใช่แค่เพียงเซี่ยเจี๋ยที่เพ่งมองมายังเมิ่งฮ่าว ฉือโหย่วเต้าและบุรุษชุดเทาก็มองไปที่เขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหมายอันลึกล้ำเช่นเดียวกัน
สีหน้าของเขาสงบนิ่ง แต่ด้านใน จิตใจของเขาแวบความเข้าใจขึ้นมา ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมทุกคนถึงได้มองเขาอย่างแปลกๆ เมื่อทุกคนได้เข้ามายังด้านในของกระถางยักษ์
แซ่อันยิ่งใหญ่ทั้งเก้า ไม่ได้มีแซ่เมิ่งรวมอยู่ด้วย ดังนั้นทันทีที่เขาเข้ามาได้ พวกมันทั้งหมดต่างก็สรุปว่าเขาได้ใช้แซ่ปลอม
แม้เขาจะไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ เขามองไปยังกลุ่มสายฟ้าที่ตรงมายังรูปปั้นขนาดใหญ่ทั้งเก้า แน่นอนอย่างที่สุดว่า ท่ามกลางพวกมันต้องมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกับฉือโหย่วเต้า, บุรุษชุดเทา และแม้แต่เซี่ยเจี๋ย
รูปปั้นเหล่านี้เป็นบรรพบุรุษของพวกมัน พวกมันมีแซ่ที่สามารถไล่ย้อนกลับไปยังสมัยโบราณ, ย้อนกลับไปยังตระกูลที่ถูกบางคนเรียกว่าครอบครัวอันยิ่งใหญ่ทั้งเก้า
“ข้าเป็นคนในครอบครัวอันยิ่งใหญ่ทั้งเก้า…?” เมิ่งฮ่าวถามตัวเอง สักพักหลังจากนั้น รอยยิ้มก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขา ถึงมันจะเย็นชาอยู่เล็กน้อย เขาก็มั่นใจว่า เขาไม่ใช่คนในครอบครัวอันยิ่งใหญ่ทั้งเก้านี้อย่างแน่นอน
เขาจำได้ว่าเมื่อเข้ามาในกระถางใหญ่ยักษ์นี้ กระจกทองแดงก็เริ่มร้อนขึ้นอยู่ภายในถุงสมบัติ ถ้าเพียงแค่นั้น ก็ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์สิ่งใดได้ แต่ทันใดนั้น เมิ่งฮ่าวก็ยังนึกได้ถึงกระจกได้ร้อนขึ้นมาในช่วงของการประชุมลับ เมื่อหานเป้ยได้ส่งข้อมูลที่เกี่ยวกับส่วนแรกของต้นแบบแห่งกาลเวลามาให้
“หานเป้ยต้องได้เตรียมตัวสำหรับวันนี้มานานมากแล้ว” เขาคิด “และนางก็ไม่ได้เข้าร่วมประชุมลับเพียงแค่ครั้งเดียว ข้อมูลที่นางส่งออกไป ไม่ได้จำกัดแค่เพียงผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของพื้นฐานลมปราณเท่านั้น แต่ยังมีสิ่งที่สำคัญมากไปกว่านั้น ต้องเป็นสายเลือดของครอบครัวอันยิ่งใหญ่ทั้งเก้าเท่านั้น ที่จะเห็นข้อมูลนั้นได้” ด้วยข้อมูลต่างๆ ทั้งหมดนี้ เขาก็สรุปได้ว่า มันต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับกระจกทองแดง
“กระจกนี้จริงๆ แล้วเป็นอะไรกันแน่? มันสามารถกระตุ้นให้ปราณสัตว์ป่าระเบิดออก, มันมีพลังแปลกประหลาดในการลอกเลียนแบบ และช่วยให้ข้าบรรลุเป้าหมายด้วยวิธีการลึกลับ ถึงแม้ว่าข้าไม่ใช่คนในครอบครัวอันยิ่งใหญ่ทั้งเก้า ข้าก็ยังคงสามารถเข้ามาในสถานที่นี้ได้”
ความคิดต่างๆ เหล่านี้แวบผ่านจิตใจของเมิ่งฮ่าวอย่างรวดเร็ว เพี่ยงชั่วขณะระหว่างคำถามของเซี่ยเจี๋ย และคำตอบของเมิ่งฮ่าว
“ไม่ว่าครอบครัวอันยิ่งใหญ่ทั้งเก้าจะรวมแซ่เมิ่งด้วยหรือไม่, ข้าก็ไม่ทราบจริงๆ” เขากล่าวเสียงราบเรียบ “แต่เรื่องที่ข้าผ่านเข้ามาในกระถางนี้ได้ กลายเป็นประเด็นสำคัญไปซะแล้ว” สีหน้าของเขาเห็นได้ชัดว่ากำลังคิดอยู่
ดวงตาของเซี่ยเจี๋ยสาดประกาย และคิ้วของมันก็ขมวดขึ้น คำตอบของเมิ่งฮ่าวทำให้มันไร้คำพูด คำตอบนั้นเป็นการป้องกันตัวเอง ไม่รู้ว่าเขายอมรับหรือปฏิเสธ หรือบางทีก็อาจจะเป็นทั้งสองอย่าง เซี่ยเจี๋ยมองไปที่เขานานสักพัก
คำตอบนั้นชัดเจนยิ่ง เมิ่งฮ่าวไม่รู้ แต่บางทีเหตุผลที่เขาอยู่ที่นี่ได้ เป็นเพราะจริงๆ แล้ว เขาก็เป็นคนในครอบครัวอันยิ่งใหญ่ทั้งเก้าด้วยเช่นกัน
“สหายเต๋าเมิ่งให้คำตอบแก่ท่านแล้ว” หานเป้ยพูดอย่างใจเย็น “ศิษย์พี่เซี่ย, ข้ารู้ว่าท่านมีเม็ดยาเขียวซ่อนเร้นอยู่ ซึ่งท่านเจ้าสำนักให้ท่านไว้เป็นพิเศษสำหรับใช้ในสถานที่นี้ ข้ารู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ท่านไม่จำเป็นต้องยืนยันหรือปฏิเสธมัน”
เซี่ยเจี๋ยเงียบอยู่สักพัก มันมองไปยังสายฟ้าที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้น ใบหน้าของมันหมองคล้ำ จากนั้นก็ตบไปที่ศีรษะของมัน และพ่นเม็ดยาเล็กๆ สีเขียวขนาดเท่าเล็บนิ้วออกมา ทันทีที่มันลอยออกมา มันก็ระเบิดออก ส่งปราณสีเขียวจำนวนมากมายมหาศาล พุ่งออกไปยังทั่วทุกทิศทาง เมื่อเป็นเช่นนี้ สายฟ้าก็เริ่มโปร่งแสงลงเล็กน้อย ราวกับว่าพวกมันกำลังถูกปิดบังอยู่
บุคคลทั้งห้าเดินไปข้างหน้าต่อไปอีกหลายร้อยจ้าง โดยมีฉือโหย่วเต้าและบุรุษชุดเทาเดินนำไป
หนึ่งร้อยจ้างหลังจากนั้น เซี่ยเจี๋ยพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้ามีเม็ดยาเขียวซ่อนเร้นอยู่เพียงแค่สามเม็ด!” มันพ่นเม็ดยาออกมาอีก และพวกเขาก็เดินไปข้างหน้า ท่ามกลางกลุ่มสายฟ้าที่เลือนลาง
ด้วยพลังของเม็ดยาเขียวซ่อนเร้นทั้งสองเม็ด พวกเขาก็สามารถเดินไปถึงตำแหน่งของรูปปั้นทั้งเก้า รูปปั้นเหล่านั้นดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับกระถางที่อยู่ตรงกลางของพวกมัน ซึ่งดูราวกับว่ามันจะมีสวรรค์อยู่ด้านใน
กลิ่นอายโบราณปกคลุมไปทั่วพื้นที่วงกลมรอบๆ บริเวณนั้น กระทบไปที่ใบหน้าของพวกเขา และทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับว่ากำลังเดินทางย้อนกลับไปยังสมัยโบราณ เหมือนกับว่าพวกเขาสามารถรับรู้ถึงกาลเวลาอันไร้ขอบเขตนั้น
หานเป้ยไม่อาจปกปิดความตื่นเต้นที่อยู่ภายในดวงตาของนางได้ นางหายใจถี่เร็วขึ้น ขณะที่มองขึ้นไปยังรูปปั้นบรรพบุรุษของนาง ด้านข้างนาง ฉือโหย่วเต้า, บุรุษชุดเทา และแม้แต่เซี่ยเจี๋ยก็ยืนอย่างเงียบงัน พวกมันทั้งหมดต่างก็จ้องไปที่รูปปั้นบรรพบุรุษซึ่งเป็นที่เคารพของพวกมัน
เมิ่งฮ่าวไม่มีทางจะเข้าใจว่าพวกมันกำลังคิดอะไรกันอยู่ ใบหน้าของเขาเรียบสงบขณะที่มองไปยังรูปปั้นทีละรูป สุดท้ายเขาก็จ้องไปบนกระถางทรงกลมซึ่งเป็นตัวแทนของสวรรค์
ขณะที่เขากำลังมองไปที่กระถางอยู่นั้น ก็มีบางอย่างสร้างความสนใจให้แก่เขา มีของบางสิ่งกำลังเคลื่อนที่อยู่บนหนึ่งในรูปปั้นเหล่านั้น ดวงตาของเมิ่งฮ่าวหันไปจ้องมองในทันที และจากนั้นก็เบิกกว้างขึ้น
ที่นั่น, บนไหล่ของรูปปั้นที่มีหน้ตาคล้ายคลึงกับบุรุษชุดเทา ฝุ่นได้ตกกระจายลงมาเปิดเผยให้เห็นสิ่งของบางอย่าง ซึ่งมีรูปร่างสี่เหลี่ยม และดูคล้ายวุ้น และค่อนข้างจะยืดหยุ่นได้ เหมือนเป็นแผ่นของผีโต้ง (อาหารจีนที่ทำมาจากหนังหมูหน้าตาคล้ายวุ้น)
มันมีสีขาวสะอาด และหลังจากที่มองไปยังมัน สิ่งแรกที่บุคคลทั่วไปรู้สึกก็คืออยากจะกินมัน ของสิ่งนั้นนั่งอยู่บนไหล่ของรูปปั้น บิดตัวไปมาเล็กน้อย ทำให้ฝุ่นละอองตกลงมามากขึ้น เมิ่งฮ่าวปากอ้าตาค้างจ้องมองไป ของสิ่งนั้นดูเหมือนจะมีชีวิต!
ทันใดนั้น มันก็ลอยออกมาจากไหล่ของรูปปั้น และขึ้นไปอยู่บนศีรษะ จากนั้นก็กระโจนขึ้นไปในอากาศ รอยแตกปรากฎขึ้นบนพื้นผิวของผีโต้งนั้น เปิดออกเป็นปากขนาดใหญ่ ทันใดนั้น ฟ้าแลบบนท้องฟ้าก็ปะทุขึ้น สายฟ้าสิบสายฟาดลงมา ตรงไปที่ผีโต้งนั้น
มันเคี้ยวเล็กน้อย จากนั้นก็หยุด ราวกับว่ามันกำลังกลืนสายฟ้าลงไป เมิ่งฮ่าวอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ ขณะที่มันตกลงไปบนพื้น จากนั้นก็กระโดด ผลุบ, ผลุบ, ผลุบ, ไปบนพื้นผิวของกระถางทรงกลม หยุดนิ่งอยู่ที่นั่น
ไม่เพียงแต่เมิ่งฮ่าวที่ได้เห็นของสิ่งนี้ เสียงที่เกิดขึ้นจากสายฟ้าและผีโต้งนั้นดังกึกก้องออกมาอย่างน่าเหลือเชื่อ ทำให้หานเป้ยและคนอื่นๆ ต่างก็มองไปที่มัน สายตาของหานเป้ยหรี่เล็กลง ขณะที่ดวงตาของเซี่ยเจี๋ยเบิกกว้างขึ้น มันอ้าปากค้าง และคนทั้งสองก็จ้องมองซึ่งกันและกันด้วยความตกใจ รับรู้กันแค่สองคน
“นั่นคือ…”
บุรุษชุดเทาพูดขึ้นในทันที “นั่นต้องเป็นสิ่งที่ทำให้สำนักชิงหลัว ต้องสร้างหอคอยร้อยวิญญาณขึ้นมา พวกมันต้องการจะลากดึงสุดยอดความรำคาญนี้ออกไป” ท่าทางลี้ลับปรากฎขึ้นในดวงตาของมัน ภายในม่านตาของมันปรากฎเป็นเครื่องหมายเวทขึ้น ขณะที่มันพยายามที่จะเข้าถึงข้อมูล นี่ไม่เกี่ยวกับพื้นฐานฝึกตนของมัน แต่เป็นบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับดวงตาของมันโดยเฉพาะ
ก่อนที่หานเป้ยและเซี่ยเจี๋ยจะได้พูดอะไรออกมา ทันใดนั้น ผีโต้ง ก็กระโดดขึ้นไป ใบหน้าของชายชราซึ่งกำลังหลับตาลง ปรากฎขึ้นบนพื้นผิวของมันอย่างน่าอัศจรรย์ใจ จมูกของชายชรากระตุก และดวงตาของมันก็ลืมขึ้นมา สาดประกายความสับสนออกมา
ผีโต้ง ทันใดนั้นก็ลอยขึ้นไป และพุ่งตรงไปยังทางออกของกระถางสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ยักษ์ แต่จากนั้นมันก็หยุดอยู่กลางอากาศ ราวกับว่ามันกำลังลังเล มันลอยอยู่ที่นั่นสักพัก และกลืนกินสายฟ้าเข้าไปอีก
เมื่อได้เห็นเช่นนี้ ดวงตาของคนทั้งห้าก็เปล่งประกายออกมา
“ทำไมของสิ่งนี้ถึงได้ถูกเรียกว่า สุดยอดความรำคาญ?” เมิ่งฮ่าว ทันใดนั้น ก็ถามไปยังบุรุษชุดเทา
“ข้าก็ไม่ทราบ” มันตอบ “ข้าไม่อาจค้นพบข้อมูลดั้งเดิมใดๆ ของมันเลย, สำนักชิงหลัวเหมือนจะเคยใช้เวลามากมายเพื่อค้นคว้าเกี่ยวกับมัน สิ่งที่ข้ารู้ก็คือ มันถูกเรียกว่า สุดยอดความรำคาญ ตั้งแต่ที่มันคงอยู่มานานมากแล้ว”
“ข้าไม่ได้สนใจมากเท่าไหร่ว่ามันจะถูกเรียกว่าอะไร” ฉือโหย่วเต้ากล่าว “ครึ่งชั่วยามได้ผ่านไปแล้ว ถ้าสหายเต๋าหานยังไม่ได้รับ ส่วนที่เหลือของต้นแบบแห่งกาลเวลาในตอนนี้ ความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดของพวกเราก็จะสูญเปล่า!”
โดยไม่พูดจา หานเป้ยนั่งลงขัดสมาธิ ที่ด้านล่างรูปปั้นบรรพบุรุษของนาง มือนางขยับร่ายเวทอาคม และหยกโบราณของนางก็เริ่มส่องแสงสีเขียวเข้มออกมา ขณะที่มันหมุนวนอยู่รอบๆ ตัวนาง ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกาย และเขาก็ก้าวเดินไปยืนอยู่ใกล้นางมากขึ้นเล็กน้อย
ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ พวกเขาค่อนข้างเงียบ มีเพียงเสียงกระหึ่มของฟ้าแลบฟ้าร้องดังออกมา เวลาผ่านไป ชั่วระยะหายใจเข้าออกหนึ่งร้อยครั้ง ดวงตาหานเป้ยก็ลืมขึ้นมา และเสียงร่ายเวทอาคมก็ดังออกมาจากปากของนาง ฉือโหย่วเต้า, บุรุษชุดเทา และเซี่ยเจี๋ย ทั้งหมดต่างก็ยืนล้อมนางไว้ คอยคุ้มกันป้องกันภัยให้นาง
ทันใดนั้น เสียงร่ายเวทของหานเป้ยก็หยุดลง และนางก็พ่นโลหิตออกมาใส่หยกโบราณนั้น มันส่องแสงสีเขียวเจิดจ้าบาดตาขึ้น และลอยตรงไปยังมือของรูปปั้น
มันไม่ได้ลอยไปด้วยความรวดเร็ว และจริงๆ แล้ว มันก็ส่ายไปข้างหน้า ถอยกลับมาข้างหลัง ขณะที่มันลอยไปในอากาศ ใบหน้าหานเป้ยซีดขาวจนเกือบจะไร้สีเลือด ราวกับว่านางกำลังมีปัญหาในการควบคุมมัน ขณะที่หยกโบราณเข้าใกล้รูปปั้น ตำราสองม้วนในมือของรูปปั้นก็เริ่มส่องแสงสว่างจ้าออกมา รอยแตกปรากฎขึ้นบนพื้นผิวของมัน และเสียงระเบิดก็ดังออกมา ทันใดนั้น แผ่นหยกสองชิ้นก็กระเด็นออกมาจากด้านในของม้วนตำราทั้งสองนั้น
ทุกคนเห็นได้ชัดเจนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ และคิดว่าพวกมันต่างก็มีความสงสัยว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น เห็นได้ชัดว่าแผ่นหยกทั้งสองชิ้น กำลังลอยออกมาจากม้วนตำราที่ระเบิดออก เสียงแหวกฝ่าอากาศแหลมเล็กดังขึ้น ขณะที่พวกมันพุ่งออกมา
แผ่นหยกทั้งสองชิ้นลอยออกมา ดูเหมือนจะไม่อาจควบคุมได้อย่างสิ้นเชิง ไม่ได้ถูกควบคุมโดยสิ่งใดหรือใครอื่น พวกมันดูเหมือนจะพุ่งไป ด้วยความพยายามที่จะออกไปจากกระถางสี่เหลี่ยมนี้
ก่อนที่พวกมันจะไปได้ไกลกว่านี้ พวกมันก็ถูกคว้าจับได้โดยแสงสีเขียวเข้ม ที่กระจายออกมาจากหยกโบราณของหานเป้ย ราวกับว่าพวกมันทั้งหมดต่างก็เชื่อมต่อถึงกัน หยกทั้งสองชิ้นที่กำลังจะหลบหนีออกไป ทันใดนั้น ก็หยุดอยู่กลางอากาศ พวกมันเริ่มสั่นไปมา ราวกับว่าพวกมันกำลังพยายามตะเกียกตะกายดิ้นรน เสียงหึ่งๆ ดังออกมาจากพวกมัน
หานเป้ยกระอักโลหิตออกมาอีก และดูเหมือนจะกระสับกระส่ายในทันที ความอ่อนเพลียปกคลุมใบหน้าของนาง และทันใดนั้น หยกโบราณของนางก็หลุดจากการควบคุม และตกลงไปบนพื้น
ในทันใดนั้นเอง หยกทั้งสองชิ้นนั้นก็เริ่มลอยออกไปยังที่ห่างไกลในทันที มันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก และไม่มีเวลาให้ทุกคนได้ขบคิด ดวงตาฉือโหย่วเต้าสาดประกาย และร่างของมันก็พุ่งขึ้นไปในอากาศ พุ่งตรงไปยังหนึ่งในสองชิ้นหยก ดวงตาบุรุษชุดเทาหดแคบลง แต่มันก็กระโจนขึ้น และพุ่งตรงไปเช่นเดียวกัน ลำแสงสีเขียวพุ่งตรงไปยังหยกชิ้นที่สอง สำหรับเซี่ยเจี๋ย มันลอยขึ้นไป และตรงไปยังหยกโบราณชิ้นดั้งเดิม ความสงสัยปรากฎขึ้นบนใบหน้าของมัน
“ไม่ต้องแย่งกัน, สหายเต๋าทั้งหลาย” หานเป้ยร้องออกมา “สายฟ้าจะฟาดลงมายังใครก็ตามที่ไม่ใช่สายโลหิตของข้า ถ้าไปแตะต้องหยกพวกนั้น! ข้ามีวิธีที่จะนำพวกมันทั้งสามชิ้นมาพร้อมกัน” นางกระอักโลหิตออกมาอีก