มีที่ราบกว้างใหญ่บนชายแดนของแคว้นตงหลาย ในจุดศูนย์กลางของดินแดนด้านใต้ ที่นั่น แสงของเวทเคลื่อนย้ายทางไกลปรากฎขึ้น จากนั้นก็จางหายไป ด้านนอกของประตูเคลื่อนย้ายทางไกล มีผู้ฝึกตน ขั้นรวบรวมลมปราณเจ็ดถึงแปดคน นั่งขัดสมาธิอยู่ พวกมันยืนขึ้นเมื่อเมิ่งฮ่าวปรากฎตัว คารวะเขาด้วยการประสานมือ
ผู้ฝึกตนกลุ่มนี้มีหน้าที่ดูแลประตูเคลื่อนย้ายทางไกลที่นี่ และคอยต้อนรับแขกของหมู่บ้าน เมื่อเมิ่งฮ่าวปรากฎขึ้น พวกมันก็สัมผัสได้ถึงพลังฝึกตนอันลึกล้ำของเขา ความรู้สึกนับถือในตัวเขาก็มีมากขึ้น
เมิ่งฮ่าวเดินออกมาจากประตูเคลื่อนย้ายทางไกล สายตากวาดมองไปยังกลุ่มผู้ฝึกตน จากนั้นก็มองขึ้นไปยังท้องฟ้าด้านบนที่ราบอันกว้างใหญ่นี้ ทุกสิ่งทุกอย่างดูไม่คุ้นเคย เขามองกลับไปยังประตูเวท รู้สึกประหลาดใจกับขอบเขตของการเคลื่อนย้ายของมัน
เขาไม่สนใจผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ เมิ่งฮ่าวพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า ไม่ใช้กระบี่บิน หรือใบไม้ยักษ์สีเขียว หรือพัดเทียนเหอ แต่ใช้พลังฝึกตนแทน ร่างกลายเป็นลำแสง เมื่อเขาพุ่งหายลับตาไป
ผู้ฝึกตนเจ็ดถึงแปดคนนั้น มองดูขณะที่เขาหายจากไป ความเลื่อมใสในตัวเขาก็เพิ่มมากขึ้น
“ข้าสงสัยนักว่า ข้าจะมีโอกาสกลายเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นพื้นฐานลมปราณ…”
“หยุดฝันได้แล้ว ถึงเจ้าจะบรรลุพื้นฐานลมปราณ แต่ขั้นที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าก็คือแตกร้าวพื้นฐาน บุคคลเช่นพวกเรา ได้แต่เพ้อฝันว่าจะเป็นอะไร มีเพียงคนจากสำนักใหญ่เท่านั้น ถึงจะมีโอกาสได้รับเม็ดยาพื้นฐานลมปราณ และแม้แต่ท่ามกลางสำนักใหญ่ คนที่จะบรรลุได้ก็มีน้อยมาก ผู้คนส่วนใหญ่มักจะใช้ชีวิตทั้งหมดของมันไป โดยที่ไม่ไปยุ่งกับคนอื่น”
“ถึงแม้จะมีเม็ดยาพื้นฐานลมปราณ บุคคลที่มีพรสวรรค์เช่นพวกเรา โอกาสที่จะสำเร็จก็มีเพียงน้อยนิด อา, ขั้นพื้นฐานลมปราณ…ช่างเป็นพลังที่แท้จริง!”
ผู้ฝึกตนกลุ่มนี้ถอนหายใจ การถูกกำหนดให้ทำหน้าที่คุ้มกันในพื้นที่แห่งนี้ ทำให้พวกมันยากที่จะมีโอกาสได้เห็น ผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ เมื่อได้เห็นเมิ่งฮ่าว ก็ทำให้จิตใจของพวกมัน เต็มไปด้วยความนับถือ และอิจฉาเป็นยิ่งนัก
หลายวันผ่านไป และตลอดเวลานั้น เมิ่งฮ่าวไม่ได้ใช้อาวุธเวทช่วยบินใดๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นการสูญเสียพลังลมปราณ แต่เขาก็ยังคงระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นจุดศูนย์กลางของดินแดนด้านใต้ จึงทำให้เขาต้องระวังตัวมากเป็นพิเศษ
เขามีเรื่องขัดใจกับบุคคลหลายคนในที่แห่งนี้ ที่เห็นได้ชัดคือ สำนักจื่อยิ่น (ชะตาม่วง), ซ่งเหล่าไกว้ และหวังเถิงเฟย เวลาผ่านไป และในไม่ช้า เขาก็เข้าใกล้แคว้นตงหลาย ยิ่งใกล้เข้าไปมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งระวังตัวมากขึ้นเท่านั้น
ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาได้พยายามที่จะใช้เวทผนึกอสูรรุ่นแปด เกือบทุกวัน แต่ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร ก็ไม่สามารถที่จะได้รับการรู้แจ้งตามที่ต้องการ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะเลือนลางไปหมด
สิบวันผ่านไป หลังจากที่ออกมาจากประตูเคลื่อนย้ายทางไกล เมิ่งฮ่าวกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า ทันใดนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไป ร่างกายสั่นสะท้าน ตกลงมาจากท้องฟ้า ด้วยสีหน้าซีดขาว เมื่อตกถึงพื้น เขาก็รีบวิ่งตรงไปยังป่าที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น
เขาโบกสะบัดมือตรงไปยังต้นไม้ที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งใหญ่ขนาดสามคนโอบ ต้นไม้เกิดรอยแตกเปิดออกมา ส่งผลให้เศษไม้ลอยออกไปในอากาศ เมิ่งฮ่าวกระโดดเข้าไปในรอยแตกนั้น นั่งขัดสมาธิในทันที ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ร่างสั่นระริก เขาพ่นธวัชสายฟ้าออกมาจากปาก กลายเป็นหมอกสายฟ้าปกคลุมตัว เพื่อคุ้มครองเขาในทันใด
เขากระอักโลหิตออกมา เมื่อพยายามที่จะควบคุมพิษ ซึ่งกำลังกำเริบขึ้นมาภายในร่าง
ครั้งนี้ พิษกำเริบเป็นเวลานานถึงสามวัน ตลอดเวลานั้น เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ที่นั่น กัดฟันจนแน่น ความเจ็บปวดที่เกิดจากพิษนี้ เหมือนกับว่ามีแมลงกำลังกัดแทะ อวัยวะภายในของเขาอยู่ตลอดเวลา ดวงตาแดงก่ำ และโหดร้าย ถ้ามีใครมาเห็นเขาตอนนี้ ก็คงต้องตกใจเป็นอย่างยิ่ง
ทันใดนั้น ในม่านตาของดวงตาข้างขวา ก็ปรากฎเป็นใบหน้าปีศาจ ซึ่งดูเหมือนกำลังหัวเราะ และกำลังร้องไห้อยู่ในเวลาเดียวกัน และก็ยังมีดอกไม้บานขึ้นมาอีกด้วย
เมิ่งฮ่าวรับรู้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ความตั้งใจที่จะขจัดพิษมีมากขึ้นกว่าเดิม
ในตอนเย็นของวันที่สาม มีสุนัขป่าท่าทางดุร้าย เดินเข้ามาในบริเวณนั้น และมองเห็นโลหิตตามพื้น ดวงตาของมันมองเข้าไปในโพรงที่เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ จากนั้นก็พุ่งตรงมา ขณะที่มันใกล้จะมาถึงต้นไม่นั้น มือก็ยื่นออกมาจากโพรงไม้ จับไปที่คอสุนัขป่าตัวนั้น ออกแรงบีบ
เสียงแตกหักก็ได้ยินออกมา สุนัขป่าไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องก่อนที่มันจะตาย กระตุกอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็แน่นิ่งไป เมิ่งฮ่าวโผล่ออกมาจากต้นไม้ด้วยใบหน้าซีดขาว ดวงตาสาดประกาย เต็มไปด้วยรังสีสังหาร
ทุกครั้งที่พิษกำเริบขึ้น เขามีความต้องการสังหารอันเข้มข้นรุนแรง ใบหน้าปีศาจที่กำลังหัวเราะร้องไห้ในดวงตา ดูเหมือนว่าจะมีผลกระทบแปลกๆ กับลมปราณทั้งหมดในร่างของเขา
เมิ่งฮ่าวมองลงไปยังสุนัขป่าที่ตายอยู่ในมือ เขาขยับมือและร่างของมันก็ถูกเปลวไฟกลืนกินไป เถ้าถ่านลอยออกไปจากมือของเมิ่งฮ๋าว แสงไฟส่องไปที่ใบหน้า เขาดูไม่ค่อยเหมือนนักศึกษาในตอนนี้ แต่ดูเหมือนผู้ฝึกตนอันโหดร้ายมากกว่า
“ในช่วงสองปีที่ผ่านมา พิษได้กำเริบขึ้นมาเก้าครั้ง แต่ครั้งนี้ต่างกัน ทำไมใบหน้าปีศาจถึงได้ปรากฎขึ้น ในดวงตาข้างขวาของข้า…?”
เขายกมือขึ้น และรู้สึกว่าที่ดวงตาข้างขวา ใบหน้าปีศาจค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ เมิ่งฮ่าวลองโคจรพลังลมปราณไปทั่วร่าง เมื่อเขาทำเช่นนั้น ใบหน้าปีศาจก็ปรากฎขึ้นอีกครั้ง ร่างเขากลายเป็นลำแสงขณะที่พุ่งตรงไปยังแคว้นตงหลายต่อไป
มันเป็นแคว้นที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ เกือบสิบเท่าของแคว้นจ้าว เต็มไปด้วยผู้ฝึกตน และสำนักต่างๆ สำนักที่ใหญ่ที่สุดก็คือ สำนักจื่อยิ่น ซึ่งทำตัวเป็นผู้นำของสำนักต่างๆ ในแคว้นนี้
สามารถกล่าวได้ว่า แคว้นตงหลาย ก็คือฐานที่มั่นของสำนักจื่อยิ่น
เมิ่งฮ่าวรู้เรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีทางเลือก การเดินทางลัดเลาะตามขอบชายแดนของแคว้น ก็จะเป็นเส้นทางที่ไกลมากเกินไป เขาต้องการไปที่แคว้นชิงหยุน (เมฆเขียว)
ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักเฮยเซ่อไช (กระชอนดำ) จริงๆ แล้วก็เป็นสถานที่ ที่ใกล้กับแคว้นจ้าวในอดีต แต่อยู่อีกด้านของแคว้นตงหลาย
โชคดีที่แคว้นตงหลายกว้างใหญ่มาก ถ้าเขาระวังตัว ก็คงหลบซ่อนได้ไม่ยาก ไม่เหมือนกับแคว้นจ้าว ซึ่งมีขนาดเล็กมาก จนทำให้การค้นหาใครสักคนเป็นเรื่องง่ายดาย
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่ได้อยู่ในขั้นรวบรวมลมปราณอีกแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในขั้นพื้นฐานลมปราณ ที่สามารถป้องกันตัวเองได้ง่ายมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อตัดสินใจเรียบร้อย เขาก็เดินทางเข้าไปยังแคว้นตงหลายในทันที
“ถ้าข้าเดินทางในทิศทางนี้ต่อไป ก็จะมีเมืองของผู้ฝึกตนอยู่”
เมิ่งฮ่าวบินผ่านเขตชายแดนเข้าไป เขาสวมใส่ชุดยาวสีดำ และหมวกที่สานด้วยไม้ไผ่ปีกกว้าง ดวงตาส่งประกายเมื่อเขามองไปยังดินแดนของแคว้นตงหลาย ซึ่งมีภูเขาอยู่ไม่มาก
ส่วนใหญ่จะเป็นที่ราบอันกว้างใหญ่ มีเมืองของมนุษย์ธรรมดากระจายออกไปอยู่ทุกที่ เชื่อมต่อกันด้วยเส้นทางค้าขาย ซึ่งเต็มไปด้วยรถม้าวิ่งผ่านไปมา
ความคึกคัก และเร่งรีบ ยิ่งกว่าแคว้นจ้าวมากมายนัก ขณะที่เขาเหาะไปในอากาศ ผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณคนอื่นๆ ก็บินผ่านเขาไป ยังทิศทางที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากในแคว้นจ้าว
มีผู้ฝึกตนขั้นรวบรวมลมปราณอยู่มากมายเช่นเดียวกัน สามารถกล่าวได้ว่า พลังลมปราณทั่วทุกแห่งหนของแคว้นตงหลายนี้ หนาแน่นกว่าพลังลมปราณในภูเขาที่ขึ้นชื่อของแคว้นจ้าวมากมาย ยังมีบางสถานที่ซึ่งพลังลมปราณหนาแน่นมาก จนเมิ่งฮ่าวรู้สึกหวาดหวั่น
หลายวันผ่านไป ในที่สุด เมิ่งฮ่าวก็ได้เห็นเมืองอันใหญ่โตโอฬาร ปรากฎขึ้นตรงขอบฟ้าเบื้องหน้าเขา
อาจจะต้องใช้เวลาหลายชั่วยาม ในการเดินทางหนึ่งร้อยหลี่สำหรับคนธรรมดา แต่เมิ่งฮ่าวมาถึงยังประตูเมืองด้วยเวลาที่น้อยกว่าธูปไหม้หมดไปหนึ่งดอก
มันเป็นช่วงเวลาพลบค่ำพอดี และเมื่อแสงตะวันยามสนธยา ปกคลุมไปทั่วเมือง ก็ดูเหมือนมังกรยักษ์กำลังขดตัวอยู่ ศีรษะของมันกำลังยกขึ้น มองไปยังสรวงสวรรค์
เมื่อเขาบินมาใกล้เมือง ก็รู้สึกถึงแรงกดดัน ที่บังคับให้เขาต้องลงมาจากท้องฟ้า เขาร่อนลงที่พื้น และเดินด้วยเท้าตรงเข้าไป เงยหน้าขึ้นไปมองยังเมืองเบื้องหน้า มีผู้ฝึกตนคนอื่นๆ เดินอยู่รอบๆ ตัวเขา บ้างก็มาคนเดียว บ้างก็มาเป็นกลุ่มสีถึงห้าคน
ด้านบน ท้องฟ้ากระจ่างโปร่งใส มีเกราะเวทอยู่เหนือศีรษะขึ้นไป ป้องกันการเหินบิน และสิ่งเดียวที่สามารถเห็นได้บนท้องฟ้าก็คือแสงหลากสี ซึ่งทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนเป็นเมืองแห่งสวรรค์
ประตูเมืองถูกคุ้มกันโดยผู้ฝึกตนระดับแปด ขั้นรวบรวมลมปราณ ยังมีผู้คุ้มกันอยู่ด้านบนของกำแพงเมืองอีกด้วย และเมิ่งฮ่าวก็สามารถเห็นว่า พวกมันอยู่ในระดับเก้า ขั้นรวบรวมลมปราณ ที่เริ่มจะก้าวไปถึงขั้นพื้นฐานลมปราณ
“นี่เป็นเมืองใหญ่ของผู้ฝึกตน แห่งดินแดนด้านใต้…” เมื่อเขาใคร่ครวญ เมิ่งฮ่าวก็เริ่มเข้าใจถึงพลัง ของสำนักจื่อยิ่นในแคว้นอันยิ่งใหญ่นี้มากยิ่งขึ้น
เมิ่งฮ่าวมองตรงไป และสังเกตเห็นผู้คนที่เข้าไปในประตูเมือง ได้จ่ายค่าผ่านประตูด้วยหินลมปราณ เมื่อเขากำลังจะทำเช่นเดียวกัน เสียงกรีดร้องแหลมเล็ก ก็ได้ยินใกล้เข้ามาจากด้านบน
เสียงนั้นดังขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้ผู้ฝึกตนทุกคน ที่อยู่ในบริเวณนั้นเงยหน้าขึ้น มองออกไปยังที่ห่างไกล ลำแสงพุ่งตรงมายังเมืองนี้
เป็นลำแสงสีม่วง กว้างประมาณสิบจ้าง มันใกล้เข้ามาราวกับ ดาวตกที่แหวกฝ่าอากาศส่งเสียงแหลมเล็ก ตรงกลางเป็นบุรุษวัยกลางคน สวมใส่เสื้อผ้าหรูหราราคาแพง สีหน้าไร้ความรู้สึก มันเหาะตรงมายังจุดศูนย์กลางของเมือง ราวกับว่าเกราะเวทไร้ความหมายใดๆ สำหรับมัน
แรงกดดันที่กระจายออกมาจากร่างของมัน ส่งผลให้ผู้ฝึกตนที่ยืนดูอยู่บนพื้นตกใจกันไปตามๆ กัน สายลมกระพือพัด กลายเป็นลมหมุนกวาดไปทั่วพื้นที่บริเวณนั้น
“ผู้พิสดารสร้างแกนลมปราณ มีแต่บุคคลเช่นนั้น ถึงจะไม่สนใจเกราะเวทของเมืองนี้ และเหาะเข้ามาได้”
“เบาเสียงลงด้วย นั่นคือท่านปี้หงแห่งสำนักจื่อยิ่น มีข่าวลือว่าเมื่อปีก่อน มีบางคนจากสำนักเซี่ยวหยุนดูหมิ่นมัน ดังนั้นมันจึงสังหารคนพวกนั้นทั้งสำนัก มันเป็นคนที่โหดร้ายไร้ความปราณียิ่งนัก”
เสียงพูดค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ เมิ่งฮ่าวมองออกไปยังที่ห่างไกล สีหน้าของเขาสงบเรียบ แต่จิตใจเต้นรัว ก้มหน้าลง เดินเข้าไปในเมือง
เมืองของผู้ฝึกตนที่ใหญ่ที่สุด ที่เขาเคยไปก่อนหน้านี้ก็คือ เมืองเทียนเหอในแคว้นจ้าว เมื่อผ่านเข้าไปในเมืองของแคว้นตงหลาย เขาก็รู้สึกราวกับว่า โลกในมุมมองของเขา ได้ขยายกว้างออกไปในทันที
สิ่งของที่ใช้ในการฝึกตน มีอยู่ทั่วไปทุกหนแห่ง และมีอาคารสูงเสียดฟ้า สูงขึ้นไปเท่าที่ตาจะมองเห็นได้ ผู้ฝึกตนขั้นรวบรวมลมปราณ และพื้นฐานลมปราณมีอยู่เต็มไปหมด และเมิ่งฮ่าวก็ได้เห็นแม้แต่ ผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณสองคน ที่อยู่ในระดับเดียวกับท่านปี้หง เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา
เมิ่งฮ่าวเป็นเพียงคนเดียว ที่กำลังสวมใส่หมวกปีกกว้าง ที่สานจากไม้ไผ่ ซึ่งทำให้หลายๆ คน ต้องเหลียวหลังกลับมามอง เขาลังเลชั่วครู่ ก่อนที่จะมุดเข้าไปในร้านแห่งหนึ่ง
เมื่อเขาออกมา หมวกก็หายไป สีหน้าของเขาเรียบเฉย ขณะที่เดินผ่านไปหลายร้าน จากนั้นก็เดินลัดเลาะเข้าไปในตรอกซอกซอย ทันใดนั้น เขาก็พุ่งถอยหลังไปสิบจ้าง และยื่นมือออกไปราวสายฟ้า ไปวางอยู่ที่ลำคอของเด็กผู้ชาย ที่มีอายุประมาณสิบห้าถึงสิบหกปี
เมิ่งฮ่าวยกมันขึ้น และกดไปติดกับผนังกำแพง
พลังฝึกตนของเด็กผู้ชายนั้นไม่สูงมากนัก อยู่ที่ระดับหกขั้นรวบรวมลมปราณ ร่างของมันผอมมีแต่กระดูก แต่ดวงตาเหมือนจะเต็มไปด้วยความฉลาดแกมโกง
ใบหน้าของมันบิดเบี้ยว ขณะที่เมิ่งฮ่าวยกมันขึ้นไป มันรู้ว่าด้วยพลังลมปราณอันเล็กน้อย เมิ่งฮ่าวก็สามารถเปลี่ยนมันให้กลายเป็นเถ้าธุลีได้อย่างง่ายดาย
“ทำไมเจ้าต้องติดตามข้า? ข้าให้เจ้าพูดหนึ่งประโยค เพื่ออธิบายเรื่องนี้” สีหน้าของเมิ่งฮ่าวสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย ขณะที่เขายกร่างที่สั่นสะท้านนั้นอยู่ในมือ เด็กวัยรุ่นผู้นั้นมองไปที่ชุดยาวสีดำที่หลวมกว้าง, ผมยาวของเขา และดูเหมือนว่าความตายกำลังลอยอยู่ตรงหน้ามัน